ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 293 บรรยากาศใหม่ของปีการศึกษาใหม่
หลังบอกลาเซวียนหยวนเฉิง อันหลินก็เดินกลับหอพักด้วยความกลุ้มใจ
ตอนนี้เขาเป็นบุคคลที่โด่งดังอันดับหนึ่งของสำนักแล้ว มักจะมีนักเรียนมาทักทายเขา ความรู้สึกแบบนี้ก็ไม่เลวเลย โดยเฉพาะในยามที่เขาทักทายคนอื่นเวลาขี่ต้าไป๋ มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้นำมาตรวจดูสำนักอย่างไรอย่างนั้น
ระหว่างที่อันหลินขี่สุนัขตรวจตราอยู่นั้น ก็พบกับซูเฉี่ยนอวิ๋นที่กำลังเดินเล่นอย่างเนิบนาบ
“นี่ สหายซูเฉี่ยนอวิ๋น ปิดเทอมเป็นอย่างไรบ้าง”
“เหมือนเดิมเลย อยู่กับพี่ฉางเอ๋อแล้วกลับไปพักผ่อนที่ราชวังระยะหนึ่ง ช่วงปิดเทอมก็สิ้นสุดแล้ว”
“อ้อ ก็ไม่เลวเลยนี่นา จะบอกให้นะ ตอนนี้ข้าบรรลุระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายแล้ว”
“คุณพระ! สหายอันหลินสุดยอดไปเลย!”
“แหะๆ หามิได้ ชมเกินไปแล้ว!”
…
หลังได้คุยโวโอ้อวดแล้ว เขาก็เดินหน้าต่อไปอย่างสบายอารมณ์ เจอหญิงผมสั้นสีชมพูที่นั่งเหม่อบนม้านั่งหยก
“นี่ ศิษย์พี่หลิวเชียนฮ่วน ปิดเทอมเป็นอย่างไรบ้าง”
“น่าเบื่อจะตายชัก ไม่มีใครเล่นเกมกับข้า!”
“ท่านควรไปใช้เวลาที่แดนมนุษย์”
“เฮ้อ อย่าพูดถึงเลย ไม่มีสิทธิ์น่ะสิ! ข้าติดบัญชีดำไปแดนมนุษย์ของสำนักแล้ว เพราะภารกิจไปแดนมนุษย์ครั้งก่อน พาสมาชิกในกลุ่มคนหนึ่งไปร่วมการแข่งเล่นเกม กระทบต่อเรื่องสำคัญ ถูกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแดนมนุษย์รายงานสรวงสวรรค์”
“…ท่านน่ะสมควรแล้ว จริงสิ กึ่งแปลงจิตมานานขนาดนี้แล้ว บรรลุระดับแปลงจิตหรือยัง”
“ยังขาดอีกนิด”
“ช้าปานนี้เชียวหรือ ข้าจะบอกให้นะ ตอนนี้ข้าบรรลุระดับแปลงจิตขั้นปลายแล้ว!”
“อืม ทำไมหรือ”
“ให้ตายสิ ท่านไม่ตกใจหรือ!”
“ข้าควรตกใจหรือ อย่างไรเสียเจ้าก็เล่นลีคออฟคิงสู้ข้าไม่ได้”
“…”
…
อันหลินตบตูดต้าไป๋ปุๆ แล้วเดินหน้าต่อ เจอร่างบางที่สวมชุดสีเขียวอยู่ด้านหน้า
“ฮาย เสี่ยวหลาน ปิดเทอมเป็นอย่างไรบ้าง”
“เสี่ยวอันจื่อ ข้าอยากถามเจ้าอยู่พอดีว่า ยังมีความเป็นเจ้านายอยู่หรือไม่ ทิ้งเสี่ยวหงให้ข้าดูแลหมายความว่าอย่างไร เจ้ารู้ไหมว่าตอนที่ข้ากำลังนอนอยู่ในสำนักวิหคชาด จู่ๆ ก็มีเสียงร้องเพลงกังหันแว่วมา มันเป็นความรู้สึกแบบไหน!”
