ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 179 แฟนคลับตัวยงที่น่ากลัว
ม่านรัตติกาลมาเยือนอย่างเงียบเชียบ อันหลินที่เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกมาทั้งวัน เดินทางกลับที่พักของตนแล้ว
อืม…ดึกดื่นป่านนี้ พรุ่งนี้เป็นวันแรกของการเปิดเทอม สองพี่น้องคู่นั้นคงจะกลับไปแล้วละมั้ง
เขาถอนหายใจเบาๆ ไม่คิดเลยว่าความโด่งดังจะเป็นเรื่องที่วุ่นวายขนาดนี้
เมื่อเปิดประตูห้อง ภายในห้องมืดสนิท
พรึ่บ!
จู่ๆ ห้องก็สว่างโร่ทันใด บุคคลที่แต่งตัวเลิศหรูสองคนโผล่เข้ามาในสายตาของเขา
ผู้ชายสวมชุดสีดำ เหล่อเหลาเย็นชา ผู้หญิงสวมชุดสีเขียว น่ารักจิ้มลิ้ม
“เซอร์ไพรส์!”
ทั้งคู่ตะโกนพร้อมกัน
ขณะที่พูด ชายหนุ่มยังชักกระบี่ออกมาอีกด้วย
“ศิษย์พี่อันหลิน ข้าเหยาหมิงซี ปีหนึ่งห้องหนึ่ง” ชายหนุ่มกล่าว
“ที่รัก! ข้าเหยาซิ่ว ปีหนึ่งห้องหนึ่ง!” หญิงสาวตาเป็นประกาย
มุมปากของชายหนุ่มกระตุก “ซิ่วเอ๋อร์ สำรวมหน่อย!”
หญิงสาวแลบลิ้นเล็กน้อยอย่างขี้เล่น จากนั้นก็จดจ้องอันหลินไม่วางตา
อันหลินงงเป็นไก่ตาแตก สองคนนี้วิ่งมานั่งอยู่ในห้องของตนงั้นเหรอ
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
“ลำดับต่อไปขอเชิญรับชมการแสดงที่เราตั้งใจเตรียมไว้เพื่อท่าน!” ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมเพรียงกัน
“แม่น้ำหนึ่งสาย…คลื่นกว้างใหญ่…ลมโชยทุ่งข้าว…กลิ่นหอมไปสองฟากฝั่ง…บ้านฉันอยู่ที่…” เสียงหวานกังวานของซิ่วเหยาดังขึ้น
เหยาหมิงซีเองก็เริ่มรำกระบี่ ชั่ววินาทีที่แสงกระบี่สั่นสะเทือน พลังปราณก็เคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะดุจเกลียวคลื่น ทั้งงดงามและพร้อมด้วยความสุนทรีย์
อันหลินอ้าปากค้าง เหม่อมองคนเสียสติสองคนที่กำลังร้องรำทำเพลงในห้องของตน
ไม่กี่นาทีให้หลัง สองคนที่ทุ่มเทแสดงจนจบก็มองอันหลินด้วยความคาดหวัง
“ศิษย์พี่อันหลิน การแสดงที่เราเตรียมไว้ให้ท่านชอบหรือไม่” เหยาหมิงซีจ้องอันหลินพลางเอ่ยถามอย่างลุ้นระทึก
“เพื่อให้ท่านรู้สึกถึงความอบอุ่นของบ้าน ซิ่วเอ๋อร์ยังตั้งใจไปฝึกขับร้องเพลงแดนมนุษย์อีกด้วย!” ดวงตากลมโตสุกใสของเหยาซิ่วจ้องอันหลินอย่างเคลิบเคลิ้ม ท่าทางเหมือนบ่งบอกว่า ‘รีบชมข้าสิ’
ใบหน้าของอันหลินกระตุก เพื่อให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นของบ้าน ถึงได้ร้องเพลง ‘มาตุภูมิของฉัน’ เหรอ เยี่ยมจริงๆ!
“อืม ข้าชื่นชอบการแสดงของพวกเจ้ามาก ดึกแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” เขาเค้นรอยยิ้มออกมา กล่าวกับทั้งสองคน
“อา…จริงหรือ ศิษย์พี่ชอบจริงๆ หรือ!”
