ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 143 เผาให้เต็มที่เลย!
หลานเยียนกับสวีเสี่ยวหลานเยื้องย่างอยู่ในสำนัก
หญิงงามสองคนเดินเคียงคู่กันมา ย่อมทำให้ลูกศิษย์ไม่น้อยในสำนักแลมอง มิหนำซ้ำพวกนางยังเป็นถึงอัจฉริยะบุคคลในกลุ่มหนุ่มสาวแห่งสำนักวิหคชาดอีกด้วย กับแววตาเป็นประกายเหล่านี้ ทั้งคู่เคยชินนานแล้ว จึงไม่ได้สนใจเท่าใดนัก
“นั่นไง เมื่อครู่ข้าเจอพวกเขาที่นี่แหละ”
หลานเยียนชี้ไปยังลานเล็กเบื้องหน้า พูดอย่างเริงร่าว่า “ตอนนั้นพวกเขาทำท่าราวกับทัศนาจร ตลกนัก!”
สวีเสี่ยวหลานพยักหน้า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ พวกเขาเดินไปทางไหนแล้ว”
หลานเยียนชะงัก จากนั้นก็พูดอย่างกระดากอายว่า “เอ่อ…ตอนนั้นข้าไม่ได้สังเกต เอาแต่หัวเราะท่าเดียว…”
“ท่าน…แล้วท่านพาข้ามาที่นี่ทำไม!” สวีเสี่ยวหลานปวดหัวขึ้นมาทันควัน ไม่รู้ว่าศิษย์พี่คนนี้พานางมาทำพระแสงอะไรที่นี่
ในตอนนั้นเอง ชายคนหนึ่งก็ขี่กระบี่ผ่านไปอย่างรีบเร่ง
“ฮาย! ศิษย์พี่ม่อไห่ รีบขนาดนี้จะไปไหนหรือ” เมื่อหลานเยียนเห็นชายคนนั้น ก็ร้องตะโกนอย่างลิงโลด
ม่อไห่เป็นอันดับหนึ่งของรุ่นหนุ่มสาวแห่งสำนักวิหคชาด ไม่ว่าจะเป็นพลังแห่งสายเลือด หรือความสามารถโดยรวมที่แสดงให้เห็น ล้วนเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นเหนือรุ่นราวคราวเดียวกัน
แม้แต่ผู้มีพรสวรรค์เหนือชั้นอย่างสวีเสี่ยวหลาน ก็เทียบชั้นเขาไม่ได้เช่นกัน
ม่อไห่ได้ฟังก็หยุดอยู่กลางอากาศ นัยน์ตาสีแดงเจือความตื่นเต้น “ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องหลานเยียนกับศิษย์น้องสวีเสี่ยวหลานนี่เอง เกิดเรื่องใหญ่ที่ลานฝึกยุทธ์ ข้าจะรีบไปดูสักหน่อย!”
“เรื่องอะไรหรือ” สวีเสี่ยวหลานร้อนรุ่มใจ นางนึกถึงคนที่ไปที่ไหนก็สร้างเรื่องไม่เว้นวายคนนั้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“ได้ยินว่าที่ลานฝึกยุทธ์มีคนคนหนึ่ง…ไม่สิ มีวานรตัวหนึ่ง ระดับความบริสุทธิ์ของพลังอัคคีสูงกว่าร้อยละเก้าสิบ ข้าจะไปดูสักหน่อยว่ามันเป็นเทพเจ้าจากแห่งหนใด!”
“เช่นนั้นขอตัวก่อนนะ!”
ม่อไห่พูดจบก็ขี่กระบี่เหาะไป ไม่อยากชักช้าแม้แต่วินาทีเดียว
เมื่อสวีเสี่ยวหลานกับหลานเยียนได้ฟังก็งุนงงนิดหน่อย
“คุณพระ ความบริสุทธิ์ของพลังอัคคีเกินร้อยละเก้าสิบงั้นหรือ ข้าจำได้ เหมือนเจ้ากับม่อไห่จะแค่แปดสิบกว่าใช่ไหม วานรจากที่ใดกัน ไยจึงเก่งกาจปานนั้น” หลานเยียนพึมพำ
สวีเสี่ยวหลานติดอยู่ในภวังค์ เจ้าอัปลักษณ์งั้นหรือ
ไม่สิ เจ้าอัปลักษณ์ใช้กระบองเงินไม่ใช่หรือ พลังเซียนธาตุไฟของมันร้ายกาจปานนั้นตั้งแต่เมื่อใด
นางรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้ จึงขี่กระบี่ลอยขึ้นฟ้าทันใด “ศิษย์พี่ พวกเราก็ดูที่ลานฝึกยุทธ์กันเถอะ!”
