ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 240 ขี่สุนัขร่วมเดินทาง
ณ ฐานป้องกันของสำนักเหวินกู่ หลิวซู่ซู่ทอดมองแดนทรายขาวอันไกลโพ้น ใจไม่อยู่กับร่องกับรอย
ช่องท้องของนางมีผ้าสีขาวพันอยู่ บาดแผลย้อมผ้าพันแผลบางส่วนเป็นสีแดงฉาน ดุจดอกเหมยที่ผลิบาน มันเป็นบาดแผลที่พลาดท่าถูกมดยักษ์แทงตอนที่ย่ำแดนทรายขาวเพื่อไล่ล่าเผ่าพันธุ์มด
ตอนนี้สะพานหมอกดำพังครืน สรวงสวรรค์ส่งข่าวมาว่า สงครามได้ยุติลงแล้ว
ส่วนนางและท่านพ่อ ก็คงต้องไปจากที่นี่แล้วกระมัง
เมืองหงเย่กลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว คงจะไม่กลับไปในเร็วๆ วันนี้แล้ว พวกเขาควรจะไปที่ใด
ตีกองทัพมดจนแพ้พ่ายย่อยยับสำเร็จแล้ว นางกับพ่อก็นับว่าได้ล้างแค้นให้ครอบครัวแล้ว จิตใจสงบแล้ว แต่ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเดินไปอย่างไร
นางกำกระบี่ในมือแน่น ใบหน้าขาวหยวกสะอาดตา เจือความกังวลและสับสนจางๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็มีร่างหนึ่งเหินเวหามา
หลิวซู่ซู่แหงนหน้ามองแล้วสะดุ้งโหยง ความวิตกกังวลก็พลันอันตรธานหายไปจากใบหน้า อุทานขึ้นมาว่า “ผู้อาวุโสอันหลิน!”
“ฮาย หลิวซู่ซู่” อันหลินยังคงมีท่าทีสบายๆ เช่นเดิม
หลิวซู่ซู่เห็นหญิงสาวโฉมงามหยาดเยิ้มข้างกายเขา
หญิงคนนี้แลดูสูงศักดิ์ ชวนให้ชื่นชม
“ฮ่าๆ ๆ อันหลิน เจ้าเป็นผู้อาวุโสไปแล้วหรือ” หญิงคนนั้นแหย่หลังอันหลิน ยิ้มหน้าชื่นตาบาน สนิทสนมกันเหมือนเพื่อนสาวข้างบ้าน
“อะแฮ่ม…ให้เกียรติกันหน่อย…” อันหลินพูดเสียงเบา จากนั้นก็แนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน “นี่เป็นเพื่อนของข้าชื่อสวีเสี่ยวหลาน ส่วนคนนี้คือสหายหลิวซู่ซู่ที่ข้ารู้จักในเมืองหงเย่”
“สวัสดีผู้อาวุโสสวีเสี่ยวหลาน” หลิวซู่ซู่พูดอย่างนอบน้อมถ่อมตน
สวีเสี่ยวหลานไม่คิดว่าตัวเองจะพลอยได้เป็นผู้อาวุโสไปด้วย จึงนิ่งไปเล็กน้อย ถึงได้พยักหน้าทักทายว่า “สวัสดีสหายหลิวซู่ซู่”
อันหลินพบว่าหลิวซู่ซู่บาดเจ็บที่ช่องท้อง จึงหยิบยาบำรุงเลือดลมออกมาแล้วยื่นให้นาง
“เอาไปกินเสียสิ”
“ไม่เป็นไรหรอกผู้อาวุโสอันหลิน ข้าทำแผลเรียบร้อยแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะ…”
“บอกให้เจ้ากิน เจ้าก็กินสิ!”
