ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 201 ศึกชิงจอกศักดิ์สิทธิ์
“อันหลิน หลิวเชียนฮ่วน อาเธอร์ตกรบ ได้สามคะแนน!”
เสียงของวาเนสซ่าดังขึ้น ยาที่อาเธอร์ผู้น่าสงสารปรุงขึ้นแก้พิษไม่ได้ ตกรอบพร้อมกับพวกอันหลิน
เหล่านักเรียนในจัตุรัสเห็นว่ากลุ่มอิทธิพลสรวงสวรรค์เสียยอดขุนพลไปถึงสองรายในพริบตา ก็คับแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง
อาจารย์ผู้ที่ทำหน้าถ่ายทอดวิชายาอายุวัฒนะกุมขมับ ใบหน้าหม่นหมอง
หลังอันหลินกับหลิวเชียนฮ่วนถูกส่งตัวออกมา สภาพย่ำแย่ทั้งหลายแหล่ก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง
“ฟู่ว…เกือบไปแล้ว เมื่อครู่รู้สึกเหมือนตัวเองจะตายเพราะพิษแล้วจริงๆ” อันหลินพูดอย่างหวาดหวั่น
“นั่นสิ รสชาติของการถูกพิษเล่นงานมันทรมานจริงๆ ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงทำให้ข้าสิ้นหวัง ต่อไปข้าจะตั้งใจเรียนวิชายาอายุวัฒนะ” หลิวเชียนฮ่วนกำมือแน่น พูดอย่างเด็ดเดี่ยว
พวกเขาสองคนตกรอบ แต่การแข่งขันยังไม่จบ เพราะยังมีตัวเต็งอย่างศิษย์พี่หวังที่ยังยืนหยัดอยู่
อันหลินเบนสายตามองหน้าจอผลึกหิน พวกเขาถึงด่านที่ห้าแล้ว
ด่านที่ห้าจัดขึ้นในโบราณสถานเซียนแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีอสูรร้ายเพ่นพ่าน มีกับดักนับไม่ถ้วน
หวังเสวียนจ้านอาศัยความสามารถที่แก่กล้าและการตอบสนองที่ระแวดระวังและฉับไว ผ่านไปได้อย่างปลอดภัยอีกครั้ง
ด่านนี้ทำให้เชอรีล ชิงซินและชิงจือตกรอบ
หวงส่านกับตงเยี่ยนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่ง พวกมันไวต่ออันตรายแต่กำเนิด หลบหลีกกลไกที่ซุกซ่อนอยู่ในที่ลับได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อถึงด่านที่หก ตัวแทนเหลือเพียงสี่คนคือ หวงส่าน ตงเยี่ยน หวังเสวียนจ้านและออกัส
ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังอันกว้างใหญ่ ที่นี่เป็นที่อยู่ของกองทัพอสูร ปีศาจยิ่งใหญ่นานาชนิดเดินกันให้ควั่ก ฝูงอสูรรวมตัวกันที่นี่
จู่ๆ ก็มีผู้บุกรุกสี่คนมาเยือน
อสูรดวงตาเปล่งประกายเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตที่แผ่กลิ่นอายยิ่งใหญ่สี่คน น้ำลายย้อยลงมาตามเขี้ยวแหลมคม
กองทัพอสูรลุกฮือขึ้นมาแทบจะเพียงเสี้ยววินาที
สีหน้าของหวงส่วน ตงเยี่ยน หวังเสวียนจ้านและออกัสเปลี่ยนไป ไม่พูดพร่ำทำเพลง เริ่มวิ่งหนีทันที
มันเป็นการหลบหนีเอาตัวรอดครั้งใหญ่
ทั่วทุกหัวระแหงเต็มไปด้วยอสุรา มิหนำซ้ำยังเป็นปีศาจที่ยิ่งใหญ่ไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาเป็นจำนวนมาก เป้าหมายของพวกมันมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือกินผู้บุกรุกทั้งสี่คนนี้เสีย!