หลานเยียนได้ฟังก็พยักหน้า จึงขี่พัดอัคนีตามหลังสวีเสี่ยวหลาน เหาะไปยังลานฝึกยุทธ์พร้อมกัน
ยามนี้ ลานฝึกยุทธ์แห่งอัคคีของสำนักวิหคชาด กำลังตกอยู่ในความโกลาหล
สภาพจิตใจของเหล่าลูกศิษย์ของสำนักวิหคชาดราวกับผ่านการนั่งรถไฟเหาะมา
พวกเขาตกตะลึงก่อน เมื่อเห็นหน้าค่าตาของเจ้าอัปลักษณ์ก็ตกใจ จากนั้นก็เริ่มตะลึงพรึงเพริด
จากนั้นก็ค่อยๆ…แปรเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งเช่นตอนนี้!
เหล่าลูกศิษย์กรูกันเข้าไปรุมล้อมพวกอันหลิน เรียกได้ว่าเบียดเสียดจนน้ำลอดผ่านไม่ได้
“พี่ลิงๆ ท่านมาจากสำนักไหนหรือ”
“อะไรนะ! มาจากเขตหมื่นเขางั้นหรือ”
“พลังอัคคีของท่านร้ายกาจเช่นนี้ ร่ำเรียนกับใครมาหรือ บอกข้าได้ไหม”
“อะไรนะ! พี่ลิงเป็นสัตว์เลี้ยงของน้องชายคนนี้หรือ!”
“หา เจ้าน่ะหรืออันหลินที่มาจากสรวงสวรรค์”
…
คำถามต่างๆ นานาถูกถามอย่างไม่ขาดสาย ทำเอาหูของอันหลินแทบแตกแล้ว
แต่เจ้าอัปลักษณ์กลับเพลิดเพลินใจ ฉีกยิ้มน่าเกลียดน่าชังของมันตลอดเวลา
เพราะเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่มันได้รับการต้อนรับเช่นนี้…
ขณะนั้นเอง ลำแสงสีแดงเส้นหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในลานฝึกยุทธ์
มีลูกศิษย์อุทานว่า “ศิษย์พี่ม่อไห่มาแล้ว!”
เหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายเห็นต่างก็พากันหลีกทางให้
ม่อไห่เป็นอันดับหนึ่งของรุ่นหนุ่มสาวแห่งสำนักวิหคชาด ไม่ว่าจะเป็นความสามารถ หรือศักยภาพในภายภาคหน้า ล้วนน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อพวกเขาเห็นศิษย์พี่ม่อไห่เข้ามา ย่อมไม่กล้าขวางทาง ต่างก็จดจ้องศิษย์พี่คนนี้อย่างเคารพยำเกรง
อันหลินเห็นชายรูปร่างหน้าตาธรรมดา ดวงตาสีแดงคนหนึ่งเดินเข้ามา
เรือนร่างของเขาแผ่ราศีแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ คิดว่าศิษย์พี่ม่อไห่ที่เหล่าลูกศิษย์เรียกกัน คงจะไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ
“ข้าชื่อม่อไห่ เจ้าน่ะหรือวานรที่มีระดับความบริสุทธิ์ของพลังอัคคีสูงกว่าร้อยละเก้าสิบ” ชายคนนั้นยกมือขึ้นคารวะเจ้าอัปลักษณ์แล้วเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว” เจ้าอัปลักษณ์พยักหน้ายอมรับ
“หึๆ ดีมาก…”
แววตาของม่อไห่ลุกเป็นไฟ ระเบิดพลังออกมาแล้วอย่างสิ้นเชิง
ตูม!
คลื่นความร้อนระอุเริ่มแผ่กระจายออกมาโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง
ลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งตกใจจนถอยกรูดและหน้าถอดสี
เมื่ออันหลินเห็นฉากนี้เข้าก็ตกใจ นี่มันบาเรียนี่นา!
ไม่สิ…มีแค่โครงร่าง ไม่ได้แปรสภาพอย่างสิ้นเชิง กึ่งแปลงจิตเหรอ
ม่อไห่ถูกคลื่นความร้อนสีแดงฉานปกคลุม จ้องมองเจ้าอัปลักษณ์ด้วยแววตาที่วาวโรจน์
เจ้าอัปลักษณ์ถือกระบอง ไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว
มันรู้แล้วว่า การต่อสู้ในครานี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว!
ม่อไห่เห็นเช่นนี้ก็ระเบิดเสียงหัวเราะ เมื่อกำมือ เสื้อก็ขาดกระจุย เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแน่นปึก
“ฮ่าๆ ๆ…”
“เช่นนั้นต่อไป…”
“ขอให้เจ้าใช้เปลวเพลิงที่มีอานุภาพรุนแรงที่สุดเผาข้าให้เต็มที่เลย!”
