ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 337 เจอสุสานแล้ว!
“เอ๊ะ พวกเจ้าดูสิ นั่นอะไรน่ะ”
หลิวเชียนฮ่วนชี้เงาดำที่อยู่ไกลออกไปหนึ่งลี้ พูดด้วยความประหลาดใจ
ทุกคนหันมองไปตามทางที่นางชี้ เห็นเงาดำกำลังเคลื่อนไหวอยู่จริงๆ
หรือจะเป็นสิ่งมีชีวิต วงในของแดนโบราณรกร้าง นอกจากมนุษย์หินที่มีขนาดมหึมาดุจขุนเขาแล้ว พวกเขาก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใด ไม่คิดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตดำรงชีวิตอยู่ในนี้อีก
“ไป! ตามไปดูกันหน่อย!” อันหลินขี้ก้อนอิฐพุ่งใส่เงาดำก่อนใคร
เหมือนว่าเงาจะสัมผัสได้ถึงอันตราย จึงเริ่มหนีหัวซุกหัวซุน
แต่ความเร็วของมันจะสู้ความเร็วในการเหาะเหินของพวกอันหลินได้อย่างไร ไม่นานก็ตามทัน
เมื่อเข้าไปมองใกล้ๆ ทุกคนถึงได้เห็นชัดเจนว่า มันเป็นหนูที่มีขนาดใหญ่โตอย่างยิ่ง!
หนูตัวนี้มีขนาดหนึ่งจั้ง มีขนสีดำสนิท ขนแดงฉานดุจโลหิต ดวงตาสุกใสสอดส่ายไปมา เหลียวมองนักพรตที่ไล่กวดข้างหลังพลางวิ่งหนีสุดชีวิต
“พวกเราไม่ต้องจับมัน ตามหลังมันแบบนี้แหละ ดูสิว่ามันจะวิ่งไปไหน” อันหลินพูดอย่างลุ้นระทึก
“ละแวกนี้ไม่มีรู ยามหนูพบเจออันตราย การกระทำตามสัญชาตญาณน่าจะวิ่งกลับบ้าน ข้าสงสัยนิดหน่อยว่ามันเป็นสถานที่แบบไหน หนูตัวนี้ถึงอยู่รอดได้” เซวียนหยวนเฉิงพูดด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
หนูตัวใหญ่ยักษ์เช่นนี้อยู่ในดินแดนหิมะ คงไม่ได้อยู่รอดด้วยการสังเคราะห์แสงเป็นแน่ ต้องอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้แน่นอน
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงเหาะตามหนูไปกว่าห้าหกลี้ จากนั้นก็เห็นหนูมุดลงไปในชั้นหิมะ หายลับไปจากสายตาของทุกคน
“นี่มัน…” อันหลินกะพริบตาปริบๆ ทำไมจู่ๆ ถึงมุดลงดินไปแล้วล่ะ เป็นหนูงั้นเหรอ
จักรพรรดิจื่อหยางขมวดคิ้วมุ่น “ไม่สิ หิมะนี่มีปัญหา!”
เมื่อเขาโบกมือ พายุหมุนก็ม้วนตัว พัดพาหิมะให้ปลิวว่อน
พวกอันหลินเห็นความผิดปกติทันที ชั้นหิมะที่หนูมุดลงไปนั้นหนาเตอะ กลับมีเพียงหิมะโดยรอบที่ลอยขึ้น กองหิมะตรงกลางนูนขึ้นมาประหนึ่งกองนุ่นสีขาว
อันหลินพุ่งลงไป ใช้มือสัมผัสหิมะที่นูนขึ้นมาแผ่วเบา ไม่คิดเลยว่าจะไม่รู้สึกถึงความเย็นและเนื้อสัมผัส ราวกับสอดมือเข้าไปในความว่างเปล่า
เขาครุ่นคิดแล้วหยิบหินวิญญาณออกมา โยนลงไปในกองหิมะ
หินวิญญาณกระทบกองหิมะจนกระเพื่อมดุจปุยเมฆลอย จากนั้นก็หายลับไป
“ฮ่าๆ ท่าทางพวกเราจะมาถูกที่แล้ว นี่มันอุโมงค์มิติ!”
