ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 374 ไปกับข้าเถอะ
ระบบที่ไร้การเคลื่อนไหวเนิ่นนานสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง
อันหลินเปิดระบบภายในห้วงจิต เห็นแถบ ‘ภารกิจพิเศษ’ กำลังส่องแสงกะพริบ
‘ภารกิจพิเศษ ตรวจสอบพบว่าโฮสต์รับข้อมูลของสถาบันวิจัยที่แปดสิบแปดแห่งจื่อซิงมาหมดสิ้นแล้ว จึงมอบหมายภารกิจดังนี้ โน้มน้าวไป๋หลิง ร่างจำแลงศูนย์กลางแห่งสถาบันวิจัยให้ไปจากทะเลสาบเมฆขาว กลับคืนแผ่นดินอีกครั้ง’
‘ภารกิจสำเร็จ ได้รับโอกาสสุ่มจับวรยุทธ์พิเศษหนึ่งครั้ง’
‘ภารกิจล้มเหลว เสื่อมสมรรถภาพทางเพศสามปี’
‘ระยะเวลาของภารกิจ สามชั่วยาม’
‘ป.ล. ปฏิเสธภารกิจนี้ไม่ได้’
มุมปากของอันหลินกระตุกยิกๆ ก้มมองหว่างขาอย่างกลัดกลุ้ม
เสื่อมสมรรถภาพสามปีเหรอ ดูเหมือนบทลงโทษนี้จะไม่มีปัญหาใหญ่อะไร
เขาจะเอาท่อนเหล็กไปทำไม อย่างไรเสียก็เสียเวลามายี่สิบปีแล้ว เสียเวลาอีกสามปีจะเป็นอะไรไป
เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็โล่งใจ ผ่อนคลายขึ้นเยอะโขเลย…
อันหลินกะพริบตาปริบๆ ดูแล้วคิดแบบนี้ก็เหมือนจะไม่มีตรงไหนผิด
พับผ่าสิ! นี่มันเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเลยนะ! อ่อนได้แข็งได้ หดได้ยึดได้ต่างหากชายที่แท้จริง หากความสูญเสียแม้แต่ความสามารถนี้ เขาก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ชายแล้ว!
เมื่อคิดเช่นนี้ อันหลินก็พลันรู้สึกว่าบทลงโทษของภารกิจนี้มันเลวร้ายอย่างมหันต์
ภารกิจนี้จะล้มเหลวไม่ได้เด็ดขาด!
“ได้รับการสืบทอดหมดแล้วใช่ไหม งั้นก็รีบไปเถอะ ข้าจะพักผ่อนแล้ว”
ไป่หลิงนวดหว่างคิ้วอย่างเหนื่อยล้า ออกปากไล่แขกแล้ว
“เดี๋ยว พลังผลิตอาหารสุนัขของข้ามันอะไรกัน ดูถูกหมาหรือ โฮ่ง!” ต้าไป๋ชิงต่อต้านอย่างโกรธเคืองก่อน
“เมื่อเจ้าทำอาหารสุนัขออกมาแล้ว ก็จะรู้ว่าอาหารนั่นอร่อยมากปานใด” ไป๋หลิงมองต้าไป๋ ไม่โมโหกับคำถามของต้าไป๋ มีเพียงรอยยิ้มละมุน
“เดี๋ยวก่อน!” อันหลินก็ยกมือขึ้นตะโกนรั้งเช่นกัน “พี่ไป๋ ข้าว่าเราคุยกันได้!”
ตอนนี้เขาไร้เรี่ยวแรง ทำได้แค่นอนคว่ำบนหลังต้าไป๋อย่างอ่อนปวกเปียก แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ดวงตาที่จดจ้องไป๋หลินของเขากลับสุกสกาวเจือความเร่าร้อน
ไป๋หลิงเห็นท่าทางของอันหลินก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สหายอันหลิน พวกเรายังมีอะไรต้องคุยกันอีก ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับดาวม่วงก็อยู่ในหัวเจ้าหมดแล้ว ที่เหลือข้าเปิดเผยไม่ได้”
“นี่ ไม่ใช่เรื่องพรรค์นั้น ข้าแค่อยากพูดคุยมุมมองชีวิตกับเจ้า คุยเรื่องอุดมคติหน่อย” อันหลินพูดประจบ
ไป๋หลิง “…”
ต้าไป๋เหลียวมองอันหลินด้วยสีหน้า ‘ข้ามองเจ้าผิดไป’
“มีอะไรก็รีบว่ามา ขอเสริมสักประโยค ข้าไม่ชอบรักต่างวัย” ไป๋หลิงกล่าว
อันหลินแน่นหน้าอก รักต่างวัยงั้นเหรอ สมองของผู้หญิงคนนี้คิดไปถึงไหนแล้ว แค่คุยสัพเพเหระเฉยๆ ก็คิดว่าเราคิดอะไรกับนางแล้วเหรอเนี่ย
อีกอย่างความรักต่างวัยที่อายุห่างกันเป็นหมื่น อันหลินก็ไม่สนใจไหมเล่า!