ตัวแทนของทั้งสี่อิทธิพลต่างก็รู้สึกเหมือนกันว่า พวกเขากำลังถูกโลกทั้งใบตามล่า…
…
ตงเยี่ยนถูกปีศาจตัวหนึ่งเขมือบทั้งเป็น ออกัสถูกปีศาจอนธการร่วมพันตัวรุมล้อม หวังเสวียนจ้านถูกฝูงอินทรีอัสนีบนท้องนภาปล่อยสายฟ้าฟาดให้ตายทั้งเป็น
สุดท้ายก็มีเพียงหวงส่านที่ระเบิดความเร็วดุจสายฟ้าฟาด อดทนได้ถึงสิบนาที ผ่านด่านนี้ไปได้อย่างราบรื่น
เมื่อเห็นฉากนี้ อันหลินกับหลิวเชียนฮ่วนก็ถอนหายใจด้วยความเสียดาย เมื่อตัวเต็งของพวกเขาแพ้พ่ายไป พวกเขาได้คะแนนจากการประลองครั้งนี้ทั้งสิ้นสิบเอ็ดคะแนน
หวงส่านมาถึงด่านที่เจ็ด ในด่านนี้มีหลุมขนาดใหญ่ยักษ์กลางอากาศ มันไม่ทันตั้งตัว ร่างกายจึงถูกกระแสแห่งกาลเวลาจู่โจม…
ในที่สุดด่านทดสอบที่ยากจนวิปริตก็ปิดฉากลง
การประลอง ‘การเอาตัวรอด’ เมืองพุทธได้ไปสิบคะแนน สวนเอเดนสิบสองคะแนน หอสร้างโลกสิบสองคะแนน สรวงสวรรค์ได้สิบเอ็ดคะแนน
ก่อนการประลอง ‘การแย่งชิง’ จะเริ่มขึ้น อันหลินก็คำนวณคะแนนรวมของทั้งสี่อิทธิพลอีกครั้ง
เมืองพุทธได้เจ็ดสิบจุดหนึ่งคะแนน สวนเอเดนได้เจ็ดสิบสามจุดสองคะแนน หอสร้างโลกเจ็ดสิบจุดสองคะแนน สรวงสวรรค์ได้เจ็ดสิบสองจุดเจ็ดคะแนน
คะแนนของทั้งสี่อิทธิพลห่างกันไม่มากเท่าใดนัก แถมหอสร้างโลกยังรั้งท้ายเช่นเดิม ทำให้อันหลินแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
ต่อไป ทำได้เพียงดูว่าผลคะแนนของรอบตัดสินชะตาจะเป็นอย่างไร
รองผู้อำนวยการอวี้หัวก้าวขึ้นเวที อ่านกติกาการประลองที่แสดง ‘ความแย่งชิง’ ต่อหน้าสาธารณชน
“การประลองสุดท้ายนี้มีนามว่าศึกชิงจอกศักดิ์สิทธิ์ มีจอกศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้นเก้าใบกระจายอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าเทือกเขาจงหลง มีจอกโลหะห้าใบ จอกเงินสามใบ จอกทองหนึ่งใบ”
“ตัวแทนของทั้งสี่อิทธิพลจำต้องเข้าไปแย่งชิงจอกศักดิ์สิทธิ์ในเทือกเขาจงหลง”
“ชิงจอกโลหะหนึ่งได้หนึ่งคะแนน จอกเงินได้สองคะแนน จอกทองได้ห้าคะแนน ในศึกการแย่งชิง อนุญาตให้ตัวแทนต่อสู้กันด้วยกำลังได้ หากแตะยันต์ประเมินผลการแพ้รบจะตกรอบทันที”
ขณะที่พูด รองผู้อำนวยการก็โบกมือ ยันต์ประเมินผลการแพ้รบถูกแปะอยู่ที่ตัวของทุกคน
อันหลินมองยันต์ประเมินผลการแพ้รบที่คุ้นเคยแล้วถอนหายใจเบาๆ
ท่าทางการประลองนี้ต้องเป็นการประลองที่ดุเดือดเป็นแน่ การต่อสู้ยากจะหลีกเลี่ยงได้
ค่ายกลเคลื่อนย้ายสีขาวปรากฏขึ้นบนสังเวียน ตัวแทนอิทธิพลพากันขึ้นไปยืนบนค่ายกลเคลื่อนย้ายกันระนาว เพื่อรอการเคลื่อนย้าย
ในจัตุรัส ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหลายหมื่นชีวิต หรือผู้ติดตามของแต่ละอิทธิพลนับหลายพันคนต่างก็ตะโกนให้กำลังใจกับตัวแทนของตนสุดชีวิต
