ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 290 การตัดสินใจของธิดามังกรน้อย
“แต่เลือดของข้าด่างพร้อยแล้วไม่ใช่หรือ…แม้แต่เสด็จพ่อก็อับจนหนทาง เจ้ามีวิธีทำให้กลับมาบริสุทธิ์อีกครั้งจริงๆ หรือ” ดวงตาคู่งามของเป่ยเหลียนเบิกกว้าง ใบหน้ามีแต่ความไม่คาดคิด
อันหลินพยักหน้าจริงจัง “เสด็จพ่อของเจ้าคืนชีพไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าคนอื่นทำไม่ได้ นี่เป็นวิธีที่ข้าได้มาจากผู้อาวุโสเสิ่นอิง รับรองไม่มีปัญหา!”
“ผู้อาวุโสเสิ่นอิง…เจ้าหมายถึงธิดามังกรสวรรค์เสิ่นอิงแห่งเผ่าพันธุ์มังกรหรือ!” เป่ยเหลียนอ้าปากหวอ ราวกับได้ยินเรื่องที่น่าตะลึงอย่างยิ่ง
เสิ่นอิงเป็นผู้อาวุโสที่มีความหวังจะรวมมรรคาได้สำเร็จที่สุดในหมื่นปีมานี้ หากนางเลือกเส้นทางของมรรคามังกร อาจจะสำเร็จไปนานแล้วก็ได้ แต่ประสบการณ์ของนาง ก็ทำให้นางกลายเป็นบุคคลระดับตำนานของวังมังกรเช่นกัน ซ้ำยังเป็นต้นแบบที่เป่ยเหลียนเลื่อมใสศรัทธา อันหลินกลับบอกว่าได้วิธีนี้มาจากนาง จะให้เป่ยเหลียนนิ่งเฉยได้อย่างไร
“นางนั่นแหละ” อันหลินพยักหน้ายืนยัน “ข้าได้วิธีกระตุ้นและกลั่นเลือดมาด้วยโอกาสที่บังเอิญครั้งหนึ่ง ไปกันเถอะ เราเปลี่ยนที่คุยกันดีกว่า”
อันหลินพูดจบก็ขี่สุนัขเหาะไปอีกทาง เป่ยเหลียนตามหลังอย่างงุนงง ประหนึ่งว่ายังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่
บนภูเขาที่อยู่ไกลโพ้น ที่นี่ค่อนข้างเงียบสงบ มีเสียงนกขับขานเป็นครั้งคราวเท่านั้น
“อืม ที่นี่ไม่เลว เป็นสถานที่เหมาะแก่การทำเรื่องลับๆ ล่อๆ” อันหลินมองรอบๆ พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เป่ยเหลียน “…”
“พี่อัน แม้ความหมายพื้นฐานจะไม่มีปัญหา แต่ไยออกจากปากเจ้าถึงได้ต่ำทรามเช่นนี้เล่า โฮ่ง!” ต้าไป๋ถอนหายใจแล้วเถียงกลับไป
ผลัวะ!
หัวของต้าไป๋ถูกซัดไปอีกหมัด
“ใครก็พูดประโยคนี้ได้ ยกเว้นเจ้าที่พูดไม่ได้! หมาเสเพลอย่างเจ้ายังมีหน้ามาวิจารณ์ข้าอีกหรือ” อันหลินพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“โฮ่ง! ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เจ้านายเป็นอย่างไร สุนัขก็เป็นเช่นนั้น!” ต้าไป๋โต้แย้งทันควันอย่างไม่ยอมแพ้
อันหลินได้ฟังก็แน่นหน้าอก ให้ตายสิ ประโยคนี้ของต้าไป๋นี่มันทำร้ายศัตรูหนึ่งพันฝ่ายตัวเองเจ็บแปดร้อยชัดๆ[1]!
เป่ยเหลียนมองหนึ่งคนหนึ่งสุนัขที่หยอกล้อกันด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มบางๆ
นางสงบสติอารมณ์จากคำพูดของอันหลินได้แล้ว แม้จะตื่นเต้นยิ่งนัก แต่ก็ไม่รีบร้อนเอื้อนเอ่ย เพียงแค่มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยนัยน์ตาคู่งามที่เปี่ยมความคาดหวังเท่านั้น
อันหลินพบว่าเป่ยเหลียนมองตนอยู่ตลอด หน้าจึงอดขึ้นสีไม่ได้ กระแอมเบาๆ “เลิกเล่นได้แล้ว ทำเรื่องจริงจัง!”