ขณะที่พูด เขาก็ชูสองมือขึ้น หลับตาลง ท่าทางราวกับนักบุญอาบแสงอาทิตย์
“ดี! เช่นนั้นเราก็มาสู้ให้…หา” เจ้าอัปลักษณ์ชูกระบองขึ้น ดวงตาดุจโคมไฟเบิกกว้างอย่างไม่เข้าใจ
อันหลิน “…”
อันหลินขยี้ตา จากนั้นก็มองม่อไห่ที่เปลือยท่อนบน ยังคงหลับตาพริ้มแวบหนึ่ง มุมปากกระตุกเล็กน้อย
เมื่อเห็นเจ้าอัปลักษณ์ไม่ขยับเขยื้อน ม่อไห่จึงลืมตาขึ้น พูดน้ำเสียงร้อนรนว่า “เป็นอะไรไป เผาข้าสิ!”
เจ้าอัปลักษณ์ “…”
“ขอร้องละ ลงมือสักครั้งเถอะ เห็นข้าเป็นกำแพงแก้วสีแดงได้หรือไม่” ม่อไห่วิงวอน
ในตอนนั้นเอง เหล่าลูกศิษย์ที่ล้อมมุงดูก็ตะโกนโหวกเหวกขึ้นมา
“เผาเลยๆ ๆ!”
“รีบเผาศิษย์พี่ม่อไห่เร็วเข้า!”
“พี่ลิง ขอร้องละ รีบเผาเถอะ…”
…
อันหลินถูกฉากที่เหมือนกำลังถูกพิพากษาโดยศาลเตี้ย ทำเอาตะลึงจนจิตใจว้าวุ่นอยู่นาน
เจ้าอัปลักษณ์เกาหัว เห็นฝูงชนฮึกเหิมและสีหน้าคาดหวังของม่อไห่ ในที่สุดก็ขว้างลูกไฟออกไปอย่างเหลืออด
ลูกไฟสีดำกระแทกหน้าอกของม่อไห่ พร้อมกับกลิ่นอายแห่งความตายอันกลืนกินสรรพสิ่งเข้าอย่างจัง
“อ๊าก…”
เสียงร้องทรมานปานจะขาดใจของม่อไห่ดังระงมทั่วลานฝึกยุทธ์ บาเรียไฟรอบตัวปะทะกับลูกไฟสีดำอย่างรุนแรง
เมื่อสวีเสี่ยวหลานและหลานเยียนมาถึงลานฝึกยุทธ์ ก็ได้ยินเสียงร้องปานหมูโดนเชือดของม่อไห่เข้า
“อ๊าก…พี่ลิง แรงกว่านี้อีกหน่อย!”
“อ๊าก…ทนไม่ไหวแล้วพี่ลิง เบาหน่อย”
“อ๊าก…พี่ลิง ขอกำลังไฟแรงกว่านี้อีกสักหน่อยเถอะ!”
เหล่าลูกศิษย์ล้อมวงกัน แต่ละคนมองดูจนหน้าแดงก่ำ…
“ฮ่าๆ ๆ…เสียงร้องของศิษย์พี่ม่อไห่ช่างตลกเหลือเกิน!” ยังไม่ทันเห็นตัว ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของหลานเยียนดังมาก่อนแล้ว สะกิดต่อมฮาของนางเข้าอีกแล้ว
พอสวีเสี่ยวหลานและหลานเยียนแทรกตัวผ่านฝูงชนเข้ามา ‘การต่อสู้’ อันดุเดือดนั่นก็ปิดฉากลงเสียแล้ว
ท่อนบนของม่อไห่เป็นสีแดงผสมสีดำเกรียม นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น เนื้อตัวมีกลิ่นไหม้
แต่ทว่า ใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มของความสุขประดับอยู่
ความสุนทรีย์จากไฟทมิฬที่กลืนกินสรรพสิ่งของเจ้าอัปลักษณ์ เขาได้สัมผัสแล้ว!
เขาเป็นคนบ้าสติวิปลาส ขอเพียงเป็นเปลวไฟที่มีอานุภาพรุนแรง เขาก็อยากจะลองมันด้วยตัวเอง
เขามีพรสวรรค์อย่างหนึ่ง เขาสามารถสัมผัสพลังงานของไฟได้อย่างแม่นยำ
จากการสัมผัสโดยตรงเช่นนี้ เขาสามารถสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว เส้นทางมรรควิถีแห่งไฟของตนก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง!
เพราะพรสวรรค์และความดื้อรั้นดุจคนเสียสติ เขาถึงได้กลายเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นหนุ่มสาวแห่งสำนักวิหคชาด
สายตาของสวีเสี่ยวหลานกวาดผ่านม่อไห่ที่สภาพย่ำแย่เหลือทน สุดท้ายก็หยุดลงตรงนี้ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนั้น
ชายคนนั้นก็จ้องมาที่นางพอดี
“อันหลิน!”
“สวีเสี่ยวหลาน!”
…………………….