ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 153 พลังปราณอนธการ
หวังลู่จากไปแล้ว จี่เยี่ยนหลิงร้องไห้ปานจะขาดใจ
นางที่เข้มแข็งมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับภัยอันตรายอะไร ไม่ว่าจะโดดเดี่ยวปานใด ก็จะไม่เสียน้ำตาแม้แต่หยดเดียว บัดนี้ร้องไห้สะอึกสะอื้น
หลังจากร่างของหวังลู่แหลกสลาย ไอสีดำที่หลงเหลือก็ลอยเข้าไปในร่างกายของอันหลิน
อันหลินสัมผัสได้ จึงไม่ปฏิเสธไอดำเหล่านั้น
เมื่อได้รับพลังปราณปีศาจแล้ว จิตใจของเขาไม่ถูกอารมณ์ด้านลบรุกรานแต่อย่างใด กลับกันเขามีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง ทุกอณูรูขุมขนของร่างกายกระปรี้กระเปร่า ทุกสิ่งในโลกชัดเจน เชื่องช้า
‘ติ้ง ดูดซึมพลังปราณแห่งปีศาจร้ายสำเร็จ เริ่มรับการสืบทอดพลังปราณอนธการ’
ครืน! ข้อมูลน่ากลัวเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในสมองของอันหลิน
กระบวนท่า พลังภายใน พลังยุทธ์ การหยั่งรู้วิถีแห่งอนธการ…
เขารู้สึกเหมือนสมองจะระเบิดอีกครั้ง แต่สติสัมปชัญญะกลับชัดเจนอย่างยิ่ง
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง…
อันหลินลุกขึ้นยืนขวางหน้าจี่เยี่ยนหลิง เนื้อตัวแผ่ไอดำทะมึนออกมาบางๆ
พลังปราณอนธการ พลังเทพสงครามขั้นกลาง สามารถใช้กระบวนท่านี้กระตุ้นศักยภาพทั้งหมดของร่างกายได้ในเวลาอันสั้น!
กระบวนท่านี้มีผลข้างเคียง ยิ่งใช้นานเท่าใด ผลข้างเคียงก็ยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น
เมื่อใช้พลังปราณอนธการ อย่างต่ำก็หมดเรี่ยวแรงหลายวัน หากว่าร้ายแรงจะทำลายรากฐานแห่งมรรค ถึงขั้นเสียชีวิตได้
เมื่อสูญสิ้นแรงสนับสนุนจากพลังของหวังลู่ เกราะป้องกันของหินครามความฝันก็เริ่มปริแตก
เพียงแต่ว่า ในชั่ววินาทีที่แตกร้าว มีพลังที่หลงเหลือเปลี่ยนชิ้นส่วนสีฟ้าให้เป็นคมกระบี่ พุ่งไปทางปีศาจร้ายตาสีชาดทันใด มันเป็นพลังสุดท้ายที่หลงเหลือในโลกของหวังลู่ คมกระบี่ทั้งหลายแฝงด้วยอานุภาพที่น่ากลัวที่สุด
ปีศาจร้ายตาสีชาดที่ตั้งตัวไม่ทันถูกคมกระบี่สีฟ้าโจมตีและทะลวง มันกรีดร้องออกมา
ขณะนั้นเอง กลิ่นอายพลังของอันหลินที่แผ่พลังปราณอนธการพุ่งทะยานสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นกลาง ขั้นปลาย…
พลังยิ่งใหญ่มหาศาลพุ่งขึ้นฟ้า มีภาพของเสือดำปรากฏบนกระบี่พิชิตมารดำทะมึน ความน่าเกรงขามของจอมราชันอันน่ากลัวแผ่กระจายไปทั่วทุกหนแห่ง ขณะเดียวกัน ก็ราวกับมีม่านดำชั้นหนึ่งปกคลุมไปทั่วบริเวณ
กระบวนท่าที่สอง เงาพยัคฆ์!
อันหลินเคลื่อนไหวแล้ว ร่างของเขาทิ้งเงาดำเป็นทางยาว ชั่วขณะที่เงาดำลากยาว ร่างของเขาก็โผล่มาท่ามกลางเงามืด ปรากฏอยู่ตรงหน้าปีศาจร้ายตาสีชาดอย่างน่าพิศวง กระบี่ฟันลงมาพร้อมกับพลังที่น่าสะพรึง!
