ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 212 หอสร้างโลกที่น่าสงสาร
เมื่อเห็นพวกเขาหนีออกจากค่ายกลทีละคน ชายขาวดำจึงบันดาลโทสะ
เขาตระหนักได้ว่าตนรั้งทุกคนไว้ไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจว่าจะรั้งไว้ให้ได้สักคนสองคน!
“อัสนีบงกชสีชาด!”
ชายหนุ่มเงื้อมมือแล้วฟาดลงไป ดอกบัวสีแดงฉูดฉาดงดงามเบ่งบานบนเส้นทางที่พวกหวังเสวียนจ้านต้องผ่าน
เมื่อทุกคนเพ่งมอง ความจริงแล้วบงกชสีชาดก่อตัวจากกระแสไฟสีแดง กระจายคลื่นพลังงานอันน่ากลัว
ด้านหน้าเป็นอัสนีบงกชสีชาด ด้านหลังเป็นชายขาวดำที่กำลังไล่กวด จำต้องเลือกภายในพริบตา
หวงส่านใช้วิชาต้องห้าม ร่างกายเป็นดุจกระบี่อัสนีสีทอง รวดเร็วอย่างยิ่ง ไม่อาจตามฝีเท้าของเขาได้ทัน
หวังเสวียนจ้านกับชิงจือเลือกที่จะหยุด ใช้พลังเซียนระยะไกลขัดขวางการไล่ล่าของชายขาวดำ
ตูม!
การระเบิดของดอกบัวสีแดง ทำให้สายฟ้าที่เจือกลิ่นอายของความประหลาดและความบริสุทธิ์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงปกคลุมหวงส่านตั้งแต่หัวจรดเท้า พุ่งสูงนับร้อยจั้งทันใด อานุภาพที่บ้าระห่ำอย่างที่สุดทำให้ทุกสรรพสิ่งที่สัมผัสเกรียมและละลาย…
หวังเสวียนจ้านวิ่งตรงไปที่ช่องโหว่ทันทีที่ระเบิด
ชายขาวดำขว้างสายฟ้าเส้นหนึ่งออกมา ฟาดมาทางเขาประหนึ่งเป็นกระบี่คม พยายามขัดขวางการฝ่าวงล้อมของเขา
ใครจะรู้ว่าหวังเสวียนจ้านกลับไม่สนใจสายฟ้าเส้นนั้น ทุ่มเทกำลังทั้งหมดกับการพุ่งชน กระแสไฟทิ่มแทงเกล็ดมังกร ทะลวงร่างกายของเขา ทำให้อวัยวะภายในได้รับความเสียหาย กระอักเลือดออกมา แต่ความเร็วยังคงไม่ลดละ ใช้ความเฉื่อยพุ่งออกจากช่องโหว่
ส่วนชิงจือใช้วิชาต้องห้ามคุ้มกันตน ชั่วขณะที่พลังโรยราอย่างแสนสาหัสนั้น ม่านแสงสีทองเป็นเหมือนกระดองเต่า สายฟ้าและใบมีดลมทลายไม่ได้ พุ่งออกจากช่องโหว่ไปด้วยเช่นกัน
หวงส่านกลับเป็นคนสุดท้ายที่ตั้งสติได้ มันประเมินอานุภาพของอัสนีบงกชสีชาดต่ำไป ถูกระเบิดกระแทกจนกลิ้งหลุนๆ เนื้อตัวเหวอะหวะ พอได้สติกลับมา มันก็ตามหลังหวังเสวียนจ้านกับชิงจือแล้ว
ไม่พิรี้พิไร มันระเบิดความเร็วพุ่งไปทางช่องโหว่ด้วยความเร็วทั้งหมด
หวังเสวียนจ้านกับชิงจือออกมาแทบจะไล่เลี่ยกัน
“โธ่!”
หลิวเชียนฮ่วนอุทานขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นฉากนี้ จากนั้นก็ล้มลงช้าๆ ราวกับเป็นก้านหลิวอ่อนเปลี้ย เรือนร่างที่มีทรวงทรงองค์เอวนอนแผ่หราอยู่บนพื้น หายใจรวยริน ท่าทางน่าอาดูร
นางทำปากคว่ำพูดเสียงละห้อยว่า “ไม่มีแรงแล้ว…”
ไม่มีคนคอยควบคุมช่องโหว่ไว้ พลังขัดขวางที่ฟื้นฟูด้วยตัวเองของค่ายกลว่างเปล่าทันใด
เมื่อค่ายกลถูกยับยั้งนานเกินไป ยามฟื้นฟูจึงแฝงพลังสะท้อนกลับ ฟื้นฟูช่องโหว่ในชั่วอึดใจ ทุกคนแทบจะตั้งตัวไม่ทันเลยสักนิด
“พับผ่าสิ!”