ดวงตาของอันหลินเป็นประกาย พูดด้วยความลิงโลดใจ
จากนั้น ทุกสายตาก็เริ่มจับจ้องไปที่จักรพรรดิจื่อหยาง
หนังตาของจักรพรรดิจื่อหยางกระตุก ผงะถอยหลังสองก้าว “พวกเจ้ามองข้าทำไม”
อันหลินกระแอมเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “อืม…พวกเราต้องการคนนำทางที่แข็งแกร่ง ข้าคิดว่าผู้อาวุโสจื่อหยางเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด”
มุมปากของจื่อหยางกระตุก ในใจอยากสบถคำหยาบเป็นหมื่นๆ ครั้ง แต่เมื่อเห็นแววตาของงูมรกตแล้ว ก็กลืนคำพูดเหล่านั้นลงท้องไป
“ได้! ข้าจะเป็นวีรบุรุษสักครั้ง!”
จื่อหยางทำหน้าเด็ดเดี่ยวแล้วกระโดดลงไป!
กระทบหิมะไร้สุ้มเสียง ร่างของเขาหายลับไปในชั้นหิมะอย่างสิ้นเชิง
พวกอันหลินจ้องกองหิมะด้วยสายตาที่คาดหวัง รอการตอบกลับ
หนึ่งนาทีต่อมา กองหิมะยังคงไร้การตอบสนอง
สามนาทีต่อมา กองหิมะยังคงเงียบเช่นเดิม
อันหลินทนไม่ไหวแล้ว “ผู้อาวุโสจื่อหยางคงไม่ได้ตายไปแล้วหรอกนะ”
หูก้วนเริ่มวิตกกังวล “หรืออุโมงค์จะมีเพียงขาไปเท่านั้น”
“มีความเป็นไปได้ ในเมื่อหนูยังออกมาได้ งั้นก็แปลว่าต้องมีทางออกแน่นอน แต่ทางเข้ากับทางออกอาจจะไม่เหมือนกัน” เซวียนหยวนเฉิงก็พูดอย่างเคร่งขรึมเช่นกัน
“พวกเราลงไปพร้อมกันดีกว่า หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน จะได้ช่วยเหลือกันได้” อันหลินสั่งให้ก้อนอิฐขยายตัวแล้วพูดกับทุกคน
อยู่กันเป็นกลุ่มจะรับมือกับอันตรายที่ไม่รู้ได้ง่ายดายกว่า เพราะเบื้องล่างอาจมีอันตรายที่ทำให้จักรพรรดิสงครามตายได้ ระมัดระวังไว้ก็ไม่เสียหลาย
ทุกคนสบตากัน พยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว กระโดดขึ้นอิฐดำของอันหลิน ค่อยๆ หายลับไปในกองหิมะขาวโพลนอย่างเชื่องช้า
ทัศนียภาพแปรเปลี่ยน หิมะขาวโพลนกลายเป็นดินแดนเขียวขจีที่แมกไม้อุดมสมบูรณ์
ผืนป่า ดอกไม้ ทุ่งหญ้า แหล่งน้ำ…
พลังชีวิตอันเข้มข้นถาโถมเข้ามา ครั้นทุกคนตื่นจากภวังค์ พวกเขาก็ย่ำทุ่งหญ้าแล้ว ข้างๆ เป็นอุโมงค์เคลื่อนย้ายที่เหมือนปุยนุ่น
อันหลินเก็บก้อนอิฐสีดำ กวาดตามองรอบข้างด้วยความตะลึง
“นี่มันสวรรค์บนดินชัดๆ…” เถียนหลิงหลิงเบิกตากว้าง อุทานขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้เก่าแก่ที่สูงตระหง่าน หรือดอกท้อริมธารน้ำ ล้วนเปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา ให้ความรู้สึกงดงามตระการตา
