ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 279 ความฝันพังทลาย
อันหลินหันมองข้างหลัง ฝูงโครงกระดูกน่าจะไม่ตามมาแล้ว
เขาถอนหายใจ “ฟู่…มีแต่คนบ้าที่จะปะทะกับโครงกระดูกซึ่งๆ หน้า! แต่คิดไม่ถึงว่า องค์ชายที่ชื่อชื่ออูอะไรนั่น จะหักหลังเพื่อนรวดเร็วกว่าพวกเรา…”
“เขาเป็นชาวมังกร ถูกขานเรียกว่าองค์ชาย คงไม่ใช่องค์ชายของวังมังกรหรอกนะ โฮ่ง!” ต้าไป๋เหาะเหินแล้วพูดเสียงเนิบช้า
อันหลินพยักหน้า “น่าจะเป็นองค์ชายจากวังมังกร เจ้ามังกรมีลูกเยอะขนาดนั้น ลูกๆ แทบจะเท่าทีมฟุตบอลสองทีมแล้ว เป็นองค์ชายก็ไม่แปลก อย่างไรเสียก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา เรารีบหาดูเถอะว่ามิตินั่นอยู่ที่ไหน”
พวกเขาเหาะไปตลอดทาง เมื่อเจอมิติที่มีรอยแยกก็อ้อมแต่ไกลๆ จะได้ไม่ถูกลมปฐมกาลที่เล็ดลอดออกมาทำร้าย ระหว่างนี้ก็เจอโครงกระดูกบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ได้มาเป็นฝูง ถูกอันหลินสังหารไปแล้ว
“ข้าจำได้ว่าทางเข้ามิติอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโบราณสถาน ข้างๆ กะโหลกยักษ์” อันหลินหวนคิดถึงภาพในความทรงจำแล้วพูดเสียงเรียบ
“พี่อัน พวกเราจะผจญภัยล่าสมบัติที่นี่หรือไม่” ดวงตาของต้าไป๋ลุกวาว พูดด้วยความอยากรู้อยากลอง
อันหลินลูบคาง สุดท้ายก็พยักหน้า “เรื่องนี้…ได้! แต่หาเถาวัลย์ม่วงกับเลือดอิงหลงให้เจอก่อนค่อยว่ากัน”
ความล้มเหลวในสุสานมังกรเหมันต์ทำให้พวกเขาเจ็บปวดอย่างยาวนาน ฉะนั้นได้เวลาแสวงโชคอีกสักครั้งแล้ว
หลังเหาะไปได้ระยะหนึ่ง แสงสว่างภายในม่านแบ่งแดนมืดลงเมื่อใดไม่ทราบได้
ครืน…
เสียงสายฟ้าคำรามแว่วมาประหนึ่งสัตว์ป่าคำราม
“พลังหยินข้างหน้าหนาแน่นมาก ทุกคนระวังตัวด้วย” อันหลินเตือน ขณะเดียวกันก็ชักกระบี่พิชิตมารออกมา
เป็นอย่างที่คิด ไม่นานก็มีภูตผีรูปร่างกะโหลกสีดำพุ่งเข้ามา
ทว่า มันเข้าใกล้อันหลินยังไม่ถึงสามจั้ง ก็ถูกกระบี่ฟันเป็นสองท่อน สลายไปในอากาศ
แต่นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ครู่เดียวก็มีภูตผีห้าหกตัวกระโจนใส่พวกเขาอย่างดุร้าย
ใบมีดลม เพลิงนิลจู่โจมภูตผี บดขยี้ร่างของพวกมันจนแหลกลาญบัดนั้นทันที
“จะว่าไปครั้งก่อนที่เสิ่นอิงมาที่นี่ เหมือนว่าจะไม่มีภูตผีนี่นา! โฮ่ง!” ต้าไป๋เห็นภูตผีที่พุ่งเข้ามาไม่ขาดสาย จึงเริ่มบ่นกระปอดกระแปด
“ผ่านไปจะหมื่นปีแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นเรื่องธรรมดา”
อันหลินกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่าแปลก พูดอย่างไม่ยี่หระ
ในตอนนี้ เจ้าอัปลักษณ์เห็นพืชบางอย่างแต่ไกลๆ อุทานว่า “พวกเจ้ารีบดูข้างก้อนหินใหญ่ทางนั้นสิ มีหญ้าที่ส่องแสงสีน้ำเงินอยู่!”
