ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 377 ร้องไห้เสีย
อันหลินเห็นม่านหมอกบนช่องที่เข็มทิศชี้ไปค่อยๆ คลี่คลาย เผยให้เห็นชื่อของวรยุทธ์
เขาอ้าปากกว้างมองวรยุทธ์ด้านบนนั้น ด้วยใบหน้าอึ้งงัน
ฟิ้ว
วรยุทธ์ของระบบกลายเป็นลำแสงเส้นหนึ่ง แทรกซึมในกายของอันหลิน
‘คาถาร้องไห้เสีย เป็นวรยุทธ์โจมตีอารมณ์ฝ่ายเดียว ผู้ที่ถูกโจมตีจะจมดิ่งอยู่ในความเศร้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ผู้ถูกโจมตีที่มีพลังยุทธ์แก่กล้าเกินไปจะมีพลังต่อต้านในระดับหนึ่ง’
‘ป.ล. ใช้ได้แค่วันละครั้ง ไม่ได้ผลกับเป้าหมายระดับรวมมรรคา’
“นี่มัน…” อันหลินตะลึงงัน ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
ในโลกใบนี้มีวิชายุทธ์ที่ชื่อประหลาดแบบนี้ด้วยเหรอ
การทำให้คนอื่นร้องไห้มันง่ายไม่ใช่เหรอ จัดการจนร้องไห้ก็สิ้นเรื่องแล้วนี่นา!
“พี่อันเป็นอะไรไป โฮ่ง!” ต้าไป๋เห็นท่าทางอันหลินไม่ปกติ จึงเอ่ยปากถาม
อันหลินมองสุนัขสีขาวตัวเขื่องข้างกายแวบหนึ่ง รอยยิ้มพิลึกปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ต้าไป๋สั่นสะท้านไปทั้งตัว ถอยหลังสองก้าว “พี่อัน มองอะไรน่ะ”
“ต้าไป๋ เจ้าไม่ร้องไห้มานานแค่ไหนแล้ว” อันหลินถามอย่างสนเท่ห์
“สุนัขเทวะอย่างข้าย่อมไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ ตั้งแต่เกิดมาจากท้องแม่ ไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง!” ต้าไป๋เชิดหน้าขึ้นแล้วยิ้มอย่างทะนงตน สง่างามขึ้นมาทันที
จากนั้นไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ มันก็นึกถึงภาพที่พ่อถูกแม่กระหน่ำทุบตีเพราะไปท่องซ่องคณิกา หวนคิดถึงคำพูดยามลาจากชิงหัว นึกถึงความสิ้นหวังที่ได้รับพลังการสืบทอดอาหารสุนัข นึกถึงความเศร้าที่ใบไม้หลุดร่วงลงจากต้นไม้ฝังกายในพสุธา…
อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดปนเปกันปะทุทันใด น้ำตาไหลไม่ขาดสายปานเขื่อนทะลัก
ต้าไป๋เห่าโฮ่งก่อนจะร้องไห้โหยหวน
แววตาอันหลินเป็นประกาย รู้สึกเหมือนค้นพบแผ่นดินใหม่
ขั้นตอนการใช้วิชาร้องไห้เสียเป็นอะไรที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย ไม่มีแม้แต่คลื่นพลังปราณด้วยซ้ำ ก็เกิดผลกับอารมณ์ของต้าไป๋ทันที
มิหนำซ้ำระยะเวลาตั้งแต่ใช้งานจนถึงเกิดผลมันสั้นมาก แทบจะเป็นชั่วพริบตา!
วิเศษจริงๆ!
“พี่อัน ฮือๆ ๆ…เจ้าทำอะไรกับข้า ฮือๆ ๆ…”
ต้าไป๋เช็ดน้ำตาพลางจ้องอันหลินด้วยดวงตาที่มีหยาดน้ำคลอหน่วย ไหนเลยจะมีท่าทีที่น่ายำเกรงเหลืออยู่
“อืม ก็แค่พรากครั้งแรกของเจ้าไป ถึงกับต้องร้องไห้ขนาดนี้เลยหรือ” อันหลินลูบหัวต้าไป๋อย่างอ่อนโยน
“พี่อัน เจ้า…เจ้าทำเกินไปแล้ว ข้าทำอะไรผิด ฮือๆ ๆ…เจ้าคนชั่ว! โฮ่ง!” ต้าไป๋รู้สึกเสียใจเหลือเกิน อยากร้องไห้ยิ่งนัก เมื่อได้ยินถ้อยคำของอันหลิน มันก็หวนคิดถึงการกระทำหยาบคายต่างๆ นานาที่อันหลินเคยปฏิบัติกับมัน จึงอดเศร้าโศกไม่ได้ ร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ…
กระเป๋าของอันหลินสั่นเบาๆ ครั้งหนึ่งแล้วนิ่งไป
เสี่ยวหงที่อยู่ข้างในเพิ่งตื่นก็ได้ยินบทสนทนาที่ไม่น่าดูชมของหนึ่งคนหนึ่งสุนัข ตกใจจนรีบหลับตาปี๋ แม้แต่ความเคยชินในการร้องเพลงทุกครั้งที่ตื่นนอนก็หายไปแล้ว ด้วยกลัวว่าจะรบกวนผู้เป็นนาย
อันหลินพรากครั้งแรกของต้าไป๋งั้นหรือ
มัน…มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน แม้แต่หมาก็ยังไม่เว้นหรือ!