พูดพลางหยิบสิ่งของออกจากแหวนมิติทีละชิ้น
“นี่เป็นไม้จันทร์หลับใหลพันปีจากเกาะมรกต เถาวัลย์ม่วง เลือดอิงหลงที่ได้มาจากสนามรบบรรพกาลของวังมังกร ผลึกหินน้ำแข็งแห่งเกาะน้ำค้างสวรรค์ กระดูกไฟรกร้างแห่งภูเขาไฟมังกรบิน หญ้าขาวจากเกาะปีศาจ…”
เป่ยเหลียนมองวัตถุดิบที่อันหลินหยิบออกจากแหวนมิติเงียบๆ วัตถุดิบเหล่านี้แฝงด้วยคลื่นพลังที่รุนแรงยิ่ง แค่ใช้สายตามองเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดาเลย โดยเฉพาะตอนที่เห็นเถาวัลย์ม่วงกับเลือดอิงหลง ใจของนางกระตุกวูบอย่างแรง
นางทราบชื่อวัตถุดิบสองชิ้นนี้มาจากปากหยินอวี่ ที่อันหลินเสี่ยงอันตรายเข้าไปในสนามรบบรรพกาลเพื่อวัตถุดิบสองอย่างนี้หรือ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…อันหลินไปค้นหาวัตถุดิบสองชิ้นนี้ในสนามรบบรรพกาล เพื่อแก้ไขปัญหาสายเลือดของนางนี่เอง
“อืม วัตถุดิบก็มีพวกนี้แหละ ประเดี๋ยวข้ากับเจ้าอัปลักษณ์จะร่วมกันวางค่ายกลกลั่นเลือด เจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย แค่นั่งทำสมาธิภายในค่ายกล กระตุ้นพลังภายในของมังกรก็พอแล้ว” เมื่อพูดเรื่องสำคัญ อันหลินดูจริงจังขึ้นเยอะโข
การวางค่ายกลสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง เพราะมันไม่ใช่ค่ายกลธรรมดาสามัญ ต้องการพลังงานสูงอย่างมหันต์ ไม่เพียงต้องชักนำพลังปราณฟ้าดิน แต่ยังต้องใช้หนึ่งแสนหินวิญญาณคอยหนุนอีกด้วย
แค่วางค่ายกลก็ใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว ต่อมาก็คือการกระตุ้นค่ายกล
อันหลินกับเจ้าอัปลักษณ์เป็นผู้ควบคุมการทำงานของค่ายกล แยกกันยืนสองฝั่งของค่ายกล ถ่ายเทพลังปราณเข้าไปในค่ายกลแล้วเริ่มขับเคลื่อน
เมื่อค่ายกลทำงาน ภาพของมังกรทองที่เก่าแก่และมหึมา ปรากฏกายกลางเวหาพร้อมกันอานุภาพอันเกรียงไกร แก่นสารของวัตถุดิบถูกค่ายกลกระตุ้น กลายเป็นกระแสเล็กๆ หลายทางลอยเข้าไปในร่างของเป่ยเหลียน ชะล้างเลือดที่ด่างพร้อยสุดแสนของนาง
ทำลายของสิ่งหนึ่งอย่างสิ้นเชิงเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่การทำให้สิ่งที่ถูกทำลายกลับคืนนั้น ความยากกลับเพิ่มทวีอย่างเหลือคณานับ เช่นเมื่อเครื่องลายครามที่มีมูลค่ามหาศาลชิ้นหนึ่งแตกละเอียด กับการทำให้เครื่องลายครามที่แตกละเอียดกลับสู่สภาพเดิมนั้น ความยากมันไม่ใช่สิ่งที่จะวัดกันได้เลย
ขั้นแรกในตอนนี้ก็คือ กลั่นเลือดของเป่ยเหลียนให้บริสุทธิ์ กำจัดสิ่งปนเปื้อน ขั้นนี้เทียบเท่ากับการประกอบเครื่องลายครามที่แตกละเอียดตามรูปแบบเดิม
ขั้นที่สองก็คือ กระตุ้นเลือดที่หลับใหลให้คืนชีพอีกครั้ง เป็นขั้นตอนที่ถือกำเนิดจากความตาย คล้ายกับการประกอบเศษชิ้นส่วนเข้าด้วยกัน ผสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ กลายเป็นเครื่องลายครามที่สวยงามดังเดิม เป็นขั้นตอนที่มหัศจรรย์
มาถึงขั้นที่สองโดยไม่รู้ตัว การทำงานของค่ายกลเริ่มดุเดือด พลังปราณฟ้าดินและพลังงานของหินวิญญาณไหลทะลักสู่ค่ายกลอย่างรวดเร็ว ทำให้ภาพของมังกรยาวสีทองดูชัดเจนยิ่งขึ้น
วัตถุดิบทั้งหมดแห้งเหี่ยวทันใด พลังงานถูกมังกรทองดูดจนแห้งขอด แล้วพ่นใส่หญิงสาวที่อยู่ใจกลางค่ายกล
ไม้แห้งพบวสันต์ ปลาเค็มเป็นไทแก่ตัว…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เสียงมังกรคำรนอันสบายอารมณ์ก็ดังลั่นปฐพี
ราวกับกำลังบอกว่า ‘ธิดามังกรน้อยหวนคืนแล้ว!’
