ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 370 ที่แท้การทดสอบเกิดจากแรงงานมนุษย์
คริสตัลสีน้ำเงินแตกแล้วทำอย่างไรดี เขาจะถ่ายเทพลังปราณอย่างไร จะผ่านการทดสอบไปได้อย่างไร
อันหลินงงเป็นไก่ตาแตกชั่วขณะที่คริสตัลแตกสลาย เขาไม่คิดเลยว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
ย้อนคิดถึงภาพก่อนหน้านี้ คล้ายว่าจะเป็นเพราะลำแสงจากกระบี่ของเขาโจมตีคริสตัล จากนั้นคริสตัลถึงได้แตก… อันหลินน้ำตาไหลพราก ร้องไห้กับความโง่เง่าของตัวเอง
เมื่อเขาเห็นพลังความเย็นที่แผ่ออกมาหลังคริสตัลระเบิด ไม่พูดพร่ำทำเพลง ถอยหลังอย่างบ้าคลั่งทันที
แต่ความเร็วของเขาจะเทียบความเร็วในการกระจายตัวของความเย็นได้อย่างไร เพียงชั่วพริบตา ทุกอย่างในห้องลับก็ถูกแช่แข็งจนอยู่ในสภาพหยุดนิ่ง!
ร่างของอันหลินก็หยุดอยู่กับที่ เลือดเริ่มแข็งตัว ถึงขั้นว่าทุกเซลล์ในร่างกายแข็งตัว พลังปราณอนธการก็ถูกแช่แข็งจนหดตัว
เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นเยือกจับขั้วหัวใจ ราวกับจิตสำนึกก็พลอยแหลกสลายไปด้วย
ชั่วขณะที่สติยังหลงเหลือ ท่ามกลางไอหมอกสีน้ำเงินที่เกิดจากคริสตัลระเบิด อันหลินเห็นร่างหนึ่งกำลังเดินมาหาเขาอย่างเนิบช้า
นั่นเป็นหญิงสาวชุดขาวรูปงาม มีรูปร่างอรชรสูงระหง ผิวขาวราวหิมะ ยามเยื้องย่างมีลักษณะที่เย่อหยิ่งเย็นชา
นางมองอันหลินที่ถูกแช่แข็ง กลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์
ในใจของอันหลินปั่นป่วนเหมือนคลื่นซัดสาด ‘พับผ่าสิ ทำไมเป็นนาง!’
หญิงคนนั้นคือไป๋หลิง นางปรากฏกายกลางม่านหมอกสีน้ำเงินหลังคริสตัลระเบิด มันช่างกะทันหัน และเหนือความคาดหมายเหลือเกิน
ขณะที่อันหลินถูกแช่แข็งจนใกล้หมดสติแล้ว ความเย็นภายในห้องเริ่มหดตัวกลับไปหาไป๋หลิง มิติรอบข้างที่หยุดนิ่งก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ร่างของอันหลินเบาหวิว ล้มหงายตึงประหนึ่งศพ
ตุบ
เสียงวัตถุของแข็งกระทบกันดังขึ้น ร่างของเขาล้มกระแทกพื้น แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย
ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาถูกแช่แข็งจนแข็งไปทั้งตัว ยังไม่ดีขึ้น สูญเสียแม้กระทั่งความรู้สึกเจ็บปวดอย่างสิ้นเชิง
อีกด้านหนึ่ง ต้าไป๋ก็ล้มตัวลงบนพื้น ประหนึ่งรูปปั้นก็ไม่ปาน
ไป๋หลิงเยื้องย่างเข้ามาหาอันหลิน ย่อตัวนั่งลง ใช้นิ้วชี้ที่เรียวและขาวผ่องจิ้มใบหน้าที่แข็งเป๊กของอันหลิน เบะปากพูดว่า “เจ้าว่าเจ้าประสาทใช่ไหม”
อันหลิน “…”
ไป๋หลิงถลึงตามองอันหลิน “ทดสอบดีๆ ก็สิ้นเรื่อง ไยต้องใช้กระบี่ฟันคริสตัล ไม่รู้หรือว่าข้าร่ายมนต์ในคริสตัลน่ะเหนื่อยมากแค่ไหน เจ้าฟันลงไปแบบนั้น ไม่ได้ทำให้คริสตัลแตกอย่างเดียว แม้แต่ข้าที่อยู่ข้างในก็เกือบโดนฟันไปด้วย เจ้าทำลายทรัพย์สินส่วนรวม และเป็นภัยต่อความปลอดภัยของร่างจำแลงสมองหลัก โทษทัณฑ์ถึงตาย เข้าใจไหม”
ปากของอันหลินกระตุกยิกๆ ให้ตายสิ! ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเธอร่ายมนต์อยู่ในคริสตัลนะพี่สาว!