นี่เป็นเสียงคำรามสุดท้ายของหวงส่านที่ดังออกมาจากข้างใน
สายฟ้าสีทองชนกับกำแพงค่ายกลเข้าอย่างจัง เกิดเสียงดังกึกก้อง…
“หวงส่าน!”
หงโต้วกับตงเยี่ยนต่างก็อุทานดังลั่น ใช้เวทมนตร์โจมตีตำแหน่งที่เคยเป็นช่องโหว่กันพัลวัน
เสียงระเบิดดังไม่ขาดสาย ขณะที่พลังงานซัดสาดนั้น ตาข่ายวายุสายฟ้าเพียงแค่กระเพื่อมเบาๆ ไม่มีทีท่าว่าจะพังทลายเลยสักนิด
ตาข่ายหนาแน่นบดบังทัศนวิสัย พวกมันไม่อาจรับรู้สถานการณ์ภายในได้ แต่ไม่ว่าใครก็ย่อมรู้ว่า สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายอย่างยิ่ง!
“เจ้ารีบเปิดช่องโหว่จากข้างนอกสิ!” หงโต้วตะคอกอันหลินอย่างโกรธเกรี้ยว
ตอนนี้ก็มีแค่อันหลินคนเดียว ที่สามารถหาโอกาสให้หวงส่านได้
ความเย้ยหยันฉายวาบในแววตาของอันหลิน นอนแผ่หลาหายใจหอบอยู่บนพื้น โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่มีแรงแล้วพี่หงโต้ว”
หงโต้วมองอันหลินกับหลิวเชียนฮ่วนที่นอนแอ้งแม้งเหมือนปลาเค็ม ทรวงอกระเบิดทันที พูดเสียงสั่นเครือว่า “พวก…พวกเจ้าจงใจชัดๆ!”
อันหลินกับหลิวเชียนฮ่วนไม่สนใจมัน ลอบกำหนดลมหายใจ ฟื้นฟูพลังปราณของตน
ผู้คนที่อยู่นอกค่ายกล ไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน แต่ในจัตุรัสฟ้าคราม หลายหมื่นชีวิตที่ได้ชมศึกระดับความละเอียดสูง กลับเห็นท่าทางอันน่าสังเวชของหวงส่าน
เสียงหวีดร้องของหวงส่านดังไม่ขาดสาย ทั้งๆ ที่เป็นผู้แข็งแกร่งด้านพลังอัสนี กลับถูกชายขาวดำใช้พลังสายฟ้าย่ำยีจนหมดสภาพสิ้นดี…
ชายขาวดำฉุนเฉียวมาก คนหนีออกไปได้มากมายขนาดนี้ จับได้เพียงคนเดียว ย่อมระบายอารมณ์กับสิ่งมีชีวิตตนนี้
“กระบี่วิหควายุ!”
“อ๊าก…”
“หอกอัสนีทลายอนธการ!”
“อ๊าก…”
“อัสนีเก้ามังกรฟ้าชัชวาล!”
“อ๊าก…”
…
ผู้ติดตามของหอสร้างโลกต่างก็หน้าถอดสี สามอิทธิพลที่เหลือจับจ้องภาพบนหน้าจอผลึกหินด้วยความฝืนทน บางทีถึงขั้นหันหน้าหนี เบนสายตาหลบเลี่ยงไปมองพวกอันหลินที่นอนเป็นปลาเค็มอยู่บนพื้นแทน
ไม่นานก็มีเสียงกังวานดังขึ้นกลางอากาศของเทือกเขาจงหลง
“หวงส่านแห่งหอสร้างโลก ตกรอบ!”