“หึ ไม่ธรรมดาแน่นอน!” อันหลินก็ตาลุกวาวเช่นกัน
เขาสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่กระจายออกมาจากหญ้าต้นนั้นทั้งที่อยู่ไกลขนาดนี้
อันหลินไม่พูดพร่ำทำเพลง เหาะไปหาหญ้าสีน้ำเงินแล้วเด็ดทันที
วิชาญาณทิพย์!
“หญ้าสงัด วัตถุพลังหยิน อาศัยอยู่ในบริเวณที่ไอมรณะงอกงาม ดูดซึมไอมรณะเป็นสารอาหาร มีรากฐานเป็นเลือดปีศาจ สามร้อยปีเป็นเสี่ยวเฉิง สามพันปีเป็นต้าเฉิง นี่เป็นหญ้าเซียนต้าเฉิงขั้นหนึ่ง”
นัยน์ตาของอันหลินเป็นประกาย หัวใจเต้นระส่ำ
ยาเซียนขั้นหนึ่ง…ครั้งนี้ร่ำรวยแล้วจริงๆ!
เขาไม่รีรอ เก็บหญ้าสงัดใส่แหวนมิติก่อน
จากนั้นก็เบนสายตามองอีกบริเวณหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล พูดอย่างฉงนใจว่า “เอ๊ะ เหมือนว่าเสียงฟ้าคำรามจะมาจากทางนั้น หรือจะมีวัตถุล้ำค่าปรากฏกาย”
เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจ อันหลิน ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์จึงเดินเท้าเข้าไป
เมื่อเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนแล้ว ทุกคนก็สูดลมหายใจพร้อมกัน
“ซิ้ด…”
อันหลินอุทานว่า “นี่มีภูตผีกี่ตัวกันแน่เนี่ย”
มุมปากของเจ้าอัปลักษณ์กระตุกเล็กน้อย “หมื่นตัวอย่างต่ำ…”
เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นแผ่นดินสีแดงฉาน
ด้านบนนั้นมีภูตผีเนืองแน่นมืดฟ้ามัวดิน ลอยล่องไปทั่วบริเวณ แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบน่ากลัว ชวนให้ขนพองสยองเกล้า
“พี่อัน ดูทางนั้นเร็วเข้า เหมือนจะมีแสงสีน้ำเงินแผ่กระแสไฟอยู่นั่น โฮ่ง!” ต้าไป๋ใช้สายตาส่งสัญญาณ
อันหลินมองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของแผ่นดินสีชาด ตรงนั้นมีภูตผีแน่นขนัดยิ่งกว่า ชนิดที่ว่าเหมือนม่านดำกำลังขยับ แทบจะไม่มีช่องว่าง
แต่เขามองลอดผ่านฝูงภูตผี ก็พอเห็นแสงสีน้ำเงินที่กำลังแผ่กระแสไฟอยู่รำไร
“ท่าทางจะมีคนถูกพันธนาการอยู่ตรงนั้น” อันหลินพูดอย่างปลงตก
“เราจะเข้าไปช่วยพวกเขาไหม” เจ้าอัปลักษณ์ถาม
อันหลินเบะปากส่ายหน้า “ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรา ไปช่วยพวกเขาทำไม อีกอย่างที่นี่อันตรายขนาดนี้ ดีไม่ดีอาจจะต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเอง ไม่คุ้ม”
จากนั้นเขาก็เหมือนจะพบอะไรบางอย่างเข้า ดวงตาเป็นประกาย “พวกเจ้าดูนั่นสิ! เหนือแสงสีน้ำเงินขึ้นไปสามร้อยเมตร เหมือนจะมีของดีอยู่ตรงนั้น!”