ริมฝีปากของเขาขยับ ภายใต้การฟื้นฟูซ่อมแซมอัตโนมัติของพฤกษธาตุอมตะ ในที่สุดความสามารถในการพูดก็กลับมา “จะว่าไปนี่มันสนามทดสอบของโบราณสถานจื่อซิงไม่ใช่หรือ นี่เป็นการทดสอบเหมันต์นี่นา ร่างจำแลงอย่างเจ้าเข้าไปเป็นด่านทดสอบในคริสตัลมันเรื่องอะไรกัน”
“ฮ่าๆ ๆ แรงงานมนุษย์อย่างไรเล่า เข้าใจหรือไม่ ไม่ทำเช่นนี้จะเพิ่มความยากให้เจ้าได้อย่างไร” ไป๋หลิงมองชายบนพื้นอย่างดูแคลน
แรงงานมนุษย์ เพิ่มความยากงั้นเหรอ
อันหลินได้ฟังก็แทบกระอักเลือด มองไป๋หลิงตาเขียว “เจ้ายังจะเพิ่มความยากให้ข้าอีกหรือ! ถึงว่าละ…ข้าใช้ไพ่ตายจนหมดแล้ว ก็ยังเข้าใกล้คริสตัลสีน้ำเงินได้ยากอยู่ดี โลกใบนี้จะมีด่านทดสอบระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณที่วิปริตขนาดนี้ได้อย่างไร ที่แท้ทุกอย่างก็เป็นฝีมือเจ้านี่เอง!”
ไป๋หลิงแสยะยิ้ม “ทำไม เจ้าไม่พอใจหรือไง ในโบราณสถานแห่งนี้ข้าเป็นใหญ่ ไม่มีจิตวิญญาณที่สู้ไม่ถอย จะคู่ควรกับมรดกอันล้ำค่าของโบราณสถานจื่อซิงได้อย่างไร”
มุมปากของอันหลินกระตุก ความไม่มีขีดจำกัดของไป๋หลิง เขาได้สัมผัสตั้งแต่ครั้งที่เขากับลูกทีมถูกบังคับแล้ว ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้จะมีแรงงานมนุษย์ที่เพิ่มระดับความยากของการทดสอบด้วย!
ยังมีเหตุผลอยู่ไหม ยังมีมนุษยธรรมบ้างหรือเปล่า!
“งั้นการทดสอบนี้ ตกลงข้าผ่านหรือไม่” อันหลินเอ่ยถามอย่างไร้เรี่ยวแรง
เขาตั้งปณิธานในใจแล้วว่า สักวันหากการบำเพ็ญเพียรประสบผลสำเร็จ จะจัดการไป๋หลิงให้สาแก่ใจแน่ๆ
เหมือนไป๋หลิงจะกำลังลังเล ใคร่ครวญครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยว่า “แม้ระหว่างการทดสอบ วิธีแก้ไขปัญหาของเจ้าจะดีไม่พอ แต่เห็นแก่มิตรภาพในวันวานของเรา ข้าจะยอมให้เจ้าใช้เส้นสาย การทดสอบนี้ถือว่าเจ้าผ่าน!”
เห็นแก่มิตรภาพในวันวานกับผีอะไร ถ้าเห็นแก่มิตรภาพในวันวานจะแอบเพิ่มความยากให้ฉันเหรอ
อันหลินโมโหมาก แต่ใบหน้ากลับแค่นยิ้มออกมา กล่าวขอบคุณว่า “ขอบคุณพี่ไป๋ที่เมตตา ข้าจะพยายามต่อไปแน่นอน!”
