ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 190 อัจฉริยะหนุ่มสาวสี่ทิศชุมนุมกัน
รุ่งอรุณ นภาเหนือสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียน แพรต่วนสีรุ้งเส้นแล้วเส้นเล่าล่องลอยอยู่บนเวหา
ในจัตุรัสฟ้าครามที่จุคนได้ร่วมแสนคน ร้อยบุปผาบานสะพรั่ง ต้นไม้สูงใหญ่โยกไหวไปตามแรงลม ด้านบนมีประโยค ‘ยินดีต้อนรับสหายทั่วทุกสารทิศที่มาร่วมงานมรรคเทศนา’
นักเรียนห้าหมื่นชีวิตเริ่มมารวมตัวกันที่จัตุรัส
ตัวแทนรุ่นหนุ่มสาวพร้อมผู้ติดตามที่มาร่วมมรรคเทศนาของเมืองพุทธ สวนเอเดนและหอสร้างโลก มีทั้งสิ้นหลายพันคน ก็มาพร้อมเพรียงกันแล้ว
วันนี้สภาพร่างกายของอันหลินค่อนข้างดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมื้ออาหารเมื่อวานหรือไม่ รู้สึกว่าเปี่ยมด้วยกำลังวังชา
งานชุมนุมแลกเปลี่ยนมรรคเทศนาสี่ทิศยังไม่เริ่มอย่างเป็นทางการ เขา หลิวเชียนฮ่วนและหวังเสวียนจ้านเป็นตัวแทนของสรวงสวรรค์ กำลังพูดคุยสัพเพเหระอยู่ข้างเวทีมรรคเทศนา
ตัวแทนของเมืองพุทธอย่างชิงจือ ชิงเหยียนและชิงซินกำลังนั่งเงียบๆ หลับตาพริ้มอยู่ข้างเวที
เชอรีล ออกัสและอาเธอร์จากสวนเอเดนอาบรัศมีศักดิ์สิทธิ์ ส่งยิ้มให้ทุกคนในจัตุรัสฟ้าครามอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งสามคนหน้าตาดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้รอยยิ้มเจือความเป็นมิตรที่ดูธรรมชาติ ดึงดูดแฟนคลับได้นับไม่ถ้วนในพริบตา
เชอรีลแอบเหลือบมองอันหลินด้วยสายตาที่มีเลศนัยอยู่บ่อยครั้ง แหวนมิติสีฟ้าในมือส่องแสงประหลาดแปลบปลาบ
หากบอกว่าคนที่น่ารังเกียจที่สุด คงไม่พ้นตัวแทนจากหอสร้างโลก
หงโต้วเป็นมนุษย์หินที่ร่างหนาและกำยำ หน้าอกมีลูกไฟลุกโชน ดวงตาแดงฉานดุจเลือด นี่มันภาพลักษณ์ของบอสที่รับบทคนร้ายชัดๆ แถมยังเป็นสายที่จับต้องไม่ได้เสียด้วย
ตงเยี่ยนเป็นนกนางแอ่นยักษ์ที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าเสี่ยวเยี่ยนจื่อ[1]ในองค์หญิงกำมะลอ ปีกของมันแผ่ออร่าที่น่าสะพรึง ไอเย็นน่าครั่นคร้ามกระจายออกมาเป็นระลอกๆ แลดูอำมหิตและเลือดเย็น
ส่วนหวงส่านจะหล่อเหลากว่านิดหน่อย รูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ เนื้อตัวเป็นสีทองเกลี้ยงเกลา ส่องแสงของโลหะแวววับ นัยน์ตามีกระแสไฟสีทองกะพริบระยิบระยับ
ผู้ติดตามจากหอสร้างโลกล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิลึกกึกกือ รู้สึกเหมือนสัตว์ประหลาดที่มีปัญญาแล้วมาร่วมมรรคเทศนา
กองทัพแบบนี้ อย่าว่าแต่เหล่านักเรียนหมดอารมณ์เลย แม้แต่ผู้ติดตามร่วมพันชีวิตของหอสร้างโลกก็มักจะแคะจมูกอย่างเบื่อหน่ายเพราะไม่มีอะไรทำ ไม่มีความกระเตื้องเลยแม้แต่นิด
“สหายอันหลิน ประเดี๋ยวตอนประลองยุทธ์เจ้าจะทุ่มสุดตัวหรือไม่ หากเจ้าคิดจะจริงจัง ข้าจะยืนเงียบๆ อยู่อีกมุม ไม่มารบกวนเจ้าแน่นอน” หวังเสวียนจ้านจ้องอันหลินแล้วพูดเสียงเป็นจริงเป็นจัง
มุมปากของอันหลินกระตุก อะไรคือจะทุ่มสุดตัวหรือไม่ ฉันทุ่มสุดตัวมันก็อย่างที่เห็นนั่นแหละเฟ้ย!