อันหลินจะลงมือจัดการสัตว์เลี้ยงของตัวเองแล้วหรือ
ตั้งแต่คนไปถึงสัตว์ จากสัตว์เป็นพืชหรือ
ยิ่งจินตนาการมากเท่าใด เสี่ยวหงก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว ตัวสั่นงันงกในกระเป๋า อดรู้สึกกังวลกับอนาคตของตัวเองไม่ได้…
ต้าไป๋ร่ำไห้อยู่สิบกว่านาที ถึงได้หยุดความคิดจะร้องไห้ต่อไป
อันหลินเองก็เกิดความรู้สึกผิดที่พรากการร้องไห้ครั้งแรกมาจากต้าไป๋ เขาไม่คิดว่าอานุภาพของวิชาร้องไห้เสียจะยิ่งใหญ่ปานนี้ ทั้งๆ ที่พลังยุทธ์ของต้าไป๋เหมือนกับเขา กลับถูกวรยุทธ์ของเขาเล่นงานจนร้องไห้มาร่วมสิบกว่านาทีแล้ว
“ต้าไป๋ ข้าขอโทษ ตอนนี้เจ้าร้องไห้มาสิบกว่านาทีแล้ว ต่อไปข้าจะทำให้เจ้ายิ้มมากกว่าสิบเท่า ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุข!” อันหลินพูดขอโทษ
เสี่ยวหงในกระเป๋าโล่งอกไปเปราะหนึ่ง ดูแล้วนายท่านจะไม่ใช่ชายชั่วที่เสร็จกิจแล้วไม่รับผิดชอบอะไรเทือกนั้น
แต่ต้าไป๋กลับตบมือต่อต้านว่า “ไม่ได้ พรากครั้งแรกของข้าไป เจ้าต้องชดใช้ด้วยยาเซียน! โฮ่ง!”
เสี่ยวหงในกระเป๋าได้ฟังก็ทำหน้าตกใจ คิดในใจว่า ‘ครั้งแรกของต้าไป๋มีค่าแค่ยาเซียนเม็ดเดียวหรือ ฮึ่ย ของข้าต้องอย่างน้อยสามเม็ด!’
‘ถุยๆ ๆ! ไม่ใช่ หากนายท่านทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้จริง ข้าจะเผาเขาให้วอดวายแน่! ให้แสงอาทิตย์ทำลายความชั่วของนายท่าน!’
อันหลินได้ยินคำพูดได้คืบจะเอาศอกของต้าไป๋ มุมปากก็พลันกระตุกยิกๆ เงื้อหมัดขึ้นเตรียมจะสั่งสอนต้าไป๋สักฉาด
ขณะนั้นเอง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ากระเป๋าร้อนขึ้นมาชั่วขณะ จึงหยุดอารมณ์โทสะ
“เอ๊ะ เสี่ยวหง เจ้าเป็นอะไรไป” เขาหยิบเสี่ยวหงออกมาแล้วเอ่ยถามอย่างห่วงใย
ไหนเล่าจะรู้ว่าดอกไม้สีแดงจะไร้การตอบสนอง นิ่งไม่ไหวติง
อันหลินกะพริบตาปริบๆ จิ้มกลีบดอกอ่อนนุ่มเบาๆ พบว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงเก็บใส่กระเป๋าอีกครั้ง
ยังไม่ตื่นงั้นเหรอ เมื่อครู่ที่กระเป๋าร้อนเป็นการคิดไปเองงั้นเหรอ
ภายในกระเป๋า เสี่ยวหงโล่งอกไปที รู้สึกโชคดีที่ตนรอดพ้นจากภัย
สุดท้ายอันหลินก็ต้องศิโรราบให้กับอำนาจโดยมิชอบของต้าไป๋ ตกปากรับคำว่าเมื่อกลับสรวงสวรรค์ จะมอบยาเซียนขั้นแปดเม็ดหนึ่งให้ต้าไป๋ เป็นการชดใช้ที่ทำให้ต้าไป๋หลั่งน้ำตาที่มีค่าดั่งไข่มุก
ตอนแรกอันหลินกะว่าจะสั่งสอนต้าไป๋สักฉาด ใช้กำลังแก้ปัญหา
แต่ไม่นานเขาก็ต้องพบอย่างน่าเศร้าว่า ผลข้างเคียงหลังการใช้พลังปราณอนธการยังอยู่ เขาที่อ่อนระโหยโรยแรงไม่สามารถตบหน้าต้าไป๋ได้เลยด้วยซ้ำ เห็นแก่ที่ยังต้องขี่ต้าไป๋อยู่ เขาทำได้เพียงฝืนใจตอบรับคำขอของต้าไป๋