“อืม…เด็กดี มีการทดสอบด่านสุดท้าย ถ้าผ่านจะได้รับข้อมูลทั้งหมดของโบราณสถานจื่อซิงนะ…” ไป๋หลิงลูบหัวอันหลิน ให้กำลังใจอย่างอ่อนโยน
อันหลินถูกลูบหัวเช่นนี้ครั้งแรก ขนลุกชูชันไปทั้งตัว
แต่ความสนใจของเขา ก็ยังถูก ‘ด่านสุดท้าย’ ที่ไป๋หลิงว่าดึงดูดอยู่ดี
“ด่านสุดท้ายเป็นอย่างไร พี่ไป๋เผยเบาะแสสักหน่อยสิ” อันหลินพูดอย่างสนิทสนม ไม่ลืมถูไถศีรษะกับฝ่ามือขาวเนียนและอ่อนนุ่มของไป๋หลิง
“บอกไม่ได้หรอกนะ แต่ข้าบอกเจ้าได้ว่า ด่านสุดท้ายข้าจะไม่ใช่แรงงานมนุษย์ จะไม่มอบรางวัลที่เจ้าชอบให้แล้ว เป็นการทดสอบระบบนิเวศดั้งเดิม” ไป๋หลิงยิ้มแย้ม
รางวัลที่รักบ้าบออะไร! ก็แค่การเพิ่มระดับความยากไม่ใช่หรือไง ทำไมต้องพูดให้น่าฟังแบบนี้ด้วย!
ขณะที่อันหลินกำลังผรุสวาทในใจอยู่นั้น ไป๋หลิงก็ลุกขึ้น สีหน้าเปลี่ยนจากอ่อนโยนเป็นเฉยชาอีกครั้ง พูดว่า “ยินดีด้วย ผ่านการทดสอบเหมันต์แล้ว ตอนนี้ไปทำการทดสอบต่อไปได้แล้ว”
พูดจบร่างของนางก็กลายเป็นแสงเลือนหายไปอีกครั้ง
อันหลินนอนสงบสติอารมณ์บนพื้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นมาอย่างสั่นเทา
อาการบาดเจ็บที่เกิดจากความเย็นยังฟื้นฟูไม่หมด ความไร้เรี่ยวแรงที่เกิดจากพลังปราณอนธการยิ่งไม่ได้รับการฟื้นฟูใหญ่เลย
เขาหันหลังมองข้างหลัง ต้าไป๋หมอบกับพื้นเหมือนหมาตาย ลิ้นแลบออกมา เห็นได้ชัดว่าอาการหนักไม่เบาเลย
“ต้าไป๋ เจ้าไหวไหม” อันหลินมองต้าไป๋อย่างเห็นใจ
“ข้าเพิ่งรู้ตอนนี้ว่า ชั้นไขมันหนากับขนยาวๆ นี่ ไม่อาจต้านความเหน็บหนาวได้ โฮ่ง!” ดวงตาของต้าไป๋หรี่ลง ทำหน้าเศร้าซึม
หนึ่งคนหนึ่งสุนัขบาดเจ็บสาหัสอีกครั้งจากการทดสอบนี้ เข้าสู่เส้นทางการปรับลมหายใจรักษาบาดแผล
หนึ่งวันต่อมา บาดแผลภายในของอันหลินกับต้าไป๋ถึงดีขึ้น
ผ่านไปอีกสองวัน อันหลินถึงกำจัดผลข้างเคียงจากการใช้พลังปราณอนธการได้
“เหลือเวลาไม่มากแล้ว เราไปเริ่มด่านสุดท้ายกันเถอะ!”
อันหลินปรับตัวเองให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ลุกขึ้นอย่างกระปรี้กระเปร่า
“ได้เลย เราไปช่วยองค์หญิงโฉมงามที่ถูกจองจำในโบราณสถานกันเถอะ โฮ่ง!” ต้าไป๋ก็ฮึกเหิมเช่นกัน
ประตูเหล็กแง้มออกช้าๆ เส้นทางสีแดงปรากฏขึ้นตรงหน้า
อันหลินก้าวเข้าไป เริ่มการทดสอบสุดท้ายของเขา