ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 139 พบผู้ปกครอง
ต้าไป๋กระดิกหางระริกระรี้ วิธีที่ไม่เสียเวลาชิงหัวเช่นนี้ มันพอใจเป็นอย่างมาก จึงรีบเอ่ยปากทันใดว่า “แล้วต่อไปข้าควรทำอะไรบ้าง”
อันหลินลูบคาง พูดด้วยท่าทางของผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ว่า “อันดับแรก เจ้าต้องแสดงจุดยืนก่อน”
ต้าไป๋แลบลิ้น หูตั้งขึ้นเล็กน้อย ทำท่าตั้งใจฟัง
อันหลิน “เมื่อก่อนเจ้าบอกว่านางเป็นน้องสาวมาตลอดเลยสินะ”
ต้าไป๋พยักหน้า
อันหลิน “เจ้าไปบอกนางก่อนว่า เจ้าไม่ได้มองนางเป็นน้องสาวแล้ว เจ้าจะเป็นเพื่อนกับนาง! เชื่อว่านางจะเข้าใจความหมายของเจ้าแน่นอน”
ต้าไป๋พยักหน้า จากนั้นก็เหินเวหาไป “เจ้านาย เจ้ารอข้าที่นี่ก่อนนะ!”
อันหลินไม่คิดเลยว่าต้าไป๋จะใจร้อนถึงเพียงนี้ หลังทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้แล้ว ก็เหาะไปหาชิงหัวทันที
เขากับเจ้าอัปลักษณ์เห็นดังนั้นก็ทำได้แค่หาวอยู่อีกทาง ถือโอกาสล้วงเสี่ยวหงออกมาสังเคราะห์แสงสักหน่อย
อันที่จริงหลังการรับสืบทอดในสำนักสัตว์เทพของต้าไป๋เสร็จสิ้นแล้ว เผ่าพันธุ์ของมันได้รับการสืบทอดมาจากหมาป่าสวรรค์ เกี่ยวข้องกับวิถีแห่งวายุและกรงเล็บคมดาบ
ตอนนี้ขอเพียงจัดการความสัมพันธ์ระหว่างคู่หมั้นคู่หมายและครอบครัวให้เสร็จ ก็สามารถทำพันธะสัญญากับอันหลินได้แล้ว
หลังผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม ต้าไป๋ก็เหาะกลับมาอีกครั้ง
“เรียบร้อยหรือยัง” อันหลินพูดอย่างสงสัย
ต้าไป๋พยักหน้าอย่างสับสนงุนงง “ไม่คิดเลยจริงๆ ว่า พอข้าบอกว่าไม่เป็นพี่น้องกับนางแล้ว จะเป็นเพื่อนแทน นางก็ยอมให้ข้าไปกับเจ้า จิตใจของสุนัขตัวเมียคาดเดายากเสียจริง”
“แถมนางยังมอบกระดูกมังกรที่คอยอยู่เคียงข้างนางเสมอให้ข้าด้วย”
“บอกว่าหากคิดถึงนาง ก็เอาออกมาเลียได้…”
ขณะที่พูด ต้าไป๋ก็คาบกระดูกสีขาวไว้ในปาก ราวกับกำลังบอกอันหลินว่า
‘กระดูกชิ้นนี้นี่แหละ!’
อันหลินตกใจนิดหน่อย
เขาไม่ได้ตกใจที่นางยอมให้ต้าไป๋จากไป แต่ตกใจที่นางมอบกระดูกชิ้นนี้ให้เป็นของที่ระลึกยืนยันความสัมพันธ์!
จูบทางอ้อมเหรอ
อันหลินลอบพยักหน้า
อดพูดไม่ได้เลยว่า หมาน้อยสมัยนี้ ใช้มารยาได้คล่องแคล่วเหมือนกันนี่นา!