เขาอึดอัดใจเล็กน้อย พูดอย่างถ่อมตัวว่า “ข้าเป็นแค่นักเรียนระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นต้นนะ!”
หวังเสวียนจ้านได้ฟังก็แสดงสีหน้าเป็นเชิงบอกว่าเข้าใจแล้ว “ได้ ในเมื่อสหายอันหลินไม่อยากลงมือจริงจัง เช่นนั้นข้าจะสอนจระเข้ว่ายน้ำ พยายามแสดงฝีมือสักหน่อยแล้วกัน”
อันหลินไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ทำได้แค่ยิ้มน้อยๆ อยู่ข้างๆ จากนั้นก็เงียบงัน
“วางใจเถอะ มีศิษย์พี่หวังเป็นเกราะ พวกเราจัดท่าจัดทางนอนรอชัยชนะก็พอแล้ว” หลิวเชียนฮ่วนใช้ศอกกระทุ้งอันหลิน ถามอย่างยิ้มแย้มว่า “ใช้โอกาสที่มรรคเทศนายังไม่เริ่ม มาเล่นกันสักตาดีไหม”
อันหลินสะดุ้งโหยงเมื่อได้ฟัง ส่ายหน้าหวือแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หลิว จะเล่นเกมต้องแบ่งสถานการณ์หน่อยสิ หลายหมื่นคนกำลังมองเราอยู่นะ”
“ชิ แค่ไม่กี่หมื่นคนก็หงอยขนาดนี้แล้วหรือ” หลิวเชียวฮ่วนปรายตามองอันหลินอย่างดูถูก หยิบมือถือขึ้นมาแล้วก้มหน้าก้มตาฉายเดี่ยวเพียงลำพัง
อันหลินถอนหายใจเบาๆ ตัวแทนของกลุ่มอิทธิพลอื่น หากไม่ดึงดูดแฟนคลับเหมือนดารา ก็นั่งทำสมาธิอย่างนักปราชญ์ มีลักษณะของยอดฝีมือ
ส่วนทางด้านของสรวงสวรรค์ ทำได้เพียงอาศัยความหน้าตาดีของอันหลินช่วยประคับประคอง
แม้หลิวเชียนฮ่วนจะงดงามมาก แต่นางเอาแต่จ้องหน้าจอมือถือ เป็นเหมือนสาวน้อยที่ยังห่วงเล่น ไม่มีคลาสเอาเสียเลย
ส่วนหวังเสวียนจ้าน หากจะพูดถึงระดับความอหังการ ไม่อหังการเท่าตัวแทนของหอสร้างโลก ถ้าจะพูดถึงระดับความหน้าตาดี ก็สู้อันหลินไม่ได้เช่นกัน กลับกันเป็นหนึ่งคนที่ธรรมดาที่สุด
แน่นอนว่าตอนที่เริ่มมรรคเทศนา ยามเขาแสดงฝีมือมันจะไม่เหมือนเดิม
รองผู้อำนวยการอวี้หัวแห่งสรวงสวรรค์ ราชสีห์แห่งหอสร้างโลก วาเนสซาแห่งสวนเอเดน ฮุ่ยหมิงแห่งเมืองพุทธนั่งอยู่ด้านหน้าสุดของอัฒจันทร์
อีกด้านหนึ่ง บนที่นั่งของแขกผู้มีเกียรติ เซียนหญิงที่สวมชุดสีเรียบ งดงามอ่อนหวาน ใบหน้าผ่อนคลายดุจเดินออกมาจากภาพวาด ดวงตากำลังจดจ้องมาที่อันหลิน
เสียงของหญิงสาวเบาจนเหมือนพึมพำ แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นอย่างยิ่ง “อันหลิน ครั้งนี้…เราจะได้เห็นดีกันแน่!”