“อะแฮ่ม ข้าอยากบอกว่าไหนๆ ข้อมูลของจื่อซิงก็ถูกข้าสืบทอดหมดแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ตลอดเวลาหรอกกระมัง” อันหลินลองถามหยั่งเชิง
“ข้อมูลไม่ใช่ทั้งหมดของการสืบทอดเสียหน่อย ยังมีการสืบทอดจำพวกสายเลือด วรยุทธ์และความรู้อะไรเทือกนั้นอีก” ไป๋หลินหยีตา ก้มตัว ยื่นใบหน้าที่งามสะคราญไปตรงหน้าอันหลินที่นอนหมอบอยู่ เพ่งพิศพลางเอ่ยว่า “เจ้าอยากให้ข้าไปจากที่นี่หรือ”
อันหลินเห็นดวงหน้างดงามที่อยู่ในระยะประชิดของไป๋หลิง ภายใต้การสะท้อนของแสงสีขาวในมิติ ผิวที่เนียนละเอียดเกลี้ยงเกลาส่องแสงดึงดูดใจประหนึ่งกระเบื้องขาว
“อืม ใช่แล้ว ข้าอยากให้เจ้าไปจากที่นี่” ข้อนี้อันหลินไม่คิดจะปิดบัง พูดต่อว่า “โลกกว้างใหญ่ปานนี้ เจ้าไม่อยากไปดูหน่อยหรือ”
“โอ้ ข้าท่องทั่วทั้งโลกตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อนแล้ว ตอนนี้ไม่สนใจ” ไป๋หลิงทอดถอนใจ ระยะประชิดเช่นนี้ ขนตาของนางสั่นระริก นัยน์ตาแวววับ ทำเอาอันหลินรู้สึกเก้อเขินอย่างยิ่ง
“แต่บัดนี้โลกใบนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงแล้ว มันงดงามขึ้นทุกวัน สดใสขึ้นเรื่อยๆ มีบุคคลเหนือชั้นที่มากความสามารถมากมาย มีของกินท้องถิ่นแปลกใหม่เป็นเอกลักษณ์ก่ายกอง มีบทเพลงที่งดงามไพเราะเหลือล้น…” อันหลินพูดโน้มน้าวต่อ
“แต่แม้จะผ่านไปนับหมื่นปีแล้ว มีที่แห่งหนึ่ง มันจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปเลย…” แววตาของไป๋หลิงหม่นหมอง ไม่เพียงไม่สั่นคลอนกับคำพูดของอันหลินเท่านั้น แต่ยังไร้อารมณ์อีกด้วย
อันหลินลอบสบถในใจว่าแย่แล้ว รู้ว่าไป๋หลิงหวนคิดถึงบ้านเก่าในวันวาน
อารยธรรมจื่อซิงกับอารยธรรมจิ่วโจวไม่เหมือนกัน
ชาวจื่อซิงกับชาวจิ่วโจวหากว่ากันตามตรงแล้ว ก็ถือเป็นสองเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน ไป๋หลิงเป็นชาวจื่อซิง เป็นบุคคลที่ชนเผ่าดับสิ้น อยู่เดียวดายมานานนับหมื่นปีแล้ว
นางยึดความเชื่ออะไร ถึงสามารถใช้ชีวิตเพียงลำพังในห้องทดลองเป็นเวลาเนิ่นนานเช่นนี้ได้ นางยืนหยัดอยู่ที่นี่ ต้องการเห็นภาพแบบไหนกันแน่
“พี่ไป๋ เจ้ามีความฝันอะไร หรือมีเป้าหมายอะไรไหม” อันหลินคิดว่าหากรู้ว่าไป๋หลิงมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ต้องเกลี้ยกล่อมนางไปจากที่นี่ได้สำเร็จแน่นอน
“คุณูปการของจื่อซิงกระจายอยู่ทั่วแผ่นดินนี้” ไป๋หลิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เพื่อไม่ให้พวกเขาลืมเลือนจื่อซิง…”
“งั้นเจ้ารู้ไหมว่า แดนจิ่วโจวมีแคว้นจื่อซิงอยู่ เพราะได้รับมรดกอารยธรรมของพวกเจ้ามา ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะโขเลย” อันหลินเอ่ยอย่างเนิบช้า
ในที่สุดนัยน์ตาที่หม่นหมองของไป๋หลิงก็เปล่งประกายวาบ “แคว้นจื่อซิงหรือ เมื่อก่อนเคยได้ยินผู้ทดสอบคนหนึ่งกล่าวถึง ตอนนี้กลายเป็นแบบไหนแล้ว”
“ไม่บอกเจ้าหรอก หากเจ้าอยากรู้ เจ้าต้องไปดูด้วยตัวเอง!” อันหลินตอบอย่างจริงจัง