ต้าไป๋พูดเสียงระรื่นว่า “ลำดับต่อไปแค่ผ่านด่านของพ่อแม่ข้าก็เป็นอันเรียบร้อย”
อันหลินพรั่นใจเล็กน้อย “แล้วข้าต้องไปด้วยหรือไม่”
ต้าไป๋เอียงหัวครุ่นคิด จากนั้นพูดว่า “ไปด้วยน่าจะดีที่สุด พ่อแม่ข้าก็เคยพูดเหมือนกันว่าอยากเจอเจ้าสักครั้ง”
สิ้นประโยคนี้ อันหลินก็ยิ่งหวั่นวิตกไปกันใหญ่
ถูกพ่อแม่ของต้าไป๋พะวงถึงเป็นความรู้สึกแบบไหนกัน พวกมันจะกระโจนพรวดเข้ามาหรือเปล่า
“เจ้าอัปลักษณ์ เจ้ากลับร่างเดิมช่วยสร้างความฮึกเหิมให้ข้าที” อันหลินพูดอย่างจนปัญญา
เจ้าอัปลักษณ์กลายเป็นราชาวานรเนตรทองที่สวมชุดเกราะสีดำ มือถือกระบองสีเงิน รูปร่างแข็งแรงกำยำ!
เมื่อต้าไป๋เห็นท่าทางของเจ้าอัปลักษณ์ก็เบิกตากว้าง “ช่างอัปลักษณ์…ถุย! ช่างเป็นวานรที่องอาจผึ่งผายนัก!”
อันหลินเห็นปฏิกิริยาของต้าไป๋จึงพูดว่า “เขาชื่อเจ้าอัปลักษณ์ เป็นสหายที่ผ่านความเป็นความตายมากับข้า”
ต้าไป๋ได้ฟังก็เคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา พยักหน้าอย่างตื่นเต้น เอ่ยทักทายเจ้าอัปลักษณ์ “สวัสดีเจ้าอัปลักษณ์ ข้าชื่อต้าไป๋ เป็นสหายที่ผ่านความเป็นความตายมากับอันหลินเช่นกัน”
“ตอนนั้น ในศึกแห่งอิสรภาพ ชื่อเสียงของคู่หูมนุษย์สุนัข เป็นที่พรั่นพรึงของเหล่านักเรียนในสรวงสวรรค์ ไม่มีใครไม่ทราบ ไม่มีใครไม่รู้จัก…”
ระหว่างทาง ต้าไป๋เริ่มคุยโวโอ้อวดถึงวีกรรมอันรุ่งโรจน์
เจ้าอัปลักษณ์ทำหน้าเคลือบแคลงใจ แต่อันหลินกลับดีใจที่มันคุยโม้เช่นนี้ สามารถผ่อนคลายความตึงเครียดได้พอดี
ต้าไป๋พูดเรื่องของพ่อแม่มันให้อันหลินฟังมาตลอดทาง
เช่นว่าแม่ของมันเป็นสุนัขสีขาวระดับแปลงจิต ส่วนพ่อของมันเป็นสัตว์เซียนระดับหวนสู่ความว่างเปล่า นั่นเป็นถึงหนึ่งในสามจอมราชันสัตว์เซียนที่เลื่องชื่อลือชาในสำนักสัตว์เทพ
ยิ่งอันหลินได้ฟังในใจก็ยิ่งกังวลใจ ให้ตายเถอะ ทำไมภูมิหลังของต้าไป๋ถึงได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้!