เมื่อปีศาจร้ายตาสีชาดที่บาดเจ็บสาหัสเผชิญหน้ากับการโจมตีที่แปลกพิกลนี้ ก็ไม่อาจหลบหลีกได้เลย ทำได้เพียงยกมือขึ้นกำบัง
กระบี่ไร้เสียง แต่เงาของมันกลับยืดยาวร่วมร้อยจั้ง
มันกระชากแขนทั้งสองข้างของปีศาจร้ายตาสีชาด บดขยี้ดวงตาแดงฉานของมัน ตัดร่างดำสนิทของมันเป็นสองท่อน สุดท้ายก็สร้างรอยแยกลึกล้ำลงบนผืนพสุธา
ปีศาจร้ายตาสีชาดล้มลงแล้ว ร่างที่แตกกระจายเริ่มสลายหายไปช้าๆ ไอดำบนตัวอันหลินเริ่มเลือนหายไปเช่นกัน
เขาใช้พลังปราณอนธการไปหลายวินาที บวกกับกระบวนท่าที่สองของหกกระบวนท่าแห่งเทพสงคราม ทำให้ร่างกายของเขาเจ็บปวดรวดร้าวเกินทน คุกเข่าลงหายใจหอบหนัก
แต่ทว่า สงครามยังไม่จบ
ปีศาจร้ายสี่ตัว เจ้าอัปลักษณ์จัดการสองตัว สวีเสี่ยวหลานกับต้าไป๋ต่อกรกันคนละตัว ต่างก็อยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ ทำได้เพียงยื้อเวลาเท่านั้น
“นายท่านๆ ให้เสี่ยวหงออกไปสู้ด้วยนะ” กระเป๋าของอันหลินขยับ
ตอนนี้แม้แต่ยืนอันหลินก็ทำไม่ได้แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวหงก็ชะงักไปเหมือนกัน “เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่า ระดมพลังในสถานที่มืดสลัวไม่ได้ อีกอย่าง เจ้าเพิ่งช่วยข้าต่อสู้กับการรุกรานของปีศาจร้ายไป ไม่เป็นไรจริงหรือ”
“ไม่มีปัญหา จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่า สามารถปล่อยพลังงานจากการสังเคราะห์แสงออกมาในคราวเดียวได้!” เสียงหวานดังออกมาจากกระเป๋าของอันหลินอีกครั้ง
อันหลิน “…”
แม้จะไม่เข้าใจว่าการปล่อยพลังงานจากการสังเคราะห์แสงที่เสี่ยวหงว่าคืออะไร แต่หากว่าช่วยพวกสวีเสี่ยวหลานได้ เขาย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ เสี่ยวหงจึงกระโดดออกจากกระเป๋า กลายร่างเป็นหญิงสาวรูปร่างระหง
มันยังคงสวมชุดสีแดง ใบหน้าจิ้มลิ้มที่เพียงพอจะล่มเมืองได้เต็มไปด้วยความขึงขัง
“ตัวแทนแห่งดวงอาทิตย์จะลงทัณฑ์เจ้าเอง!” เสี่ยวหงกระโดดขึ้นสูงพร้อมกับตะโกนเสียงหวาน
ทันใดนั้น ร่างของมันก็ระเบิดลำแสงสว่างเจิดจ้า!
ลำแสงสีทองกลายเป็นคลื่นแสง พุ่งไปโจมตีปีศาจร้ายตาสีชาดพร้อมกับพลังที่รุนแรงและบริสุทธิ์ที่สุด
ตูมๆ ๆ!
การโจมตีแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นการระเบิดแบบปูพรมชัดๆ ไม่อาจหลบหลีกได้เลยสักนิด
ปีศาจร้ายสี่ตัวถูกแสงสว่างโจมตีจนเริ่มกรีดร้องโหยหวน
เจ้าอัปลักษณ์ได้โอกาส กระบองเงินห้อมล้อมด้วยเพลิงสีดำอันมีเจตจำนงกลืนกินสรรพสิ่ง ฟาดปีศาจร้ายสองตัวนั้น
สวีเสี่ยวหลานกางปีกเปลวเพลิง กระบี่ลอยกลางอากาศ พุ่งออกไปฟันปีศาจร้ายที่อยู่เบื้องหน้า
ส่วนต้าไป๋ก็ใช้กรงเล็บที่คมกริบฉีกกระชากร่างปีศาจร้าย
ปีศาจร้ายทั้งสี่ตัวล้มลงทันใดด้วยการโจมตีอย่างรุนแรงของทุกคน ร่างบิดเบี้ยวเริ่มหย่อนยานช้าๆ
‘ตัวแทนของดวงอาทิตย์จะลงทัณฑ์เจ้าเอง’ ของเสี่ยวหง เป็นดุจเทพเนรมิต พลิกสถานการณ์ไปโดยสิ้นเชิง!