เมื่อหงโต้วกับตงเยี่ยนได้ยินเสียงนี้ ก็ยืนเหม่ออยู่กับที่ราวกับวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว
แม้พวกมันจะคาดการณ์ไว้นานแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงประกาศนี้ขึ้นมาจริงๆ ก็ยังสะเทือนใจเป็นล้นพ้นอยู่ดี
กำลังสำคัญตกรอบแล้ว การชิงจอกศักดิ์สิทธิ์หลังจากนี้จะทำอย่างไร
อย่าว่าแต่อย่างอื่นเลย ลำพังแค่จอกศักดิ์สิทธิ์ พวกมันก็รับมือไม่ไหวแล้ว…
“โยมทั้งสองอย่าเพิ่งลนลาน อาตมาออกแรงช่วยชิงจอกศักดิ์สิทธิ์โลหะให้ได้” ขณะที่หงโต้วกับตงเยี่ยนหมดอาลัยตายอยากนั้น ชิงจือก็ลุกขึ้นมา พูดด้วยความจริงใจอีกครั้ง
ตงเยี่ยนมองชิงจือ มุมปากกระตุก อยากด่าเหลือเกิน
แต่หงโต้วกลับอยากจะต่อยตีนักบวชรูปนี้ยิ่งนัก ทำให้มันรู้สึกฉุนเฉียวมาตลอดทั้งเหตุการณ์ มันเป็นการใช้จอกศักดิ์สิทธิ์โลหะแลกกับจอกศักดิ์สิทธิ์เงินของตน แถมยังทำให้ฝ่ายของตนเสียขุนพลไปนายหนึ่งชัดๆ สุดท้ายอีกฝ่ายยังคงแสดงทีท่าเหมือนเมตตาปรานีตนอย่างนั้นแหละ
ฟู่ว…ขันติ…นิ่งดุจหินผา…
หงโต้วสั่นไปทั้งตัว ลอบบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ…
สุดท้ายหอสร้างโลกกับเมืองพุทธก็เลือกที่จะร่วมมือกับพวกเขาต่อไป
ตอนแรกหวังเสวียนจ้านอยากฉวยโอกาสกำจัดสมาชิกของอีกสองอิทธิพลให้ตกรอบ
แต่ทว่าเขาบาดเจ็บสาหัส สำแดงพลังต่อสู้ได้ไม่มากนัก อีกทั้งพลังปราณของเพื่อนร่วมกลุ่มทั้งสองคนก็เสียหายอย่างแสนสาหัส เป็นเหมือนปลาเค็มสองตัว ความคิดนี้จึงผุดวาบขึ้นมาในหัวของเขา จากนั้นเลยส่ายหน้าอย่างจนใจ
“ไปกันเถอะ เราพักผ่อนกันหน่อยแล้วค่อยเร่งมุ่งหน้าไปอีกที่หนึ่ง” หวังเสวียนจ้านกล่าว
อันหลินกับหลิวเชียนฮ่วนพยักหน้า พวกเขารู้พิกัดคร่าวๆ ของจอกศักดิ์สิทธิ์อีกสามใบที่เหลือ รอให้ฟื้นฟูสภาพร่างกายแล้ว ก็บุกรังศัตรูได้ทันที
ตัวแทนของเมืองพุทธกับหอสร้างโลกพุ่งขึ้นฟ้า เหาะไปไกลแล้ว
หวังเสวียนจ้านป้ายยาวิเศษลงบนบาดแผล จากนั้นก็ทำแผลลวกๆ แหงนหน้าขึ้นพูดช้าๆ ว่า “เป้าหมายต่อไป เราไปจัดการยักษ์ถือขวานกันเถอะ…”
ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาจงหลง
บนที่ราบสูงที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีขาว
นักบวชกับสัตว์ประหลาดกำลังเหินเวหา กวาดสายตามองรอบข้างไม่หยุด ราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่
“ตอนนั้นพวกเราเจอมังกรปีกครามละแวกนี้นี่แหละ มันดุร้าย มีพลังฟื้นฟูแก่กล้ายิ่งนัก พวกเราชิงจือ ชิงเหยียนและชิงซินสู้ไม่ไหว ถึงได้ล่าถอยไปก่อน…” ชิงจือชี้แจงหงโต้วกับตงเยี่ยนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ความจริงแล้วเขาไม่มีความมั่นใจ เพราะกำลังหลักของหอสร้างโลกอย่างหวงส่านตกรอบแล้ว พลังยุทธ์ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณสามชีวิตกับเขาที่มีพลังกึ่งแปลงจิตสู้กับมังกรมีปีก อันที่จริงไม่ได้ดีไปกว่าวันนั้นมากเท่าใดนัก
หวังว่าจะไม่ซ้ำรอยเดิม ถูกมังกรปีกครามไล่กวดจนหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนวันนั้น…
“โฮก…”
เสียงคำรามดังกังวานแว่วมาจากภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
“มังกรปีกคราม!” ทั้งสี่ดีใจ มุ่งหน้าไปทางนั้นอย่างไม่ลังเล
ผ่านไปครู่เดียว ทั้งสี่ก็มาถึงบริเวณเสียงคำราม ต่างก็ตะลึงงัน
เห็นเพียงมนุษย์รูปโฉมงดงามที่มีปีกสีขาวงามสลวยสามคนกำลังจ้องผู้มาเยือนด้วยสีหน้าฉงน
หนึ่งในนั้นมีผู้ชายที่มีพลังยิ่งใหญ่กำลังถือจอกศักดิ์สิทธิ์ กะพริบตามองสี่คนที่กำลังเหาะมา
“ยินดีด้วย สวนเอเดนได้ไปหนึ่งคะแนน”
ประกาศดังขึ้นได้เวลาพอดี
ชิงจือ “…”
ชิงซิน “…”
ตัวแทนสองตนของหอสร้างโลกร้องไห้แล้ว
บัดซบเอ๊ย!
รังแกกันขนาดนี้เลยหรือ!