จู่ๆ อันหลินที่กำลังหมดอาลัยตายอยากก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
พอเขาเหลียวมอง ก็พบว่ามนุษย์หินที่หน้าอกมีเปลวไฟลุกโชนกำลังแสยะยิ้มใส่เขา
สายตาของทั้งคู่ประสานกัน หงโต้วยังยืดอกกำยำของมันขึ้นเล็กน้อย เปลวไฟกลางหน้าอกแดงฉานยิ่งกว่าเดิม
อันหลิน “…”
ขณะนั้นเอง มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมากะทันหัน “ขอต้อนรับสหายที่เดินทางไกลมาจากสวนเอเดน เมืองพุทธ และหอสร้างโลก เข้าร่วมงานชุมนุมแลกเปลี่ยนมรรคเทศนาสี่ทิศ พวกเราจะนั่งสนทนามรรคที่นี่ เป็นประจักษ์พยานฝีมือของรุ่นหนุ่มสาวแห่งสี่อิทธิพลใหญ่…”
ในฐานะเจ้าภาพ รองผู้อำนวยการอวี้หัวเริ่มกล่าวเปิดงานแล้ว
จากนั้นผู้นำของสามอิทธิพลที่เหลืออย่างฮุ่ยหมิง ราชสีห์และวาเนสซาก็ทยอยกล่าวคำพูดง่ายๆ ด้วยเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดตามมารยาทที่เป็นทางการเหล่านี้ ทุกคนในงานก็แค่ฟังส่งๆ ไปเท่านั้น
ตอนนี้ต่อให้พูดน่าฟังแค่ไหน สุดท้ายคนหนุ่มสาวต่างก็เป็นเพียงพวกไม่เอาไหน มันไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ฉะนั้นสิ่งสำคัญก็ต้องดูความสามารถของตัวแทนจากแต่ละกลุ่มอิทธิพล
อันหลินคิดว่าบรรยากาศช่างคล้ายคลึงกับการจัดงานกีฬาโอลิมปิกบนโลกมนุษย์ เปลี่ยนแต่ละกลุ่มอิทธิพลเป็นประเทศ ส่วนพวกเขาก็เป็นเหมือนนักกีฬา เป็นคนที่สร้างชื่อเสียงเพื่อประเทศชาติ
รายละเอียดการแข่งขันแบ่งออกเป็นวรยุทธ์ มรรค ความคิด การเอาตัวรอดและแย่งชิงห้ารายการ แต่ละรายการมีคะแนนที่แตกต่างกัน กลุ่มอิทธิพลที่ได้คะแนนรวมเป็นอันดับหนึ่ง ไม่เพียงแต่จะได้รางวัลตอบแทนเป็นอย่างงาม ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับอิทธิพล มีเกียรติยศสูงส่งที่สะเทือนแผ่นดิน
อันหลินไม่อยากเข้าร่วมงานมรรคเทศนาแบบนี้ อันที่จริงเป็นเพราะไม่มั่นใจในตัวเอง กลัวว่าตนจะเป็นภาระ
และหากทำเรื่องน่าอายเมื่อถึงตอนนั้น จะไม่ใช่เพียงขายหน้าสำนักเท่านั้น แต่จะสร้างความอับอายไปทั่วแดนจิ่วโจวด้วย มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน!
ไม่นาน เมื่อกล่าวเปิดงานเสร็จแล้ว งานแลกเปลี่ยนมรรคเทศนาจึงเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ
รายการแข่งขันลำดับที่หนึ่งคือวรยุทธ์ ความจริงแล้วก็คือการประลองระดับของยุทธ์ที่นักพรตคนหนึ่งใช้
พระโพธิสัตว์ฮุ่ยหมิงเดินขึ้นสังเวียน หยิบแท่นศิลาสีดำขนาดใหญ่ออกจากลูกประคำ มันกว้างสิบจั้ง สูงร่วมร้อยจั้ง ตั้งตระหง่านอยู่เหนือสังเวียน
“นี่เป็นศิลาประเมินระดับของวรยุทธ์ มันสามารถวินิจฉัยระดับของวรยุทธ์ที่นักพรตครอบครองได้ แบ่งออกเป็นสวรรค์ พสุธา อนธการและบุษราคัมสี่ระดับ รายละเอียดการประลองยุทธ์ ขอให้ตัวแทนหนุ่มสาวของสี่ทิศสำแดงพลังต่อศิลาประเมินผล วิธีการนับคะแนนคือระดับลึกล้ำขั้นต้นหนึ่งคะแนน ไล่ไปจนถึงระดับสวรรค์ขั้นสูงสิบสองคะแนน…”
เสียงของพระโพธิสัตว์ฮุ่ยหมิงสะท้อนไปทั่วจัตุรัสฟ้าคราม กติกาง่ายดายมาก ให้นักพรตสำแดงวิชาที่ตนภาคภูมิใจที่สุด ใช้สิ่งนี้มาประเมินความรู้และพรสวรรค์ที่เขาได้รับ
อันหลินมองศิลายักษ์สีดำ มันคล้ายกำแพงแก้วสีดำของสำนักหงส์สีชาดเล็กน้อย แต่ชนิดที่ศิลาประเมินได้นั้นหลากหลายและมีระดับสูงยิ่งกว่า
เขาพยักหน้าเล็กน้อย คิดว่าด่านนี้น่าจะผ่านไปได้สบาย
เพราะเขามีอาวุธสังหารอยู่กับตัวเชียวนะ!
“เช่นนั้นตอนนี้ การสำแดงวรยุทธ์ก็เริ่มต้น ณ บัดนี้!”
……………
[1] เสี่ยวเยี่ยนจื่อ ชื่อตัวละครในเรื่ององค์หญิงกำมะลอ