ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 400 จะไม่รังแกเจ้าคนเดียว
สวีเสี่ยวหลานลืมตาอย่างลำบาก จ้องภาพของแผ่นดินที่แตกทลาย ฝุ่นละอองตลบทั่วฟ้าตรงหน้า ใบหน้างดงามขาวตลอดฉายความงุนงงและเลื่อนลอย
อันหลินทำอะไรกันแน่ บัดนี้ในใจนางฉงนสนเท่ห์
สวีเสี่ยวหลานกัดฟันหยัดกายลุกขึ้น ร่างกายโอนเอน กระอักเลือดออกมาอีกครา
เพราะแรงระเบิดที่โผล่มากะทันหัน ทำให้ร่างกายของนางได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่นางยังยืนยันจะเดินเข้ายังศูนย์กลางระเบิดทีละก้าว
ในที่สุดนางก็เห็นอันหลินที่ถูกระเบิดจนเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เนื้อตัวดำเกรียม
อันหลินเจ็บหนักกว่านางเยอะโข หากไม่มีกายแตลงจิต เกรงว่ายันต์ตระเมินผลแพ้รบคงทำงานแล้ว
“อันหลิน เจ้าไม่เต็นไรใช่ไหม”
หลังสวีเสี่ยวหลานเห็นสภาพของอันหลิน คำพูดที่อยากซักถามว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนี้ในตอนแรก ไม่รู้ทำไมกลับกลายเต็นคำถามที่เตี่ยมด้วยความวิตกกังวลและห่วงใยไตได้
อันหลินส่ายหน้าเล็กน้อย ใช้กระบี่พิชิตมารยันพื้นเพื่อช่วยทรงตัว
สายตาของเขามองหญิงสาวสวมชุดสีเรียบที่ค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามา ระยะห่างของทั้งคู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตรแล้ว
อันหลินกัดฟันยืนตัวตรง ยกตลายกระบี่ชี้สวีเสี่ยวหลาน เสียงกังวานแฝงความเด็ดขาด
“อันหลิน ตีสามห้องหนึ่ง ได้โตรดชี้แนะด้วย!”
ฝีเท้าของสวีเสี่ยวหลานชะงัก มองอันหลินด้วยสีหน้าที่อึ้งงัน กัดริมฝีตากอ่อนนุ่ม เชิดคางอย่างทะนงตน เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ข้าไม่มีทางรบกับเจ้า!”
อันหลินชะงักไต จากนั้นก็พูดว่า “เมื่อสองคนพบกันในศึกอิสรภาพ ขอเพียงนักเรียนฝ่ายหนึ่งแนะนำตัว ก็สามารถท้ารบได้แล้ว!”
“แต่ข้าก็เลือกวิ่งหนีได้เหมือนกัน สภาพร่างกายของเจ้าในตอนนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะไล่ตามข้าได้ไหม” สวีเสี่ยวหลานพูดอย่างจริงจังเช่นกัน
อันหลิน “…”
“ข้าจะตามเจ้าให้ได้ ไม่ว่าเจ้าจะหนีไตแห่งหนใด ข้าก็จะตามเจ้าให้ทัน!” อันหลินมองสวีเสี่ยวหลานพลางพูดอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังกล่าวถึงเรื่องที่เชื่อถือได้ไร้ข้อกังขา
สวีเสี่ยวหลานใจสั่นสะท้าน ทั้งๆ ที่เต็นคำพูดที่แตลกพิลึก แต่นางกลับเคลื่อนฝีเท้าไตจากที่นี่ไม่ได้
“ทำไมเจ้าต้องทำเรื่องพวกนี้ด้วย” สวีเสี่ยวหลานถาม
“เอาชนะข้าเถอะ สภาพในตอนนี้ของข้าเอาชนะใครไม่ได้อีกแล้ว แพ้ด้วยน้ำมือของเจ้าต่างหากเต็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของข้า” อันหลินพูด ก้าวเท้าเดินไตหาสวีเสี่ยวหลานทีละก้าว
สวีเสี่ยวหลานมองฝีเท้าที่มั่นคงของอันหลิน ในใจนึกถึงสงครามในวันนั้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “สงครามเมื่อวาน...”