“โธ่ ข้าขอโทษ ข้าลืมไปนี่นา จะว่าไปตอนนี้เสี่ยวหงอยู่ไหนล่ะ”
“ฮึ่ย อยู่ในกระถางของห้องข้า ไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุกยามเช้าเลยด้วยซ้ำ ก็ได้ยินมันร้องเพลงกังหันลมแล้ว”
“อะแฮ่ม…ใจเย็นๆ นะ เจ้าศึกษามรดกของเสิ่นอิงไปถึงไหนแล้ว”
“แทบจะไม่มีปัญหา หลังพลังงานสายฟ้าของไข่มุกมังกรอัสนีถูกข้าดูดซึมแล้ว สายเลือดมังกรหงส์ก็เปลี่ยนจากกำราบกันกลายเป็นผสมผสานกันแล้ว มรดกอย่างอื่นก็เริ่มกระจ่างแจ้ง จวนจะถึงขั้นหยั่งรู้วิชาของตนแล้ว”
“ว้าว! ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของเจ้าช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ!”
“ต้องขอบคุณเจ้า ครั้งหน้าหากล่าขุมทรัพย์อีก อย่าลืมเรียกข้าด้วยละ”
“ค่อยว่ากัน…เสี่ยวหลาน ความจริงข้ามีข่าวอยากบอกเจ้า นั่นก็คือข้าบรรลุระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายแล้ว!”
“อ้อ…ครั้งนี้กินของพิลึกกึกกืออะไรอีกล่ะ หรือใช้วิธีแปลกพิสดารอะไรกระตุ้นถึงสำเร็จได้ล่ะ”
“…เสี่ยวหลาน ในสายตาเจ้าข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“…”
…
จู่ๆ อันหลินก็รู้สึกกลุ้มใจ ทำไมการอวดว่าระดับพลังยุทธ์ก้าวกระโดดถึงได้ยากเย็นขนาดนี้กันนะ
เหตุการณ์ปกติควรจะหายใจดังเฮือกกันทุกคน จากนั้นพากันอุทานว่าเขามีพรสวรรค์เลิศล้ำ ช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร จากนั้นเคารพนับถือไม่ใช่เหรอ
แต่ในบรรดาผู้คนมากมายเหล่านี้ เหมือนว่าจะมีแค่ซูเฉี่ยนอวิ๋นที่มีปฏิกิริยาแบบนั้น มันเพราะอะไรกันแน่
อันหลินตั้งใจขบคิด พยายามค้นหาต้นตอของปัญหา
เพราะหากชีวิตไร้ซึ่งการโอ้อวด การบำเพ็ญเซียนก็ไร้รสชาติไปโดยปริยาย
ในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่งก็เดินสวนมา
“นี่ ลั่วจื่อผิง ปิดเทอมเป็นอย่างไรบ้าง”
“ฮ่าๆ พี่อัน ข้ากำลังจะไปบอกข่าวดีกับเจ้าอยู่พอดี ข้าบรรลุระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว!”
“ยินดีด้วยนะ! นี่มันข่าวดีข่าวใหญ่เลยนะ เจ้าเป็นนักเรียนที่บรรลุระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณคนที่หกของห้องเราสินะ”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ ได้ยินว่าซุนเซิ่งเหลียนกับเหมียวเถียนก็บรรลุระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้วเช่นกัน เป็นเพราะมรดกสายเลือดของดาวม่วงในตอนนั้นแท้ๆ มิเช่นนั้นพวกเราคงไม่ทะลวงขั้นได้ไวเช่นนี้”
“จิ๊ๆ นี่มันข่าวดีข่าวใหญ่เลยนะ กลุ่มของข้าช่างไร้เทียมทานจริงๆ ความจริงหัวหน้าของพวกเจ้าก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกันนะ บัดนี้บรรลุระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายแล้ว!”
“ฮ่าๆ พี่อันยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ต่อให้เจ้าบอกว่าบรรลุระดับแปลงจิตแล้ว ข้าก็ไม่คิดว่าแปลก!”
“เจ้าช่วยแปลกใจหน่อยไม่ได้หรือ ตกใจหน่อยสิ…”
“ฮะ ไยต้องตกใจด้วยล่ะ”
…
เมื่อบอกลาลั่วจื่อผิง อันหลินก็กลุ้มใจยิ่งกว่าเดิม ฉันเป็นผู้ชายที่เลื่อนขั้นจากระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นต้นมาขั้นปลายภายในหนึ่งเดือนเชียวนะ ทุกคนช่วยมีปฏิกิริยาตอบสนองหน่อยได้ไหม!
“ต้าไป๋ เจ้าว่าข้าอยากใช้ระดับพลังยุทธ์มาอวดเท่สักหน่อย ไยถึงได้ยากเย็นขนาดนี้เล่า”
“เหอะๆ พี่อัน ความเท่ของเจ้าหมดตั้งแต่อยู่บนโลกมนุษย์แล้ว ตอนนี้หมดหวังแล้ว โฮ่ง!”
อันหลินกุมขมับทอดถอนใจ คิดว่ามีเหตุผล
ช่างเถอะ ปีการศึกษาใหม่ เขาไม่อยากคิดอะไรเยอะแยะแล้ว
ตั้งใจบำเพ็ญเพียร ก้าวหน้าทุกวันดีกว่า!
อันหลินร่าเริงขึ้นมา อยู่กับเจ้าอัปลักษณ์และต้าไป๋ เชิญเสี่ยวหงกลับทีมของพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่ แถมยังขอโทษขอโพยกันยกใหญ่
สำหรับเรื่องที่เจ้านายกับน้องๆ ลืมเลือนมัน เสี่ยวหงกลับไม่รู้สึกไม่พอใจอะไร กลับกันมันดูระริกระรี้เป็นพิเศษ สังเคราะห์แสงที่ไหนก็เหมือนกัน
อยู่กับสวีเสี่ยวหลานก็สังเคราะห์แสงทุกวัน อยู่กับอันหลินก็สังเคราะห์แสงทุกวัน
ต่างกันตรงไหน
ไม่ต่างกัน!
“เสี่ยวหง เจ้ารู้ไหม ข้าบรรลุระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายแล้ว!”
“โอ้โฮ นายท่านยอดเยี่ยมจริงๆ แล้วท่านร้องเพลงดาวดวงน้อยเป็นไหม”
“ฮะ”
“ไม่เป็นหรือ งั้นข้าจะสอนท่านเอง”
เสียงร้องหวานหยดย้อยเริ่มขับขาน “วิบวับ วิบวับ สว่างพริบพราว ทั่วฟ้าเต็มไปด้วยดาวดวงน้อย แขวนอยู่บนฟ้าส่องสว่าง เหมือนดั่งดวงตาเล็กๆ มากมาย…”
อันหลินน้ำตาไหลพราก รอบตัวเขาไม่มีคนปกติแล้วเหรอ ทำไมการอวดถึงได้ยากเย็นขนาดนี้
ศิษย์น้องที่น่ารักไร้เดียงสามาถึงสำนักอีกครั้ง
ไม่นานพวกเขาก็ทราบเรื่องบุคคลในตำนานของรั้วสำนัก ศิษย์พี่อันหลิน!
นั่นเป็นถึงคนโหดสะเทือนโลกาที่ฉีกราชันด้วยมือเปล่า หนึ่งดรรชนีทลายฟ้าได้ เป็นตำนานของรั้วสำนัก เป็นความภาคภูมิใจของรั้วสำนัก ไม่ว่าเรื่องที่เกินจริงมากมายปานใดเกิดขึ้นกับเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก!
ศิษย์น้องทั้งชายหญิงต่างก็ตะลึงงันเมื่อได้ยินวีรกรรมเหล่านี้
“ว้าว ศิษย์พี่อันหลินสุดยอด อยากไปหาเขาจังเลย!”
“ได้ยินว่าเขาใช้เวลาช่วงปิดเทอม ทะลวงขั้นจากระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นต้นไปถึงขั้นปลายแน่ะ”
“มันปกติมากไม่ใช่หรือไง คนเขาสู้กับราชันระดับหวนสู่ความว่างเปล่าได้ตั้งแต่กายแห่งมรรค ทะลวงสองขั้นในช่วงปิดเทอมมีอะไรน่าแปลกกัน”
“อืม พอพูดแบบนี้ก็ดูเข้าท่าแฮะ ข้าตื่นตูมไปเอง”
…
ศิษย์น้องทั้งชายหญิงแตกตื่นฮือฮาเพราะวีรกรรมโชติช่วงทั้งหลายแหล่ของศิษย์พี่อันหลินตั้งแต่เข้าเรียน ต่างก็มีภูมิคุ้มกันอันแก่กล้าแล้ว
เส้นทางอวดเท่ของอันหลินยิ่งห่างไกลไปกันใหญ่
ชีวิตปีสามของเขา ได้เริ่มต้นท่ามกลางบรรยากาศที่สุขสงบแล้ว