เหยาซิ่วพินิจมองอันหลิน ลมหายใจถี่กระชั้น เข้ามาใกล้ทีละก้าว
อันหลินถอยหลังทีละก้าว ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
“ขอเพียงศิษย์พี่ชอบ พวกเราสองพี่น้องมาร้องรำทำเพลงให้ท่านชมทุกวันได้!” เหยาหมิงซีก็เข้าใกล้อันหลินไม่หยุด จ้องเขาด้วยแววตาเร่าร้อน
“ไม่ต้องลำบากเช่นนั้นหรอก ข้าพอใจมากแล้ว!” อันหลินปฏิเสธทันควัน
“ไม่ลำบากหรอก!” ทั้งคู่ระริกระรี้ พูดขึ้นพร้อมกัน
อันหลินคำรามกร้าวในใจ ‘พวกเจ้าไม่ลำบาก แต่ข้าลำบาก!’
“ศิษย์พี่อันหลิน พวกเราขอลายเซ็นหน่อยได้ไหม”
“ได้…”
อันหลินเซ็นชื่อลงบนกระบี่ของพวกเขา
นี่เป็นจุดที่ผู้บำเพ็ญกระบี่ให้ความสำคัญที่สุด ยอมให้เขาเซ็นชื่อลงไปตรงนั้น อดพูดไม่ได้ว่า สองพี่น้องคู่นี้กลายเป็นแฟนคลับตัวยงของเขาไปแล้วจริงๆ…
“ศิษย์พี่อันหลิน นี่เป็นยันต์สื่อจิตของข้า ขอช่องทางการติดต่อได้ไหม”
“ได้…”
อันหลินทิ้งตราประทับลงบนยันต์สื่อจิตของพวกเขา เพื่อส่งแฟนคลับบ้าคลั่งสองคนนี้ไป เขาก็ทุ่มสุดตัวแล้วเช่นกัน
“ศิษย์พี่อันหลิน พวกเราย้ายมาอยู่ที่ห้องของท่านได้ไหม”
“ได้…”
“…ไปให้พ้น!”
พับผ่าสิ ยิ่งอยู่ยิ่งเกินเหตุแล้ว
ด้วยอารมณ์โกรธชั่ววูบ อันหลินจึงปล่อยต้าไป๋ออกมาขับไล่แขกออกไป!
“ศิษย์พี่อันหลิน พวกเราจะกลับมาแน่!” เหยาหมิงซีตะโกนขณะที่วิ่งไปด้วย
“รักท่านนะศิษย์พี่ แล้วพบกันพรุ่งนี้!” เหยาซิ่วตะโกนเสียงไพเราะ
อันหลิน “…”
ขณะนั้นเอง หน้าต่างของตึกที่อยู่ข้างๆ ก็เปิดออก
หญิงสาวมองมาข้างๆ เห็นอันหลินที่เดินหน้าถมึงทึงอยู่หน้าประตู จึงยิ้มหวานหยดย้อย ใบหน้างามสะคราญเจือความหยอกล้อ “อันหลิน ยินดีด้วยนะ ได้แฟนคลับที่น่ารักเพิ่มอีกแล้ว”
อันหลินหันมองสวีเสี่ยวหลานที่กำลังเท้าคาง นัยน์ตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยวที่น่ารัก เขาทอดถอนใจ “เจ้าอย่าเยาะเย้ยข้าเลย หากว่าแฟนคลับเปลี่ยนเป็นของสมนาคุณได้…ต่อให้ข้าต้องเสียเงินเพิ่ม ก็จะเอาพวกเขาออกไปให้ได้!”
บอกตามตรง เขาถูกแฟนคลับตัวยงสองคนนี้ปั่นหัวไม่เบาแล้ว
กลัวว่าจู่ๆ จะโผล่มาอีกไม่ยามใดก็ยามหนึ่ง มาร้องรำทำเพลงให้เขาอีก
เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เขาจึงวางค่ายกลแจ้งเตือนรอบบ้านของเขา หากว่ามีคนแปลกหน้าย่างกรายเข้ามา เสียงแจ้งเตือนจะดัง
หลังจากที่ทำการป้องกันอย่างรอบคอบแล้ว เขาถึงได้หลับตาเข้านอน
แต่ทว่าเมื่อเขาหลับตาแล้ว ยันต์สื่อจิตของเขาก็พลันสั่นขึ้น สาดแสงออกมาอย่างบางเบา
อันหลินนึกสงสัยในใจ จึงกดเชื่อมต่อยันต์สื่อจิต “สวัสดี ใครน่ะ”
เสียงอ่อนหวานดังลอดมาจากยันต์สื่อจิต “ศิษย์พี่ ข้าซิ่วเอ๋อร์เอง”
อันหลินกะพริบตาปริบๆ “อืม…มีธุระอะไรหรือ”
เหยาซิ่ว “ท่านหลับหรือยัง”
อันหลิน “…เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
เหยาซิ่ว “อ้อ งั้นก็ราตรีสวัสดิ์ คิคิ…”
มุมปากของอันหลินกระตุก กดตัดสัญญาณของยันต์สื่อจิตเงียบๆ
เขาไม่คิดเลยว่าตนจะมีวันที่ถูกปั่นหัวด้วยเหมือนกัน
จะว่าไป…ยันต์สื่อจิตไม่มีฟังก์ชันปิดเครื่อง และไม่มีฟังก์ชันปฏิเสธการรับสายด้วย…
ไม่ว่าอย่างไรมือถือก็ดีกว่า!