“อืม…”
หลิวซู่ซู่ถือเม็ดยา ดวงตาสุกใสจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังของชายหนุ่ม นางก็กัดริมฝีปากนุ่มนวล จากนั้นก็กลืนยาลงไปตามคำสั่ง
“พ่อเจ้าล่ะ”
“เขาอยู่ในเรือนหลอมศาสตราของค่าย เห็นบอกว่าจะหลอมชุดเกราะ”
“อ้อ…” อันหลินพยักหน้า จากนั้นพูดยิ้มๆ ว่า “สงครามสิ้นสุดแล้ว ต่อไปพวกเจ้าตั้งใจว่าจะทำอย่างไรต่อ”
หลิวซู่ซู่ก้มหน้าลงเล็กน้อย ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ยังไม่ได้คิดเลย”
“ทั้งบ้านและสำนักของพวกเจ้าก็สูญสิ้นแล้ว เข้าร่วมสำนักเหวินกู้ดีไหม” อันหลินลูบคางแล้วพูดเสนอแนะ
หลิวซู่ซู่เบิกตากว้าง “เอ๊ะ แต่ความสามารถของข้ากับท่านพ่อ…”
“ไม่เป็นไร พวกเราใช้เส้นสาย!” อันหลินพูดแทรก
หลิวซู่ซู่ “…”
สวีเสี่ยวหลาน “…”
พวกเขาจึงไปหาผู้อาวุโสจี้เยี่ยนหลิงที่สำนักเหวินกู่ด้วยประการละฉะนี้
เมื่อพบกันอีกครั้งหลังผ่านมาเป็นปี จี้เยี่ยนหลิงดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเป็นกอง แม้รูปร่างจะดูผอมบาง แต่ความแน่วแน่กับความสดใสที่ฉายในดวงตาของนาง กลับชวนให้รู้สึกจิตใจสงบ
นางได้เจอพวกอันหลินกับสวีเสี่ยวหลานอีกครั้ง ใบหน้าก็เปื้อนความปีติยินดีจากใจจริง
ทุกคนต่างก็ถือเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขในหุบเหวหมื่นกาลี บัดนี้เมื่อได้เจอกันก็สนิทสนมเป็นพิเศษ พูดคุยถึงสถานการณ์ในช่วงนี้
อันหลินเอ่ยขอให้หลิวซู่ซู่กับหลิวหู่เข้าร่วมสำนักเหวินกู่ จี้เยี่ยนหลิงตกปากรับคำโดยที่ไม่คิดเลยด้วยซ้ำ เส้นสายถูกใช้อย่างเด็ดขาดฉับไว ทำเอาหลิวซู่ซู่ตกใจจนน้ำตารื้น โค้งตัวคำนับแสดงความขอบคุณทันที นางเองก็ไม่รู้ว่าคำนับใคร อย่างไรเสียคำนับผู้อาวุโสทั้งหลายคนละครั้งก็สิ้นเรื่อง
ตอนนี้จี้เยี่ยนหลิงยังคงสวมคริสตัลที่หม่นหมองไปแล้ว บางเรื่องนางเลือกจดจำ ความจริงแล้วมันก็ดีไม่หยอก ระหว่างที่คุยกับนาง อันหลินก็รู้ว่า นางทำใจได้แล้ว และนี่ก็เป็นสิ่งที่หวังลู่หวังอยากเห็น
หลังพูดคุยกันพักหนึ่งแล้ว พวกอันหลินก็อำลาจากไป
“ตั้งใจบำเพ็ญเพียร ก้าวหน้าขึ้นทุกวันนะ” อันหลินโบกมือลา
“อื้ม! ผู้อาวุโสอันหลิน ข้าจะตั้งใจ เราจะได้พบกันใหม่!” หลิวซู่ซู่พยักหน้าอย่างหนักแน่น
หลังเหาะขึ้นฟ้าแล้ว สวีเสี่ยวหลานก็อดถามอันหลินไม่ได้ว่า “บอกข้ามาตามตรง ไยเจ้าถึงดีกับหลิวซู่ซู่ขนาดนี้”
“เพราะพี่อันอยากสร้างฮาเร็มน่ะสิ” ต้าไป๋พูดแทรก
ปึก! หัวของต้าไป๋ถูกอันหลินทุบไปทีหนึ่ง
อันหลินนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อืม…คงจะเป็นเพราะ…นางเป็นคนแรกในโลกนี้ที่เรียกข้าว่า ‘ผู้อาวุโส’ กระมัง…”
หลิวซู่ซู่มองร่างที่ขี่สุนัขจากไปไกล กระทั่งหายไปลับจากสายตา ยังคงเหม่อมองอยู่อย่างนั้น
…
การทดสอบประจำปีสิ้นสุดลงแล้ว อันหลินมีระยะเวลาพักฟื้นสิบวันแล้วกลับไปรายงานตัวที่สรวงสวรรค์ จากนั้นจะเป็นปิดเทอมหนึ่งเดือน เรียกได้ว่าเวลาแห่งอิสรภาพยืนยาวมากทีเดียว
เมืองหลวงของแคว้นเทียนเหอ ที่นี่รุ่งเรืองอย่างยิ่ง
อันหลินขี่สุนัข เดินเล่นกับสวีเสี่ยวหลานอย่างสบายใจเฉิบ
ขี่สุนัขเดินเล่นเป็นความเคยชินของอันหลิน แต่เมื่อเห็นสวีเสี่ยวหลานที่เดินทางมาด้วยกัน เขากลับรู้สึกลำบากใจ ตนมีสัตว์พาหนะให้ขี่ แต่นางกลับเดินเท้า…
“เสี่ยวหลาน เจ้าขึ้นมานั่งด้วยกันไหม” อันหลินตบหลังต้าไป๋ปุๆ แล้วเสนอความเห็น
“เอ๊ะ ได้จริงหรือ” ดวงตาสุกใสของสวีเสี่ยวหลานลุกวาว ค่อนข้างคาดหวัง
อันหลินหัวเราะร่า “ได้อยู่แล้ว!”