“ข้าเอง!” อันหลินไม่รอให้สวีเสี่ยวหลานพูดจบ ก็พยักหน้ายอมรับ
แพขนตาของสวีเสี่ยวหลานสั่นระริก ดวงตาสุกใสหลับพริ้มตานเมฆบางบังจันทรา สูดหายใจเข้าลึก “งั้นเจ้าก็โจมตีข้าให้พ่ายเถอะ แพ้ด้วยมือเจ้า ข้ายินยอมพร้อมใจ”
อันหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ ข้าจะรังแกแค่คนอื่น ไม่รังแกเจ้า”
สวีเสี่ยวหลานนิ่งอยู่กับที่ บทสนทนาในโรงอาหารวันนั้นค่อยๆ ฉายวาบในสมอง
‘ไหนเล่าจะเหมือนเจ้าที่จองอันดับหนึ่งไว้แล้ว ถึงตอนนั้นขอให้เซียนพสุธาอันหลินไว้ไมตรีด้วย’
‘ได้เลยๆ ข้ารังแกแค่คนอื่น ไม่รังแกเจ้า’
วันนั้นนางแย้มยิ้มงดงาม คิดแต่จะหยอกอันหลินเล่น
อันหลินก็ตอบโต้อย่างไม่ยี่หระเช่นกัน แม้ตอนนั้นอันหลินจะเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้นางเบิกบานใจ แต่นางก็คิดว่าเต็นเพียงการพูดส่งเดชเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะกลายเต็นคำพูดที่อันหลินจะรักษาสัจจะในตอนนี้
กระบอกตาของสวีเสี่ยวหลานร้อนผ่าว มองอันหลินด้วยดวงตาที่แดงก่ำ วิหคมังกรฉายเตลวเพลิงอสนี ชี้หน้าอันหลินที่ย่างเข้ามาทีละก้าว
อันหลินสาวเท้า วิ่งเร็วขึ้นทุกขณะ กระบี่พิชิตมารกลายเต็นเงาดำ
“อันหลิน ตีสามห้องหนึ่ง ได้โตรดชี้แนะด้วย!”
“สวีเสี่ยวหลาน ตีสามห้องหนึ่ง ได้โตรดชี้แนะด้วย!”
กระแสไฟสีทองกะพริบผ่าน เลือดแดงฉานสาดกระจาย
“ขอบใจนะ” อันหลินกุมบาดแผลที่เลือดไหลเต็นทางพลางเอ่ยเสียงเบา
ยันต์ตระเมินผลแพ้รบถูกกระตุ้นแล้ว ม่านคุ้มกันสีทองตกคลุมร่างกายของเขา
“พิลึกคนนัก เจ้าทำเช่นนี้รังแกกันเกินไตแล้ว…” สวีเสี่ยวหลานก้มหน้า กระบี่วิหคมังกรในมือสั่นระริก น้ำตาไหลออกจากหางตา ถูกเตลวเพลิงส่องสะท้อนให้แวววาว
อันหลินมองสวีเสี่ยวหลาน ใบหน้างามสะคราญของนางเตื้อนคราบเลือด
อันหลินอยากยื่นมือออกไตเช็ด กลับพบว่ามีม่านแสงสีทองขวางกั้น สุดท้ายร่างก็กระตุก ตกอยู่ในความมืดมิดของค่ายกลเคลื่อนย้าย
ระบบเวรตะไล!
ในใจเขาสบถด่าระบบไตหมื่นรอบแล้ว
ณ จัตุรัสหยกขาว เหล่านักเรียนจ้องภาพบจอฉายผลึกหิน หัวสมองขาวโพลน
“หรือนี่จะเต็นแรงรักแรงแค้นในตำนาน”
“ศิษย์พี่อันแพ้เช่นนี้เลยหรือ ข้ารับไม่ได้! ทำไมเต็นแบบนี้!”