เนื่องด้วยเวลากระชั้นชิด ช่วงเวลาที่พบปะหญิงสาวผู้ให้ทรัพย์อย่างหลินจวิ้นจวิ้นก็ถูกอันหลินเลื่อนออกไปแล้วเช่นกัน
ต้าไป๋จึงพาอันหลินเหาะกลับสรวงสวรรค์ด้วยประการฉะนี้
หวนกลับสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนอีกครั้ง ผองเพื่อนต่างก็เฮโลกันมาถามไถ่ประสบการณ์ตลอดสิบวันนี้ด้วยความสงสัย
อันหลินจึงบอกเล่าสถานการณ์ตอนผจญภัยในโบราณสถานให้พวกเขาฟังคร่าวๆ ไม่ได้บอกเรื่องที่สถาบันวิจัยดาวม่วงย้ายที่แล้ว เพราะเขาสังหรณ์ใจว่าเรื่องนั้นคนยิ่งรู้น้อยจะยิ่งดี
ตอนหลังก็เป็นช่วงเวลาพักรักษาตัวสุขสงบ และอีกอย่างก็คือพยายามควบคุมการสืบทอดที่เพิ่งได้รับ
วรยุทธ์เหินแปลงหมอก เคล็ดวิชามังกรโส่วหยาง พลังหยุดเวลา พลังวิศวกรรมเครื่องกล พลังปีศาจเงา วิชาร้องไห้เสีย มีวรยุทธ์ที่ต้องลองเพิ่มมามากมายปานนี้ พูดออกไปเกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อ
อรุณรุ่ง อันหลินกลายเป็นเมฆหมอกสีขาว ลอยไปยังเขาชมจันทร์ นั่งสมาธิท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า
กลางวัน อันหลินที่ใช้เคล็ดวิชามังกรโส่วหยางโจมตีผาหินสูงใหญ่จนเกิดเสียงดังไม่ขาดสาย สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วเทือกเขา
ย่ำค่ำ อันหลินใช้พลังหยุดเวลา ทำให้เมฆสีทองก้อนใหญ่นอกรั้วสำนักแข็งตัวเป็นวัตถุที่อ่อนนุ่ม จากนั้นนอนแผ่บนปุยเมฆกับสวีเสี่ยวหลานอย่างสบายอารมณ์ พูดคุยเรื่องสนุกของสำนัก ไม่ก็ความสงสัยที่มีต่อการบำเพ็ญเพียร
ราตรีกาล อันหลินกลืนหายไปกับความมืด ค่อยๆ กระโดดออกจากมิติอีกแห่งหนึ่งช้าๆ ประหนึ่งภูตผี
ยามว่างเว้นก็จะเติมน้ำมันเครื่องให้ต๋าอีกับต๋าเอ้อร์ เพื่อรับประกันว่าความรู้เฉพาะด้านของตนจะไม่หย่อนคลาย
แม้แต่วิชาร้องไห้เสีย เขาก็พยายามเพิ่มความคล่องแคล่วชำนาญ ทำให้แมลง จิ้งจอก นกน้อยร้องไห้ แม้แต่เสี่ยวหงก็พลอยโดนแผนชั่วไปด้วย
วันนั้น เสี่ยวหงที่อยู่ในร่างดอกไม้ร้องไห้จนขอบหน้าต่างเปียกชุ่ม
ปรากฏว่าเช้าวันต่อมา อันหลินก็พบว่าผมของตัวเองถูกเผาจนโกร๋น สุดท้ายจำต้องวิ่งโร่ไปขอร้องให้หยินสี่ช่วยปรุงยาปลุกผมถึงราชวังดุสิต
กาลเวลาผันผ่าน ครึ่งเดือนต่อมา อันหลินก็ศึกษาทักษะที่ได้มาใหม่จนทะลุปรุโปร่งแล้ว
รุ่งอรุณ อันหลินตื่นแต่เช้าตรู่ ดวงตาเปล่งประกายกระจ่างใส
เขาซึมซับพลังชีวิตที่เต็มเปี่ยมของตน ทั้งตื่นเต้นและประหม่า
ต้าไป๋ เสี่ยวหงและเจ้าอัปลักษณ์ก็ยืนคอยอันหลินอยู่ที่บ้านอย่างเงียบเชียบ
สวีเสี่ยวหลาน เซวียนหยวนเฉิง และซูเฉี่ยนอวิ๋นปีนขึ้นเขาชมจันทร์ นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความคาดหวัง
อันหลินเปิดประตูห้อง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เราออกเดินทางกันเถอะ วันนี้เป็นวันแปลงจิตของข้า!”