ไป๋หลิง “…”
“อีกาทอง กระจกสมาน เทพแห่งความมืด ปีศาจเงา พลังชีวิต วิศวกรรมเครื่องกล อาหารเทวะ จันทรามาร หมื่นอันติมะ นี่เป็นสิบการสืบทอดของสถาบันวิจัยสินะ” อันหลินย่อยและจัดเรียงข้อมูลภายในสมองครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ไม่คิดว่าข้ากับกลุ่มสัตว์เลี้ยงของข้าจะครองไปแล้วแปด อีกสองอย่างถูกผู้ทดสอบชิงไปเมื่อนานมาแล้ว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การสืบทอดหลักและข้อมูลหลักก็มีผู้สืบทอดแล้ว บ่วงของสถาบันวิจัยที่พันธนาการเจ้าคงจะหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว การสืบทอดทั่วไปที่เหลืออยู่ เจ้าสามารถทดสอบผู้คนสัญจรระหว่างการทัศนาจรได้ ถูกใจคนไหนก็จัดการคนนั้น ไม่จำเป็นต้องเอาแต่รออยู่ที่นี่…”
“เปลี่ยนจากฝ่ายรอเป็นฝ่ายจู่โจม ประสิทธิภาพจะสูงกว่าเยอะแน่นอน!”
“ไหนจะได้ชื่นชมทัศนียภาพตามรายทางได้เป็นครั้งคราว ย่อมดีกว่าติดแหง็กอยู่ในสถานที่ไร้ชีวิตชีวาแบบนี้กระมัง”
“ข้อมูลในสมองข้ายังกล่าวถึงอีกว่า สถาบันวิจัยแห่งนี้เป็นปราสาทเคลื่อนที่ได้ รายละเอียดเป็นอย่างไรข้าไม่รู้ แต่นั่นหมายความว่าสถาบันวิจัยเคลื่อนย้ายตามเจ้าได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องสนามทดสอบแล้ว…”
…
อันหลินชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด ไป๋หลิงฟังด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
“รู้สึกว่าข้าจะไปท่องโลกหรือไม่ไป ท่าทางเจ้าจะตื่นเต้นกว่าข้าเสียอีก ทำไมถึงใส่ใจข้าปานนี้” ไป๋หลิงโพล่งถามขึ้นมา
“เพราะเราเป็นเพื่อนกันอย่างไรเล่า!” อันหลินตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เพื่อนหรือ” ไป๋หลิงขำ ประหนึ่งบงกชสีขาวที่ผลิบานไร้สำเนียง บริสุทธิ์ไร้ราคี งดงามเลิศล้ำ
นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าพูดว่า “อืม ความจริงที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน ข้าอยากไปชมแคว้นจื่อซิงสักหน่อย พวกเจ้าไปก่อน ให้เวลาข้าได้ใคร่ครวญสักหน่อย”
“ไม่เอาสิ การเดินทางต้องพูดปุ๊บไปปุ๊บจึงจะสนุก!” อันหลินพูดเสียงร้อนรน
พูดเป็นเล่น ระยะเวลาของภารกิจอยู่ที่สามชั่วยาม ขืนไป๋หลิงใคร่ครวญอีก อันหลินต้องเสื่อมสมรรถภาพไปถึงสามปีเลยนะ!
“พูดปุ๊บไปปั๊บเลยหรือ” ไป๋หลิงหวั่นไหว
“ใช่ พูดปุ๊บไปปั๊บ!” อันหลินจับมือที่นุ่มนิ่มของไป๋หลิง พร้อมกับพยักหน้ารัวๆ
ต้าไป๋คิดว่าพลังผลิตอาหารเทวะมันช่างสูญเปล่าจริงๆ ทั้งๆ ตอนนี้กินอาหารหมา[1]จนแน่นท้องจะแย่แล้ว สืบทอดพลังจะมีความหมายอะไร
ช่วยองค์หญิงที่ถูกจองจำในความมืด คำพูดก่อนหน้านี้ของอันหลินทำให้ต้าไป๋ตื่นเต้นอยู่นานนม
บัดนี้ นับว่าต้าไป๋ซาบซึ้งแล้วว่า พี่อันไม่ได้หลอกลวง
เพียงแต่องค์หญิงคนนั้น เป็นไป๋หลิงไปเสียได้
อันหลินเองก็ไม่คิดเช่นกันว่า ถ้อยคำที่โป้ปดต้าไป๋ให้มาด้วยกันในตอนแรก จะกลายเป็นความจริงไปเสีย…
[1] กินอาหารหมา หมายถึง เห็นคนรักพลอดรักกัน