เจ้าอัปลักษณ์กับต้าไป๋มองไป เห็นต้นไม้เล็กๆ ที่มีเปลวไฟสีแดงลุกโชนอยู่เนืองๆ…
“ต๋าอีต๋าเอ้อร์นำทาง เจ้าอัปลักษณ์กับต้าไป๋คุ้มกันข้า ฉวยจังหวะที่ฝูงภูตผีถูกแสงสีน้ำเงินดึงดูดความสนใจ เราเข้าไปถอนต้นไม้นั่นแล้วหนีทันที!” อันหลินสั่งการอย่างกระปรี้กระเปร่า
เจ้าอัปลักษณ์และต้าไป๋พยักหน้าอย่างระอาใจ คิดว่าเจ้านายของพวกมันโลภมากขึ้นทุกวัน
ในเวลาเดียวกัน ภายในม่านแสงสีน้ำเงิน
หญิงสาวรูปโฉมงดงาม สวมชุดขาวคนหนึ่งกำลังกำประคำอัสนีในมือแน่น คงสภาพค่ายกลป้องกันไว้
หญิงสาวชุดเขียวอีกสองคนอยู่ในเครื่องแบบของสาวใช้ กำลังยืนหน้าซีดอยู่ข้างหญิงสาวชุดขาว แววตาเปี่ยมด้วยความสิ้นหวัง
“ทำอย่างไรดีองค์หญิงหยินอวี่ พลังงานของค่ายกลอัสนีจะอยู่ได้เพียงสองชั่วยาม ตอนนี้จวนจะถึงเวลาแล้ว…” หญิงสาวชุดเขียวคนหนึ่งพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ
เมื่อค่ายกลสูญสิ้นพลัง สิ่งที่รอพวกนางอยู่คือหมื่นภูตผีฉีกร่าง มันเป็นจุดจบที่น่ากลัวยิ่งกว่าตายไปเสียอีก บางทีเมื่อสิ้นค่ายกล พวกนางอาจจะชิงปลิดชีพตัวเองก่อนก็ได้
หญิงชุดขาวกัดฟัน ทำใจดีสู้เสือ “ไม่ต้องห่วง เสด็จพี่ต้องมาช่วยพวกเราแน่นอน อดทนอีกหน่อย พวกเขาอาจจะกำลังมา”
“เขารู้ตั้งนานแล้วว่าพวกเราอยู่ที่นี่ แต่จนป่านนี้แล้วยังไม่มาช่วยอีก รักตัวกลัวตาย ไม่กล้าเข้ามาชัดๆ!” หญิงชุดเขียวพูดอย่างโกรธแค้น
หยินอวี่ส่ายหน้า ยังคงไม่หมดหวัง “บางที…เขาอาจจะกำลังหาวิธีก็ได้”
ในตอนนั้นเอง ระเบิดแสงพลังงานก็ลอดผ่านแสงสีน้ำเงินไป
ตูม! พลังงานร้อนระอุระเบิดภูตผีทุกตนที่สัมผัสมันจนเป็นผุยผง
ร่างอรชรของหญิงสาวสามคนภายในม่านแสงสะดุ้งโหยง พากันมองไปยังทิศทางของระเบิดแสง
“ฮือ…ข้าบอกแล้ว พี่ชื่ออูต้องมาช่วยข้าแน่นอน…”
หยินอวี่เห็นความหวังที่จะอยู่รอดแล้ว เห็นพี่ชายของนางยอมเสี่ยงชีวิตมาช่วยนาง ความรู้สึกที่สะกดกลั้นไว้นานแล้วปะทุออกมา หลั่งน้ำตาอย่างไม่อายใคร
ตูม! ระเบิดแสงพลังงานลอดเข้ามาอีกครั้ง
จากนั้น ร่างสีเงินที่ควงดาบเลเซอร์ก็เข้าสู่คลองจักษุของนาง
ด้านหลังพวกมันเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง กับสุนัขและวานรที่สวมหน้ากาก
หญิงสาวทั้งสามนิ่งไปเมื่อเห็นภาพนี้
เกิดอะไรขึ้น! ผู้มาเยือนไม่ใช่องค์ชายชื่ออู!