ใช่แล้ว ธิดามังกรน้อยผู้หยิ่งทะนงคนนั้นกลับมาแล้ว
เป่ยเหลียนลุกขึ้น สัมผัสพลังแห่งสายเลือดที่มีชีวิตชีวาภายในร่างกาย
พลังชีวิตยิ่งใหญ่กว่าเมื่อครั้งก่อนที่นางสังเวยเลือดเสียอีก!
อันหลินเหนื่อยจนอ่อนเพลีย ร่างกายชุ่มเหงื่อนอนแผ่หลากับพื้น ถือโอกาสกินยาบำรุงเลือดลมเม็ดหนึ่ง
ร่างกายของเขายังไม่หายเป็นปลิดทิ้งแต่แรกอยู่แล้ว เมื่อผ่านการดิ้นรนเช่นนี้ รู้สึกเหมือนจะลุกไม่ค่อยขึ้น
“ฮ่าๆ ธิดามังกรน้อย ดูสิ ข้าเชื่อถือได้ใช่ไหม สำเร็จแล้วนี่ไง!” อันหลินยิ้มเผล่
บอกตามตรงว่าก่อนทำ เขาไม่มีความมั่นใจเลย เพราะต่อให้ทฤษฎีความรู้จะแน่น แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติจริงเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าระหว่างทางจะเกิดปัญหาอะไรหรือไม่
แต่พออันหลินได้ยินเสียงมังกรคำราม ก็รู้ว่าตนทำสำเร็จแล้ว!
เป่ยเหลียนมองอันหลินที่นอนแผ่หลากับพื้นด้วยสีหน้าที่สับสน
นางสละสายเลือดของตัวเองเพื่อช่วยชีวิตอันหลิน ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก และไม่เคยคิดว่าอีกสิบกว่าวันให้หลัง อันหลินจะกลับมา มาหานางพร้อมกับวัตถุดิบที่กระตุ้นและกลั่นเลือดให้บริสุทธิ์ได้ ทำให้นางเกิดใหม่
“ขอบใจนะ”
เป่ยเหลียนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ครุ่นคิดอยู่นาน ก็พูดออกมาแค่สามคำนี้
อันหลินโบกมือยิ้มๆ “ขอบคุณอะไรกัน หากไม่ได้เจ้า ข้าคงตายอยู่ที่เมืองริ้วคลื่นแล้ว!”
“นี่เป็นการตอบแทนหนี้ชีวิต อีกอย่างชีวิตของข้าค่อนข้างมีค่า หนี้ชีวิตนี้ชดใช้ไม่หมดง่ายๆ หรอกนะ ต้องค่อยๆ คืน อืม…ตอนนี้เหมือนจะไม่มีของดีอะไรพอจะให้ได้ แต่สักวันข้าต้องพุ่งผงาด มีชื่อก้องปฐพี ถึงตอนนั้น ข้าจะดูแลเจ้าเอง!”