เขาเข้านอนอีกครั้งพร้อมกับจิตใจที่โกรธขึง
จันทราลาลับตะวันลอยขึ้น
รุ่งอรุณของวันต่อมา อันหลินตื่นขึ้นมาแล้ว
เขาเข้าสู่บทเรียนอันคุ้นเคยอีกครั้ง ที่นี่มีอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นที่คุ้นเคย
ตารางเรียนแตกต่างไปจากชั้นปีที่หนึ่งอยู่บ้าง ช่วงเช้ายังคงเป็นวิชาพื้นฐานเช่นเดิม ช่วงบ่ายเป็นวิชาเฉพาะ
วิชาเฉพาะแบ่งเป็นการปรุงยา หลอมศาสตรา ค่ายกล ทักษะการใช้อาวุธ พลังเซียน จิตหกแขนง
เหล่าลูกศิษย์จะเลือกแขนงที่ตนชอบตามความสนใจ เพื่อเรียนศาสตร์นั้นโดยเฉพาะ
ตอนนั้นอันหลินเองก็ลังเลอยู่นาน
สำหรับเขาแล้ว การปรุงยาและการหลอมศาสตราไม่น่าใจเลยแม้แต่นิด อย่างไรเสียมีเงินมากมายปานนั้น จะกินยาเซียนก็ซื้อได้ อาวุธเซียนก็มีชิ้นสองชิ้นแล้ว เขาไม่ได้ขาดแคลนของสองสิ่งนี้ ใช่ว่าจะเหมือนเซียวหัวหั่วที่ใช้การปรุงยาอายุวัฒนะโชว์ความเท่เสียหน่อย ฉะนั้นจึงมองข้ามสองแขนงนี้ไป
ส่วนค่ายกลนั้น ซับซ้อนเกินไป จะศึกษาให้ดีมันเสียพลังและเวลาเกินไป แถมการวางค่ายกลก็ยุ่งยากวุ่นวาย จะทลายค่ายกลก็มีวิชาญาณทิพย์อยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลเลยสักนิด จึงไม่จำเป็นสำหรับตอนนี้มากนัก
ทักษะการใช้อาวุธ หลังอันหลินหยั่งรู้หกกระบี่เทพสงครามแล้ว ความเข้าใจในเพลงกระบี่ การสัมผัสจิตแห่งกระบี่แก่กล้าอย่างยิ่งแล้ว ไม่มีอะไรให้เพิ่มพูนแล้ว เรื่องนี้ไม่พิจารณาก็ได้
วิชาพลังเซียน เป็นการเรียนที่ศึกษาว่าจะใช้พลังเซียนให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดอย่างไร รวมถึงเรียนรู้พลังเซียนที่ใช้งานได้ดี และชี้แนะวิธีการสร้างพลังเซียนด้วยตนเอง
ฟังดูไม่เลวเลยทีเดียว แต่อันหลินเป็นเซียนกระบี่แล้ว แม้จะมีพลังเซียนนับหมื่น เราก็จะทำลายมันในกระบี่เดียว! มุ่งเน้นมรรคแห่งกระบี่แล้ว จะศึกษาพลังเซียนไปทำไม มันเป็นการทรมานตัวเองไม่ใช่เหรอ
แขนงสุดท้ายคือวิชาจิต พูดถึงการใช้จิต การทำให้จิตแข็งแกร่ง รวมไปถึงการใช้จิตจับการเคลื่อนไหวของศัตรู ฟังก์ชันนี้เหมือนว่าวิชาญาณทิพย์จะทำได้เหมือนกัน…
อันหลินลูบคาง ขมวดคิ้วมุ่น ลังเลเอาแน่เอานอนไม่ได้
เขาพบปัญหาที่ร้ายแรงอย่างยิ่งประการหนึ่ง
ใช่แล้ว เขาคิดว่าตัวเองในตอนนี้แข็งแกร่งมาก!
รู้สึกว่าไม่ต้องเรียนอะไรทั้งนั้นแล้ว!