จะให้ต้าไป๋เป็นสัตว์เลี้ยงของตัวเองจริงๆ งั้นเหรอ
พ่อแม่ของมันตนหนึ่งเป็นสัตว์เซียน อีกหนึ่งเป็นสัตว์ปราณ ผู้ดำรงอยู่ที่สูงส่งปานนี้…
จะยอมให้ลูกชายของตัวเองเป็นสัตว์เลี้ยงของนักพรตระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณคนหนึ่งงั้นเหรอ
เมื่อคิดได้ดังนั้น แม้แต่อันหลินเองก็ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะยอมตกลง…
สิ่งที่เขาคิดในตอนนี้คือ ‘หากว่าปรนนิบัติไม่ดี พ่อแม่ของต้าไป๋เขมือบเขาลงท้องจะทำอย่างไร’
ผลของการสร้างความฮึกเหิมของเจ้าอัปลักษณ์กลับกลายเป็นสูญเปล่า นอกจากใบหน้าที่พอจะข่มขวัญพ่อแม่ต้าไป๋ได้บ้างแล้วนั้น เกิดต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ คาดว่ายังไม่พอให้แม่ของมันตบด้วยซ้ำ
เฮ้อ…เจ็บปวดจังเลย…
อันหลินคิดว่าตนกำลังมุ่งหน้าสู่ลานประหาร
เมื่อมาถึงที่พักอาศัยของพ่อแม่มัน ก็มีพ่อบ้านออกมาต้อนรับ
พ่อบ้านที่ว่านี้เป็นหมูเดินสองขาตัวหนึ่ง กล้ามเนื้อทั่วร่างกายปูดโปน แลดูแฝงด้วยพละกำลังมหาศาล ใบหน้าเปี่ยมด้วยความเย็นเยือก แค่มองก็รู้ว่าต่อกรได้ยาก
อันหลินมองอย่างตะลึง เรียกมันว่าหมูเพาะกายในใจ
เมื่อหมูเพาะกายเห็นเจ้าอัปลักษณ์ก็แสดงอาการประหลาดใจเช่นกัน แต่มันไม่ได้พูดอะไร เมื่อรู้ว่าต้าไป๋จะพบพ่อกับแม่ ก็เอาแต่เดินนำอยู่ข้างหน้าเงียบๆ
ภายในเรือนสไตล์โบราณหลังหนึ่ง มีสุนัขสีขาวตัวใหญ่สองตัวกำลังหมอบอยู่บนเบาะที่สานจากหญ้าเซียนอันอ่อนนุ่มอย่างเกียจคร้าน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามาหาพวกท่านแล้ว โฮ่ง!” ต้าไป๋เดินเข้าไปก่อนแล้วเอ่ยปากขึ้นมา
อันหลินก็ตามเข้าไปด้วยใจที่ตึงเครียดอย่างยิ่ง
จากนั้น เขาก็เห็นสุนัขสีขาวที่น่ารักและองอาจตัวหนึ่ง กับสุนัขสีขาวที่รูปร่างยาวกว่าเล็กน้อย หน้าตางดงามอ่อนหวาน…
ให้ตายเถอะ ทำไมรู้สึกเหมือนเป็นเวอร์ชันก็อปปี้ของต้าไป๋กับชิงหัวเลยล่ะ!
ตอนแรกเขาคิดว่าสุนัขที่มีสมญานามว่าจอมราชันแห่งสัตว์เซียน จะเป็นสุนัขที่เย้ยปฐพีและอหังการเสียอีก
แต่ทว่าเมื่อมองต้าไป๋แล้วมองพ่อของมัน อันหลินก็งุนงงนิดหน่อย
หากพ่อของต้าไป๋วิ่งเข้ามาเรียกเขาว่าเจ้านาย อันหลินต้องคิดว่ามันเป็นต้าไป๋โดยที่แยกไม่ออกแน่ๆ
คราวนี้เขาว่าเขาเข้าใจความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ที่เจ้าอัปลักษณ์ว่าแล้ว ต่างเผ่าพันธุ์กันมองเห็นความแตกต่างได้ยากมากจริงๆ น่าเกลียดอย่างอัปลักษณ์นี่แหละมีเอกลักษณ์แยกได้ง่าย
“ผู้น้อยอันหลิน ขอคารวะผู้อาวุโสไป๋เซียนและผู้อาวุโสชุน”อันหลินคำนับอย่างนอบน้อม
ไป๋เซียนและชุนเป็นชื่อของพ่อแม่ต้าไป๋ เมื่อพวกมันได้ยินอันหลินพูด ก็เกิดความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาที่หรี่ลงเบิกกว้างขึ้น เพ่งพิศอันหลิน
เมื่อสายตามาหยุดอยู่ที่เจ้าอัปลักษณ์ ดวงตาของพวกมันก็กว้างขึ้นอีก ดูเหมือนจะหายใจเข้าดังเฮือกด้วย
“แม่มัน เจ้าคิดว่าอย่างไร” ไป๋เซียนถาม