ต้าไป๋ก็กระดิกหาง เป็นเชิงบอกว่าไม่มีปัญหา
สวีเสี่ยวหลานกระโดดขึ้นควบหลังต้าไป๋ สัมผัสความรู้สึกอบอุ่นและอ่อนนุ่มของขนปุกปุย หยอกเย้าว่า “ต้าไป๋ ข้าอยากขี่เจ้าตั้งนานแล้ว!”
ต้าไป๋ยิ้มอย่างมีเลศนัย “แม่นางเสี่ยวหลาน ข้าก็อยากถูกเจ้าขี่มานานแล้ว โฮ่ง!”
อันหลิน “…”
สวีเสี่ยวหลาน “…ถึงอย่างไรก็รู้สึกว่าต้าไป๋เป็นหมาทะลึ่ง ข้าลงไปดีกว่า”
“อย่าสิ ต้าไป๋ไร้เดียงสามาก ข้ารับรอง!” อันหลินยืนยันความบริสุทธิ์แทนต้าไป๋
“ข้าชอบชิงหัวแต่เพียงผู้เดียว โฮ่ง!” ต้าไป๋ยืนยันความบริสุทธ์ของตัวเอง
สวีเสี่ยวหลานเบะปาก นางไม่มีทางเชื่อคำพูดเหลวไหลของอันหลินกับต้าไป๋ แต่ก็ไม่ได้ลงไป เลือกจะร่วมเดินทางไปกับมัน
ด้วยเหตุนี้ ทั้งคู่จึงขี่สุนัขเดินท่องตลาดอย่างเอื่อยเฉื่อย
ตอนแรกมือของสวีเสี่ยวหลานจับขนของต้าไป๋ ภายหลังรู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงเลื่อนมือไปจับชายเสื้อของอันหลินแทน
อันหลินพูดอย่างกระฉับกระเฉงว่า “เมื่อก่อนข้าชอบอ่านนิยายกำลังภายใน ใฝ่ฝันอยากเป็นจอมยุทธ์ที่ได้ท่องยุทธจักรกับยอดฝีมือ และฝันว่าสักวันตัวเองจะได้ทำเรื่องแบบนี้บ้าง”
“ตอนนี้ความฝันของข้านับว่าเป็นจริงแล้ว…แม้จะขี่สุนัข คลาสต่ำไปหน่อย แต่ยอดฝีมือกลายเป็นเซียนหญิง คลาสก็กลับมาอีกครั้ง!”
ต้าไป๋ไม่พอใจขึ้นมาทันที ตวาดเสียงเกรี้ยวว่า “โฮ่ง! เกินไปแล้ว เพื่อแทะโลมผู้หญิง ไม่เอาพี่น้องแล้วหรือ”
สวีเสี่ยวหลานไม่ตอบ เพียงแค่ยิ้มบางๆ ใบหน้างดงามหยาดเยิ้มเชิดขึ้น หลับตาพริ้ม ราวกับกำลังเพลิดเพลินกับแสงแดดอันอบอุ่น และความรู้สึกที่ผ่อนคลายสบายแบบนี้
มือน้อยๆ ที่ทึ้งชายเสื้อของอันหลิน ไม่รู้ว่าแน่นกว่าเดิมตั้งแต่เมื่อใด
สุนัขที่น่าเกรงขามเจือความน่ารัก ชายหนุ่มและหญิงสาวที่ขี่อยู่ด้านบน กลายเป็นทัศนียภาพที่มีความเฉพาะตัวบนถนนอันคึกคักสายนี้
สำหรับอันหลินกับสวีเสี่ยวหลานที่ขี่สุนัขร่วมเดินทางแล้ว เมืองหลวงที่งดงามและรุ่งเรืองแห่งนี้ ก็เป็นทิวทัศน์ที่ควรค่าให้ระลึกถึงเช่นกัน ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลาอันยาวนาน