ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 322 ชื่อก้องแผ่นดิน
ข่าวคราวแพร่สะพัดเหมือนไฟลามทุ่ง แพร่สะพัดไปทั่วทุกสารทิศด้วยความเร็วที่บ้าคลั่ง ไม่นานก็ทำให้จักรวรรดิอ้าวซิน แม้กระทั่งทั้งผืนแผ่นดินสั่นสะเทือน
เซียนกระบี่มีนามว่าอันหลิน หลังเอาชนะกษัตริย์สงครามหลายคนและทูตพิเศษของจักรวรรดิอ้าวซินแล้ว ก็ลั่นวาจาท้าทายจักรพรรดิสงครามซวีหมิงอย่างเปิดเผย และป่าวประกาศว่าหากไม่พอใจจะบุกวังของจักรวรรดิอ้าวซิน
เมื่อข่าวนี้กระจายออกไป ทั่วโลกก็แตกตื่น
จักรพรรดิสงครามเป็นบุคคลสูงสุดของแผ่นดินนี้ น่าเกรงขาม สูงศักดิ์อย่างยิ่ง
สำหรับชาวโลกแล้ว จักรพรรดิสงครามก็คือดวงอาทิตย์บนท้องนภา สูงส่ง ห้ามล่วงเกินเป็นอันขาด
บัดนี้เซียนกระบี่อันหลินกลับอาจหาญลั่นวาจาจะจัดการ!
ต้องรู้ว่าอริยะที่เผลอล่วงเกินจักรพรรดิสงครามคราวก่อน ตอนนี้หญ้าตรงสุสานสูงร่วมสามจั้งแล้ว!
บ้าไปแล้ว คนคนนี้บ้าไปแล้ว!
แทบจะทุกคนล้วนรู้สึกเช่นนี้เมื่อได้ยินข่าวนี้
จักรวรรดิรุ้งอุดร ทางเหนือของแผ่นดินปราณสงคราม
ณ เหลาสุราแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ก็มีบุคคลที่รู้แหล่งข่าวกำลังถกประเด็นนี้อยู่เช่นกัน
“นี่ เจ้าได้ยินเรื่องของจักรวรรดิอ้าวซินหรือยัง”
“จะไม่รู้ได้อย่างไร เรื่องนี้ลือกันให้แซ่ด เกียรติของจักรพรรดิสงครามไม่ถูกท้าทายมานานแค่ไหนแล้ว ข้าว่าเจ้าบ้าที่ชื่ออันหลินคงอยู่ได้ไม่เกินสามวันแล้ว”
“จิ๊ๆ…ไม่คิดเลยว่าจะมีคนอหังการแบบนี้อยู่บนโลกด้วย…”
“อหังการงั้นหรือ นี่เรียกว่าไม่เจียมตัวต่างหาก! หึ มีความสามารถนิดหน่อยก็อวดดีขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
“มันก็จริง จักรพรรดิสงครามซวีหมิงนั้นไร้พ่าย หลังได้อาวุธเทวะมาครอง เขาก็ยิ่งไร้เทียมทาน อริยะสงครามที่ตายด้วยน้ำมือเขามีร่วมสิบชีวิตแล้ว เฮ้อ สติฟั่นเฟือนไปแล้วถึงได้กล้าท้าทายเขาเช่นนี้”
โดยที่ไม่รู้ว่าขณะที่พวกเขากำลังคุยกันนั้น จอกสุราในมือของชายชุดขาวบนโต๊ะอีกใบนิ่งชะงักไปแล้ว
ใบหน้าสุภาพอ่อนโยนของเขาฉายความเหม่อลอยอยู่เนิ่นนาน
สุดท้ายเขาก็หัวเราะอย่างสุขอุรา เสียงหัวเราะอันไร้ยางอายทำให้ลูกค้ารอบข้างหันมองกันระนาว
“จักรวรรดิอ้าวซินหรือ อันหลิน รอข้านะ!”
ชายหนุ่มชักกระบี่ออกจากฝัก ปราณกระบี่ฟ้าดินโลดแล่นทันที
เขาย่ำกระบี่แล้วพุ่งขึ้นฟ้า แผ่นหลังสง่างามเด็ดเดี่ยว ทิ้งลูกค้าที่ตะลึงงันไว้ด้านหลัง
ในอาณาเขตของจักรวรรดิอ้าวซิน อันหลินกับซูเฉี่ยนอวิ๋นอาละวาดชนิดที่โกลาหลอลหม่าน
แคว้นชุนหยาง
เล่าลือกันว่าสำนักกระบี่เมฆพิศุทธ์คร่าชีวิตผู้คนหลายร้อยเพื่อหล่อเลี้ยงกระบี่ และยังลอยตัวเหนือกฎหมาย ทำตามอำเภอใจ
มันเป็นจอมอหังการแห่งแดนดิน ความสามารถแกร่งกร้าว ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วย
ได้! คอยดูจอมยุทธหญิงชายอย่างเราจะทำลายพวกเจ้าเอง
อันหลินบุกสำนัก ปลิดชีพจวงปี้ฝานผู้แข็งแกร่งระดับกษัตริย์สงครามคาบัลลังก์
กงจักรแสงจันทร์ของซูเฉี่ยนอวิ๋นเข่นฆ่าไม่ปราณี ผู้อาวุโสในสำนักระดับราชันสงครามสิบกว่าชีวิตถูกสังหารในกระบวนท่าเดียว
สำนักกระบี่เมฆพิศุทธ์พินาศสิ้นภายในหนึ่งทิวา!
แคว้นเฮ่อกุย
ได้ยินว่าสำนักปีศาจเลือดมังกรเป็นใหญ่ กดขี่จนพรรคและสำนักทั้งหลายในแคว้นโงหัวไม่ขึ้น และเพราะผู้แข็งแกร่งในสำนักมีนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาที่น่ากลัวอย่างมหันต์ ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้อง
ได้! คอยดูจอมยุทธหญิงชายอย่างเราจะทำลายพวกเจ้าเอง
อันหลินกับซูเฉี่ยนอวิ๋นบุกกระวูดกระวาดไปที่รังของสำนักปีศาจเลือดมังกร เปิดฉากสังหารอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
กษัตริย์สงครามสองคนภายในสำนักปีศาจไม่มีแม้แต่โอกาสหลบหนีด้วยซ้ำ ก็ถูกปลิดชีพทันที ภายในสำนักเลือดนองเป็นสายธาร ศพนอนเกลื่อนกลาด…
ภายในทิวาเดียว โลกก็ไม่มีสำนักปีศาจเลือดมังกรอีกต่อไป!
แคว้นตะวันขาว แคว้นพญาหงส์…
ทุกวีรกรรมแพร่กระจายดุจพายุพัดวูบ ทำให้ทุกคนในผืนแผ่นดินตะลึงพรึงเพริด
ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะปฏิเสธอันหลินกับซูเฉี่ยนอวิ๋นอย่างไร การกระทำในตอนนี้ของพวกเขาล้วนแต่สะเทือนขวัญผู้คน อย่างน้อยก็มีผู้คนมากมายไม่กังขาในความสามารถของพวกเขาอีกต่อไป
ชื่อของเซียนกระบี่อันหลินและนักบุญหญิงแสงจันทร์ได้เลื่องลือไปทั่วผืนแผ่นดินอย่างแท้จริง
แต่เรื่องที่สะเทือนขวัญชาวโลกที่แท้จริง กลับเกิดขึ้นในหอเด็ดดาว
หอเด็ดดาว หนึ่งในสิบสำนักใหญ่แห่งจักรวรรดิอ้าวซิน
มีอิทธิพลครอบคลุมทางตะวันตกของจักรวรรดิ แว่นแคว้นเล็กใหญ่นับสิบกว่าแคว้น เป็นสำนักยิ่งใหญ่สมชื่อ
หลิงเซียงเล่อประมุขหอเด็ดดาว ปรมาจารย์เย่ฉงซานแห่งหอเด็ดดาว ต่างก็อยู่ในระดับอริยะสงคราม
พวกเขาเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อของแผ่นดิน และเป็นเพราะเหตุนี้เอง ทุกการกระทำของหอเด็ดดาว ขอเพียงไม่เกินกว่าเหตุมากนัก แม้แต่จักรพรรดิสงครามก็หลับตาข้างหนึ่งเช่นกัน
ท่ามกลางขุนเขาที่เลือนราง มีราชวังและหอที่ตกแต่งหรูหราตั้งเรียงราย
บนยอดเขาที่สูงที่สุด มีหอที่ส่องแสงสีม่วงอยู่หลังหนึ่ง งดงามตระการตา ไม่เหมือนทั่วไป
มันเป็นหอหลักของหอเด็ดดาว เป็นศูนย์กลางของสำนักนี้
“เพลิงมารดาราเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ชายหนุ่มที่รูปโฉมงดงาม เสียงใสกังวานเหมือนเด็กยืนมือไพล่หลัง กำลังเยื้องย่างในหอหลักเอ่ยถามขึ้นมา
ชายชราสวมชุดคลุมสีม่วงค้อมตัวตอบกลับว่า “ท่านประมุข เพลิงมารดารายังมีความต่อต้านอย่างรุนแรง ค่ายกลกำราบพลังวิญญาณที่เราใช้ ไม่อาจทำให้มันยอมจำนนได้”
ชายรูปงามคนนั้นคือ หลิงเซียงเล่อ ประมุขแห่งหอเด็ดดาว
ดวงตาเรียวยาวของหลิงเซียงเล่อหรี่ลงเล็กน้อย “มันไม่ยอมจำนนไม่ได้หมายความว่าวิธีการของเราไม่ถูก แต่เป็นเพราะพลังไม่พอ! ไปหามาอีกสองแสนชีวิต!”
ชายชราชุดม่วงสะดุ้ง สุดท้ายก็ทำได้เพียงโค้งตัวก้มหัว “ขอรับท่านประมุข!”
ท่าทางจะต้องไปจับคนตามเมืองตามชนบทแล้ว ครั้งนี้จะอ้างเหตุผลอะไรดี
อสุรกายบุกรุก หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ขณะที่ชายชราชุดม่วงกำลังใคร่ครวญเรื่องนี้ จู่ๆ พื้นก็สั่นสะเทือน ต่อมาก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ตูม
หอเด็ดดาวเริ่มโกลาหล เสียงแตรบอกสัญญาณดังขึ้น
“ศัตรูรุกราน มีศัตรูรุกราน!”
“มีคนบุกเข้าสำนัก!”
ลูกศิษย์ของหอเด็ดดาวพากันพุ่งตัวออกไป กำมืออาวุธแน่นพร้อมรบ
ชายชราชุดม่วงชะงัก คิดไม่ถึงว่าป่านนี้แล้ว ยังมีบุคคลที่ใจกล้าไม่ครั่นคร้ามอาจหาญต่อต้านหอเด็ดดาว ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ
“หึ! ข้าขอดูหน่อยสิว่าใครหน้าไหนกล้ารนหาที่ตายเช่นนี้”
ปีกสีม่วงงอกออกจากแผ่นหลังของชายชรา เหาะตรงไปยังตำแหน่งที่เกิดการปะทะ
“เอ๊ะ ชายหนึ่งหญิงหนึ่งหรือ” ชายชราชุดม่วงลอยตัวกลางอากาศ กระตุ้นลมปราณ ตะโกนดังลั่นว่า “ใครหน้าไหนอาจหาญบุกหอเด็ดดาว ยังไม่รีบมามอบตัวอีก!”