สายลมพัดโชยมาเคล้าด้วยกลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ กลีบดอกไม้สีเรื่อลอยล่องตามแรงลม ทุกครั้งที่สูดอากาศข้างในนี้ ร่างกายจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นหลายเท่า
“จะว่าไปผู้อาวุโสจื่อหยางหายไปไหนแล้ว”
อันหลิงเห็นความสุขสงบ ท่าทางจะไม่มีอันตราย แล้วจื่อหยางล่ะ คงไม่ได้ถูกหนูกินไปหรอกนะ
ทุกคนก็กวาดตามองรอบกายด้วยความฉงนเช่นกัน จากนั้นสายตาก็จับจ้องไปที่ข้างต้นไม้สูงเสียดฟ้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
มีคนนอนแผ่หลาน้ำลายฟูมปากอยู่ตรงนั้น ในมือมีผลไม้ที่กินไปแล้วเกือบครึ่งอยู่
อันหลินเงยหน้ามองต้นไม้ต้นนั้น บนยอดไม้ยังมีอีกแปดลูกกำลังเปล่งแสงสีแดงระเรื่อ
เขาเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเดินเข้าไปหยุดลงตรงหน้าจื่อหยางอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ตบใบหน้าที่เหงาหงอยและเลื่อนลอยของจื่อหยางเบาๆ พูดยิ้มๆ ว่า “พูดกันว่ามนุษย์ตายเพราะทรัพย์ นกตายเพราะอาหาร ต่อให้เจ้าอยากลักลอบยึดครองผลไม้เหล่านี้ ก็มุทะลุเช่นนี้ไม่ได้ อย่างน้อยต้องตรวจสอบก่อนว่ามันมีพิษหรือไม่”
จักรพรรดิจื่อหยาง “…”
เสี่ยวชิงกลายร่างเป็นมนุษย์ ย่ำเท้าแผ่วเบา ตัวก็ไปอยู่บนยอดไม้ในพริบตา เด็ดผลเซียนลูกหนึ่งมาแล้วสัมผัสคลื่นภายในอย่างถี่ถ้วน
“เหอะ…นี่มันผลเซียนขั้นสามที่มีพลังเพลิงและพลังปราณหนาแน่นยิ่งนัก พลังเพลิงมหาศาลเป็นจุดที่ดึงดูดใจจื่อหยาง แต่พลังปราณที่หนาแน่นยิ่งยวดนี่…เป็นพิษสำหรับเขานะ!” ปี้ฉงพูดไปพูดมาก็รู้สึกว่าน่าขำ ดวงตาหงส์คู่งามมองชายบนพื้นแล้วพูดต่อว่า “ใจร้อนกินเต้าหู้ร้อนไม่ได้ ตอนนี้รู้แล้วสินะว่า พลังปราณกับปราณสงครามในกายเจ้าตีกันรสชาติเป็นอย่างไร”
ร่างของจักรพรรดิจื่อหยางยังกระตุกอยู่ พลังงานภายในเดือดพล่านยิ่งแล้ว จ้องจักรพรรดินีปี้ฉงด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความวิงวอน
จักรพรรดินีปี้ฉงหันมองพญางูขาว พญางูขาวหันมองอันหลิน
อันหลินนวดหว่างคิ้ว “เอาเถอะ ช่วยเขาแล้วกัน อย่างมากก็ให้เขาให้คำสัตย์อีกสักครั้ง”
พญางูขาวยิ้มให้ปี้ฉง “เสี่ยวชิง เรื่องปรับปราณสงครามยกให้เจ้าละนะ”
จักรพรรดินีปี้ฉง “…”
นางส่ายหน้าอย่างระอาใจ วางมือแนบแผ่นหลังของจักรพรรดิสงคราม แสงสีเขียวเริ่มแผ่ซ่าน
สิบนาทีต่อมา แสงสว่างเลือนไป
ปี้ฉงกลายร่างเป็นงูมรกตคล้องแขนพญางูขาวอีกครั้ง
อันหลินรู้สึกอิจฉาพญางูขาว สัตว์เลี้ยงที่อ่อนโยน ใส่ใจ งดงามและยิ่งใหญ่เช่นนี้ต่างหากที่เขาต้องการอย่างเร่งด่วน!