นี่เป็นการประลองครั้งสุดท้าย และเป็นการประลองที่ตัดสินชะตาสุดท้ายด้วย ทุกคนต่างก็ลุ้นระทึก เสียงตะโกนให้กำลังใจดังกึกก้อง
ลำแสงสีขาวพุ่งผ่านไป ตัวแทนทั้งสิบสองคนถูกส่งไปยังเทือกเขาจงหลง ในขณะเดียวกัน ก็มีหน้าจอขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นกลางจัตุรัสฟ้าคราม มันฉายภาพของทั้งสิบสองคนอย่างชัดเจน
อันหลินลืมตาขึ้นจากความวิงเวียนอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือขุนเขาที่เรียงสลับสูงต่ำ เขาหันมองด้านข้าง พบว่าหลิวเชียนฮ่วนและหวังเสวียนจ้านยังอยู่ แต่อีกสามอิทธิพลที่เหลือไม่อยู่ในละแวกนี้แล้ว
เขารู้สึกโล่งอกไปที วิธีการเคลื่อนย้ายแบบนี้หลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการต่อสู้ทันทีที่เข้ามาถึง
“เพื่อป้องกันการโจมตีจากอิทธิพลอื่น พวกเราเคลื่อนไหวพร้อมกันดีกว่า” หวังเสวียนจ้านชิงพูดขึ้นก่อน
อันหลินพยักหน้า ที่นี่อนุญาตให้มีการต่อสู้ได้ หมายความว่าสามารถกำจัดคู่แข่งทิ้งก่อนได้ จากนั้นค่อยตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ช้าๆ ในเวลาแบบนี้ อยู่คนเดียวเท่ากับรนหาที่ตาย
“พวกเจ้ารีบดูทางนั้นสิ มีหอคอยสีขาวอยู่หลังหนึ่ง ตรงนั้นจะมีจอกศักดิ์สิทธิ์หรือไม่” หลิวเชียนฮ่วนพูดพลางชี้ภูเขาสูงทางทิศตะวันออก
อันหลินกับหวังเสวียนจ้านมองตามทิศทางที่นิ้วของหลิวเชียนฮ่วนชี้ ไกลออกไปราวๆ สี่ห้าลี้ มีหอสีขาวอยู่จริง สะท้อนแสงพร่างพราวภายใต้การส่องกระทบของแสงอาทิตย์
“มีหออยู่ในสถานที่ที่สะดุดตาแบบนี้ ข้ารู้สึกว่าเป็นกับดับ” หวังเสวียนจ้านจ้องหอคอยหลังนั้นแล้วขมวดคิ้วมุ่น
“มีเป้าหมายย่อมดีกว่าค้นหาอย่างไร้จุดหมาย พวกเราไปดูกันหน่อยเถอะ!” อันหลินคิดว่าต่อให้มีอะไรดักซุ่ม ความสามารถอย่างพวกเขาจะหลบหนีก็ไม่ใช่เรื่องยาก สู้เข้าไปสำรวจสักหน่อยจะดีกว่า
หลิวเชียนฮ่วนยกมือขึ้นสูง “เห็นด้วย!”
ผลโหวตคือสองต่อหนึ่ง ทั้งสามคนจึงเริ่มมุ่งหน้าไปทางหอคอยสีขาวด้วยประการละฉะนี้
ระหว่างทาง จู่ๆ ผิวดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“ระวัง!” หวังเสวียนจ้านชักหอกยาวออกมา จดจ้องข้างหน้าอย่างระแวดระวัง
อันหลินก็รู้สึกถึงกลิ่นอายอันหนักอึ้งที่อยู่เบื้องหน้า ร่างกายเริ่มหดเกร็ง
โฮก!
พยัคฆ์สีทองที่เต็มไปด้วยหนามแหลมตัวหนึ่งแหวกผืนป่าออกมา กระโจนใส่หวังเสวียนจ้านอย่างรวดเร็วประหนึ่งกระบี่คม
ทั้งสามคนมองเสือยักษ์ตัวนี้ เบิกตากว้าง เกิดความพรั่นพรึงขึ้นมาในใจ
ไม่ใช่เพราะเสือยักษ์ตัวนี้ดุร้ายแต่อย่างใด แต่เพราะพวกเขาเห็นว่ามีมงกุฎเหนือศีรษะของมัน รูปร่างของมันคล้ายจอกศักดิ์สิทธิ์ที่ทำจากโลหะ…
เสือยักษ์สีทองส่งจอกศักดิ์สิทธิ์มาให้!