ซิ่ว แสงสีน้ำเงินกะพริบผ่านไป
ชายชรากลายเป็นสองท่อน เสร็จสิ้นภารกิจที่เขาได้รับมอบหมาย
เซียนกระบี่อันหลินกับนักบุญหญิงแสงจันทร์สังหารทุกคนที่ขวางหน้า
แท้จริงแล้วพวกเขาก็คือเทพสังหาร เข่นฆ่าตลอดทางจนออกนอกหอที่สูงที่สุดโดยไม่ปริปากเลย
ตูม
ค่ายกลของหอที่ส่องแสงสีม่วงทลาย ทั้งคู่เดินอาดๆ เข้ามา
ประมุขหลิงเซียงเล่อนั่งอยู่บนบัลลังก์ จ้องมองผู้มาเยือนเงียบๆ เมื่อเห็นทั้งคู่ไร้มลทินประดุจคู่รักเทพเซียนที่ลงมาจากสวรรค์ สุดท้ายอากัปกิริยาที่นิ่งเฉยก็ฉายความวูบไหว
ข้างกายหลิงเซียงเล่อมีชายชราชุดแดงคนหนึ่ง เขาก็คือเย่ฉงซาน ปรมาจารย์แห่งหอเด็ดดาว
อริยะสงครามสองคนเพียงพอจะทำให้อิทธิพลส่วนใหญ่ในแผ่นดินหวาดผวา แต่ชายหญิงตรงหน้ากลับขี้เกียจแม้แต่จะแสดงสีหน้าเคร่งขรึม
“เซียนกระบี่อันหลิน นักบุญหญิงแสงจันทร์ ข้าจำได้ว่าหอเด็ดดาวของเราไม่เคยล่วงเกินอะไรพวกเจ้า ไม่ข้องเกี่ยวกัน ทั้งสองบุกมาถึงสำนักข้ามันเพราะอะไร” หลิงเซียงเล่อเปิดเผยตัวตนของทั้งคู่ทันทีที่เอ่ยปาก พูดจาเนิบนาบ
เพราะแผ่นดินนี้ไร้ขื่อไร้แป เหลือเพียงคู่นี้แล้ว หลิงเซียงเล่อคิดไม่ถึงว่า พวกเขาจะกล้าท้าทายอริยะสงคราม
อันหลินขี่กระบี่ลอยอยู่ที่เดิม พูดจาฉะฉานว่า “เจ้าไม่ได้ล่วงเกินพวกเรา แต่หอเด็ดดาวสุ่มคนนับแสนกว่าชีวิตเข้ามาที่หอ มาแล้วไม่หวนกลับ สองปีมานี้ยิ่งกำเริบเสิบสาน…พอข้ามาดูที่หอเด็ดดาว เหอะ ศิษย์ในสำนักมีเพียงพันชีวิต คนอื่นไปไหนกันหมด มันทำให้ข้าว้าวุ่นใจ…”
เย่ฉงซานหรี่ตาลง พลังมหาศาลแผ่ออกมากดดันดุจขุนเขาใหญ่ กระแสเสียงปานสายฟ้าคำราม “เรื่องนี้เจ้าต้องสนใจด้วยหรือ!”
สีหน้าของอันหลินเรียบเฉย ไม่ได้รับผลกระทบเลยสักนิด พูดอย่างห้าวหาญว่า “ข้าเป็นสหายของความถูกต้อง เป็นเซียนกระบี่ที่ผดุงธรรมแทนสวรรค์! เห็นความอยุติธรรมก็คำรามลั่น! ไยจะยุ่งไม่ได้!”
หลิงเซียงเล่อมุมปากกระตุกยิกๆ “บัดซบ เป็นบ้าจริงๆ ด้วย”
เย่ฉงซาน “…เราลงมือดีกว่า”
ครืน ปราณอันน่ากลัวของอริยะสงครามคนหนึ่งเป็นเหมือนคลื่นที่โหมซัด ม้วนตัวมาอย่างไม่กลัวเกรง ทำให้มิติเกิดริ้วคลื่นเป็นระลอกๆ
อันหลินถือกระบี่พิชิตมารยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ซูเฉี่ยนอวิ๋น ปล่อยปราณอันยิ่งใหญ่ของตนออกไปเช่นกัน
ลมพัดกรรโชก ปราณทั้งสองสายปะทะกันอย่างรุนแรง ดุจสายฟ้าคำราม ทำให้หอเด็ดดาวสั่นไหว
สงครามสะเทือนแผ่นดินได้ปะทุขึ้นที่หอเด็ดดาวด้วยประการฉะนี้เอง