องค์หญิงหยินอวี่น้ำตาคลอ เกิดข้อสันนิษฐานในใจหลายข้อ
หรือนี่จะเป็นสมุนที่พี่ชื่ออูเรียกมา หรือเป็นคนที่บังเอิญเข้ามาในสนามรบ เห็นพวกนางถูกพันธนาการ จึงใจดีเสี่ยงชีวิตเข้ามาช่วยเหลือ
จะว่าไปพวกเขายิ่งใหญ่จริงๆ เผชิญหน้ากับฝูงภูตผีที่มืดฟ้ามัวดิน แต่กลับหาทางเข้ามาได้ อีกอย่างชายหนุ่มที่ควงกระบี่ตรงกลางนั่น หล่อจังเลย…
หยินอวี่หน้าแดงก่ำ มองวีรบุรุษรบกับภูตผีแล้วพุ่งมาทางนี้ ร่างนั้นประทับลงในสมองนางอย่างลึกซึ้ง
เพียงแต่ว่า…ทิศทางของพวกเขาดูเหมือนจะเบี้ยวไปหน่อย…
จากนั้นหุ่นสีเงิน เซียนกระบี่หนุ่ม สุนัข วานรก็พุ่งเฉียดม่านแสงสีน้ำเงินไป ไม่มีแก่ใจเหลียวแลหญิงสามคนนั้นเลยแม้นิด พุ่งขึ้นทางเหนือไปโดยตรง
ภายในม่านแสงสีน้ำเงิน หญิงสาวสามคนเบิกตากว้าง ตกอยู่ในภวังค์ความเงียบอย่างยาวนาน
ร่างอรชรขององค์หญิงหยินอวี่โอนเอน หัวใจตกลงไปตาตุ่ม ลมหายใจเริ่มติดขัด “เป้าหมายของพวกเขาคือ…ต้นเลือดเพลิงหรือ!”
สาวใช้สองคนที่เหลือพยักหน้าเชื่องช้า ฉากวีรบุรุษช่วยหญิงงามไม่เกิดขึ้น
เป้าหมายของคนเหล่านั้นคือต้นเลือดเพลิง เฉกเช่นเดียวกับพวกนาง
ความรู้สึกแบบนี้มันช่างปรวนแปรเสียจริง…
มิหนำซ้ำ คนพวกนั้นอาจจะมุ่งหน้ามาด้วยเจตนาที่พวกนางดึงดูดความสนใจของภูตผีฝูงใหญ่ ฉวยจังหวะนี้ไปล่าขุมทรัพย์
องค์หญิงหยินอวี่ไม่ยอมถอดใจ นี่เป็นความหวังสุดท้ายของพวกนาง จึงตะโกนดังลั่นทันที
“สหาย ขอร้องพวกเจ้าช่วยพวกข้าหน่อย หากได้ออกไปจะตอบแทนอย่างงาม!”
เสียงดังยิ่งนัก ชายหนุ่มที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยเมตรต้องได้ยินแน่นอน
แน่นอนว่าอันหลินได้ยิน แต่ภูตผีมากมายขนาดนี้พวกเขาเองก็แทบเอาตัวไม่รอด จะมีแก่ใจไปสนใจผู้หญิงที่ถูกปิดล้อมได้อย่างไร เขาพุ่งไปตรงหน้าต้นเลือดเพลิงสีแดงฉานแล้วออกแรงถอน!
โอ๊ย! ทำไมถอนยากขนาดนี้!
องค์หญิงหยินอวี่เห็นคนพวกนั้นได้ยินคำพูดของนาง แต่กลับไม่แม้แต่จะเหลียวมอง เอาแต่ถอนต้นเลือดเพลิงนั่นสุดแรงราวกับกำลังถอนหัวไชเท้า
ไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับ จะให้นางทำอย่างไร
เมื่อก่อนองค์หญิงหยินอวี่ไม่เคยประสบกับความสิ้นหวังและความเฉยชาเช่นนี้ จึงโมโหจนจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว
แต่พวกอันหลิน ยังคงถอนต้นไม้อยู่อย่างนั้น…