เป่ยเหลียนเม้มปากยิ้ม ไม่กระบิดกระบวน “ได้ งั้นข้าจะเกาะยอดฝีมืออย่างเจ้าไว้แน่นเลย”
อันหลินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นพูดว่า “แล้วเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไรต่อไป”
เป่ยเหลียนย่อมเข้าใจว่าอันหลินหมายถึงอะไร บัดนี้พลังแห่งสายเลือดของนางคืนกลับมาแล้ว ขอแค่นางต้องการ สถานะในวังมังกรก็สามารถทวงคืนได้ทุกเมื่อ
เพียงแต่ว่า…จะกลับไปจริงหรือ
ดังสำนวนที่กล่าวว่า เห็นธาตุแท้ยามยาก
เมื่อทุกคนรู้ข่าวที่สายเลือดของนางด่างพร้อย พลังยุทธ์ไม่มีทางก้าวหน้าอีกแล้ว พี่น้องที่เป็นมิตรเพียงเปลือก นอกจากหยินอวี่แล้ว ต่างก็เย็นชายิ่งนัก ไม่มีแม้แต่ความห่วงใยจอมปลอมเลยด้วยซ้ำ เสด็จพ่อถึงขั้นมองข้ามความยินยอมของนาง บังคับให้นางแต่งงานกับเซี่ยเจ๋อ
แม้นางจะรู้ดีแก่ใจว่านิสัยของคนในครอบครัวเป็นเช่นนี้ แต่ยามที่เกิดปัญหาขึ้นกับนางจริงๆ ก็ทำให้นางผิดหวังเหลือเกิน ครอบครัวที่ไร้ซึ่งความอบอุ่น ครอบครัวที่ผูกมัดด้วยสัมพันธ์ต่างมารดาเช่นนี้ ควรค่าให้รักษาจริงหรือ
“ข้าไม่อยากกลับไปแล้ว” เป่ยเหลียนถอนหายใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เมื่อออกจากวังมังกร นางจะสูญเสียทรัพยากรบำเพ็ญเซียน วิชา ยา หินวิญญาณและวัตถุดิบทั้งหมดไป ไม่เหลืออะไรเลย กลายเป็นนักพรตพเนจรคนหนึ่ง ทุกอย่างต้องอาศัยตัวเอง…
แต่ไม่รู้เพราะอะไร นางไม่อยากกลับไป
อันหลินเข้าใจการตัดสินใจของนางดี นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว วงการบำเพ็ญเซียนยังนิยมคลุมถุงชนอีกเหรอ เพียงแค่เรื่องนี้ ก็ทำให้เขาหมดความประทับใจต่อวังมังกรแล้ว
มันไม่ผิดกฎหมายหรือไง!
“อันหลิน เจ้าไปวังมังกรฝากบอกหยินอวี่หน่อยว่า เลือดของข้าคืนกลับมาแล้ว ตั้งใจจะไปทัศนาจรในแผ่นดินบรรพกาลสักสองสามปี บอกนางไม่ต้องเป็นห่วง และอย่าลืมบอกนางช่วยรักษาความลับให้ข้าด้วย”
“เอ่อ เจ้าไม่บอกนางเองหรือ”
“เอาละ ความรู้สึกเป็นสิ่งที่หมดอายุง่าย ได้อำลาไปหนหนึ่งแล้ว หากให้ลาอีกครั้ง เสียความรู้สึกยิ่งนัก”
“…ทำเอาข้าพูดไม่ออกเลย”
“ถ้าอย่างนั้นอันหลิน ไว้พบกันใหม่เมื่อฟ้าลิขิต!”
“แล้วพบกันใหม่ธิดามังกรน้อย”
เป่ยเหลียนมองอันหลินอย่างอ่อนโยนแวบหนึ่ง ราวกับว่ามีคำพูดมากมายอยากจะเอื้อนเอ่ย แต่สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มดุจดอกท้อยามลมวสันต์โชย โบกมือ หันหลังแล้วเหาะจากไป
มุมหนึ่งในหัวใจของนาง มีคนคนหนึ่งเพิ่มเข้ามา ถูกตีตราว่า ‘ชอบ’ นับจากนี้ไป
[1] สังหารศัตรูหนึ่งพัน ฝ่ายตนเจ็บแปดร้อย หมายถึง ไม่ได้มีแค่ฝ่ายศัตรูที่ได้รับความเสียหายเท่านั้น ได้รับความเสียหายกันทั้งสองฝ่าย