“นักพรตมนุษย์คนนี้หน้าตาดีทีเดียว ดูถูกชะตา แต่วานรอัปลักษณ์เกินไปแล้วกระมัง ต้าไป๋เห็นวานรตัวนี้ทุกวี่ทุกวัน หัวใจจะรับได้หรือ” ชุนพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน
“ข้าคิดว่าพี่ลิงปกติมาก ถึงอย่างไรก็ไม่ส่งผลกระทบต่อข้าหรอก โฮ่ง!” ต้าไป๋โต้แย้งทันที
เมื่อจบประโยคของต้าไป๋ อากัปกิริยาของชุนเคร่งขรึมเล็กน้อย “พ่อมัน ดูสิ! แค่ไม่กี่ชั่วยาม ลูกของเราก็ตาบอดเสียแล้ว ไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย”
อันหลิน “…”
เจ้าอัปลักษณ์ “…”
“เจ้าอัปลักษณ์ แปลงร่าง!” จู่ๆ อันหลินก็โพล่งขึ้นมา
เจ้าอัปลักษณ์เข้าใจโดยพลัน กลายร่างเป็นวานรตัวเล็กที่น่าเกลียดน่าชัง นั่งอยู่บนไหล่ของอันหลิน
เมื่อชุนเห็นฉากนี้ดวงตาก็เป็นประกายเล็กน้อย พยักหน้าแล้วพูดว่า “อืม…เช่นนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว ในความอัปลักษณ์เจือความน่ารัก”
ไป๋เซียนหาวหวอดๆ หางขาวกระดิกไปมา “แม่มันไม่มีความเห็นอะไร เช่นนั้นข้าไม่มีเช่นกัน ต้าไป๋ หากออกไปแล้วอย่าเด็ดดอกไม้ไปทั่วละ แล้วก็อันหลิน หากต้าไป๋เป็นอะไรแม้แต่ปลายหาง ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่ โฮ่ง!”
เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋เซียนกับชุน ต้าไป๋กับอันหลินต่างก็ออกอาการดีใจ รู้ว่าผ่านด่านของพ่อแม่แล้ว
อันหลินคิดไม่ถึงเลยว่า ด่านพ่อแม่จะผ่านได้ง่ายดายเช่นนี้ เพียงมองหน้าก็เป็นอันสิ้นเรื่อง
“ฮัดชิ้ว!” ต้าไป๋ตื่นเต้นจนจาม
ขนหางสีขาวเส้นหนึ่งร่วงหล่นจากตัวมันช้าๆ…
อันหลิน “…”
ต้าไป๋ “…”
ไป๋เซียนพรูลมหายใจ ขนสีขาวแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาในพริบตา
จากนั้น เขาก็แสยะยิ้มชั่วร้าย “อันหลิน คราวนี้อยู่ในบ้าน ไม่นับ”
มุมปากของอันหลินกระตุกเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ตกทอดจากบรรพบุรุษ
ทว่าสุดท้าย เขาก็คารวะด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นก็ออกจากเรือนพร้อมกับต้าไป๋
เมื่อพวกอันหลินจากไป ไป๋เซียนกับชุนก็นอนหมอบบนเบาะหญ้าเซียนอย่างเกียจคร้านเช่นเดิม
ชุนหรี่ตาเล็กน้อย “พ่อมัน อันหลินคนนี้ไม่มีปัญหาจริงหรือ”
ไป๋เซียนใช้อุ้งมือเกาท้อง พูดอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “อย่างไรเสียข้าก็มองนักพรตมนุษย์คนนี้ไม่ออก ตัวเขาเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ต้าไป๋ตามเขาอาจจะมีโชคชั้นใหญ่ก็ได้”
ชุนหลับตาลง “แต่ก็จะมีอันตรายไม่น้อยกระมัง”
ต้าไป๋ก็หลับตาลงเช่นกัน “มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ สัตว์เก่งฉกาจตัวไหนไม่ผ่านอุปสรรคขวากหนามบ้างเล่า เอาแต่อยู่บ้านจะใช้ได้ที่ไหน เอาละ นอนกันเถอะ”
ชุนไม่พูดไม่จา กรนคร่อกๆ ท่าทางจะหลับไปแล้ว
ไป๋เซียนก็นอนหลับอุตุ เพลิดเพลินกับช่วงเวลาบ่ายคล้อยอันผ่อนคลาย
………………………….