“สุดยอดไปเลยดอกไม้ของข้า พืชชนิดอื่นสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างสารอาหาร แต่เจ้ากลับเอาการสังเคราะห์แสงมาปล่อยคลื่นแสงโจมตี!” อันหลินเบิกตากว้าง เอ่ยปากชมไม่ขาดปาก
ใบหน้าของเสี่ยวหงหมดสิ้นความลำพองใจแล้ว มันขยี้ตาแล้วหาวหวอดๆ แสงสว่างกะพริบ กลับสู่ร่างของดอกไม้สีแดงน่ารักแล้วกระโดดกลับเข้าไปในกระเป๋าของอันหลินเช่นเดิม
“นายท่าน พลังงานที่กักตุนจากการสังเคราะห์แสงถูกใช้หมดแล้ว”
“ต่อจากนี้ข้าจะหลับใหลสักระยะ อย่าลืมเอาข้าออกมาตากแดดทุกวันละ!”
อันหลินพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ก็แค่เอาออกมาตากแดด ใครจะดูแลดอกไม้ไม่เป็นบ้าง ของกล้วยๆ
ในที่สุดสงครามนี้ก็ปิดฉากลง
เจ้าอัปลักษณ์ ต้าไป๋และสวีเสี่ยวหลานต่างก็บาดเจ็บหนักเบาแตกต่างกันไป
ช่องท้องของอันหลินได้รับบาดเจ็บสาหัส พลังอ่อนลงเป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่ขี่กระบี่เหาะเหินไม่ได้เลย เกรงว่าแม้แต่พลังเซียนที่พื้นฐานที่สุดก็หมดเรี่ยวแรงจะสำแดง
แต่หากจะบอกว่าผู้ที่เจ็บปวดที่สุด คงมีแต่จี่เยี่ยนหลิง
นางนั่งอยู่บนพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก ดวงตาที่เคยสุกใสมีชีวิตชีวา บัดนี้สูญเสียความสดใสทั้งหมดไปแล้ว
ผมยาวสลวยยุ่งเหยิง มือขาวปลอดของนางยังคงประคองหินครามความฝันไว้ เพียงแต่ว่าแสงของเพชรเม็ดนี้หมดสิ้นไปแล้ว กลายเป็นก้อนหินธรรมดาก้อนหนึ่ง
พวกสวีเสี่ยวหลานยืนนิ่งกับที่ ไม่รู้ว่าควรปลอบใจอย่างไร
สภาพของจี่เยี่ยนหลิงย่ำแย่ยิ่งนัก หญิงสาวที่เคยทรหดและเด็ดเดี่ยวจนน่านับถือคนนั้น บัดนี้ราวกับสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แววตาเหลือเพียงความอ้างว้าง
อันหลินเดินเข้าไป เขาเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว พูดอย่างอ่อนโยนว่า “สหายจี่เยี่ยนหลิง นี่เป็นความทรงจำบางส่วนที่หวังลู่ทิ้งไว้ให้ข้า ข้าจะมอบมันให้เจ้า”
จี่เยี่ยนหลิงได้ฟังก็สะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าขาวผ่องยังคงเปื้อนน้ำตา
อันหลินถอนหายใจเบาๆ ยกปลายนิ้วที่ส่องแสงสีขาวไปแตะที่หน้าผากของนาง
จากนั้น ภาพเหตุการณ์ในอดีตก็เริ่มผุดขึ้นมาในสมองของจี่เยี่ยนหลิงเป็นฉากๆ
ท่ามกลางหุบเหวหมื่นกาลี ความดำดิ่งคลุ้มคลั่งยามหวังลู่กลายเป็นปีศาจร้าย เฝ้าปกป้องไม่ยอมไปไหนหลังเห็นจี่เยี่ยนหลิง รวมถึงเสียงรำพึงรำพันเป็นครั้งคราว…
สุดท้ายความทรงจำก็สิ้นสุดลง น้ำเสียงที่อ่อนโยนและคุ้นเคยดังขึ้นในหัวของนาง
“เสี่ยวเยี่ยน จงมีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะ”
ทั้งที่เป็นเพียงคำพูดที่ธรรมดามาก แต่จี่เยี่ยนหลิงกลับร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง
นางรู้แล้วว่า ขณะที่นางวนเวียนอยู่ในหุบเหวอันมืดมนไร้แสงตะวัน แท้จริงแล้วนางไม่ได้โดดเดี่ยวแต่อย่างใด
หวังลู่อยู่เคียงข้างนางเสมอ…
“หวังลู่ ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”
“ข้าจะไม่ยอมให้การเฝ้าปกป้องในช่วงเวลาเหล่านี้ของเจ้าสูญเปล่า”
จี่เยี่ยนหลิงเช็ดน้ำตา จากนั้นก็กำเพชรที่หม่นหมองไร้แสงเม็ดนั้นไว้แน่น ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้ามีรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มปรากฏให้เห็น
“ครั้งที่แปดแสนเก้าหมื่นเก้าพันหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดครั้งแล้ว”
…………………