เขาอดนึกถึงเสี่ยวหงไม่ได้ เจ้านั่นเอาแต่สังเคราะห์แสงทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ก็ร้องเพลงก่อกวนเจ้านายแต่เช้าตรู่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่ก็พูดจาเหน็บแนมเจ้านาย…
เฮ้อ แข่งสัตว์เลี้ยงกัน น่าโมโห!
จักรพรรดิจื่อหยางลุกขึ้นมา แม้สีหน้ายังซีดเผือด แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นไรแล้ว
เขามองลูกทีมอย่างลำบากใจ หยุดคิดครู่หนึ่งแล้วยื่นผลเซียนที่เหลือครึ่งผลให้ทุกคน “ขอโทษนะ เรื่องนี้ข้าผิดเอง ผลเซียนอีกครึ่งหนึ่ง ข้าขอส่งมอบ!”
เหล่าลูกทีม “…”
แอ๊บแบ๊วหรือยังไง!
มุมปากของอันหลินกระตุก “เจ้าสาบานต่อสวรรค์อีกครั้งเดี๋ยวนี้!”
จักรพรรดิจื่อหยางจึงให้คำสัตย์สาบานต่อสวรรค์อีกครั้งว่า หากพบของมีค่า จำต้องมอบให้พวกอันหลิน
ผลเซียนครึ่งลูกนั้นก็ถูกจื่อหยางกินไปแล้ว ไม่มีใครอยากกินน้ำลายของเขา!
พวกอันหลินเด็ดผลเซียนทั้งแปดลูกแล้ววางลงบนพื้น
ผลรวมหยาง ผลเซียนขั้นสาม มีสรรพคุณบำรุงกำลัง เพิ่มพลังเพลิง
จะแบ่งกันอย่างไร ปี้ฉงกับจื่อหยางไม่เอา แต่พวกเขามีกันสิบคนนี่นา
ในตอนนั้นเอง ถังซีเหมินก็ขันอาสา หยิบวงล้อที่มีช่องว่างสิบช่องขึ้นมา ระบุสัญลักษณ์บ่งบอกตัวตนของสมาชิก จากนั้นก็หมุนแปดรอบ!
“ขอให้ทุกคนไม่ต้องกังขา วงล้อของข้ายุติธรรมอย่างยิ่ง!”
ดูท่าทางทุกคนไม่เชื่อ ถังซีเหมินจึงย้ำอีกครั้งระหว่างที่หมุนวงล้อ
ผลลัพธ์ออกมาแล้ว เที่ยงธรรมมากจริงๆ เพราะถังซีเหมินตกรอบไปแล้ว…
ให้ตายสิ! เราดวงซวยขนาดนี้เลยหรือ!
ถังซีเหมินมองผลลัพธ์บนวงล้อน้ำตาไหลพราก พูดอะไรไม่ออก
อีกคนที่ตกรอบคือเซวียนหยวนเฉิง แต่เขานิ่งเฉยอย่างยิ่ง ท่าทางราวกับบอกว่า หากได้ถือเป็นความโชคดีของข้า ไม่ได้ถือเป็นโชคชะตาของข้า
อันหลินหยิบผลเซียนขึ้นมาแล้วกินทันที
สัมผัสพลังปราณและพลังเพลิงที่หนาแน่นยิ่งขึ้นในร่างกาย เขาหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
“ผู้อาวุโสจื่อหยาง เห็นหรือไม่ นี่ต่างหากท่ากินผลเซียนที่ถูกต้อง”
ไม่ลืมซ้ำเติมหลังกินผลเซียน ทำให้จื่อหยางแน่นหน้าอก เกือบจะกระอักเลือดแล้ว
หลังแบ่งผลเซียนเสร็จ ทุกคนก็เริ่มเดินท่องดินแดนแห่งนี้
ไม่นานก็พบกับถ้ำแห่งหนึ่ง
มีป้ายแขวนเด่นหราเหนือศีรษะ ตัวอักษรก็ชัดเจนเป็นธรรมชาติ
ป้ายสลักว่า ‘สุสานเซียนสวรรค์โส่วหยาง’