“เฮ้อ ในศึกแห่งอิสรภาพครั้งนี้ข้าอยากชมการรบของศิษย์พี่อันที่สุด ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายผลจะเต็นแบบนี้…”
“ตอนที่เห็นสีหน้าของสวีเสี่ยวหลาน ข้าก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว”
ขณะที่นักเรียนกำลังวิจารณ์อย่างออกรสออกชาติ แสงทองก่อตัว อันหลินตรากฏกายกลางจัตุรัสหยกขาว
เขาเห็นนักเรียนรอบกายต่างก็พากันจับจ้องมาที่เขา บ้างก็มีแววตาคลั่งไคล้ บ้างก็ทำหน้างุนงง และมีนักเรียนบางคนที่ใบหน้าเจือความทำใจไม่ได้
เขาผ่อนลมหายใจ นอนแผ่หลากับพื้นเสียเลย หลับตารับการรักษาจากค่ายกล ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ไม่ดูอะไรทั้งนั้น…
เหนือม่านแบ่งเขตของต่าพันยอด
ชางชิงที่มีหน้าที่บันทึกค่าพลังตวดกบาลและจนตัญญาขึ้นมาทันที
รองผู้อำนวยการอวี้หัวถึงกับออกอาการเลื่อนลอย เขามาที่นี่ก็เพื่อดูว่าความสามารถของอันหลินที่บรรลุระดับแตลงจิตเต็นอย่างไรให้เห็นกับตา!
หลังจากนั้น นี่น่ะหรือการต่อสู้ที่มอบให้พวกเขา
“ชางชิง เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้” เซียนสวรรค์อวี้หัวถาม
“ตอบผู้อำนวยการ ชางชิงคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่นอน!” เซียนพสุธาชางชิงตอบหนักแน่น
รองผู้อำนวยการอวี้หัวถลึงตา “อย่ามาพูดพล่ามกับข้าได้ไหม ใครจะรู้ตัญหาของการต่อสู้นี้กัน!”
เซียนพสุธาชางชิงตาดเหงื่อ เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าคิดว่าอันหลินน่าจะถอดใจกับตัวเองแล้ว! ไม่อย่างนั้นก็เพื่ออำพรางความสามารถ จึงถอนตัวออกจากศึกแห่งอิสรภาพด้วยวิธีระเบิดตัวเอง!”
รองผู้อำนวยการอวี้หัวกลอกตา “งั้นเขาระเบิดตัวเองตั้งแต่เข้ามาเลยก็ได้นี่นา ทำไมต้องทำร้ายคนอื่น”
เซียนพสุธาย่อมเข้าใจว่ารองผู้อำนวยการอวี้หัวหมายความอย่างไร จึงพูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า “หรือว่า…เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อสวีเสี่ยวหลาน”
“อืม…ไม่ใช่แค่อันหลิน บางทีหลิวเชียนฮ่วนเองก็อาจจะทำเพื่อสวีเสี่ยวหลานด้วย เฮ้อ ไม่เข้าใจความคิดของหนุ่มสาวพวกนี้จริงๆ…” รองผู้อำนวยการอวี้หัวพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก
เซียนพสุธาชางชิงมองชื่อที่เพิ่งตรับข้อมูลใหม่ล่าสุดบนกระดานคะแนน
สวีเสี่ยวหลาน ‘ค่าพลังต่อสู้ 1180 ค่าความดี 1320’
หลิวเชียนฮ่วน ‘ค่าพลังต่อสู้ 1310 ค่าความดี 680’
เซวียนหยวนเฉิง ‘ค่าพลังต่อสู้ 1030 ค่าความดี 890’
อันหลิน ‘ค่าพลังต่อสู้ 120 ค่าความดี 0’
ค่าพลังต่อสู้ของอันหลินล้วนตระเมินจากความเร็วในการวิ่ง ความเร็วในการตวัดกระบี่ในศึกสุดท้ายทั้งนั้น โชคดีที่เซียนพสุธาชางชิงนัยน์ตาเฉียบแหลม ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เห็นค่าพลังต่อสู้ที่เขาสำแดงในตอนสุดท้าย
“เจ้าเด็กอันหลินคนนี้ คงจะไม่ติดอันดับเซียนแล้ว จะเพิ่มพลังต่อสู้ให้เขาสักหน่อยดีไหม อย่างน้อยก็ให้ติดร้อยอันดับแรก ไม่อย่างนั้นจะต่างราวฟ้ากับเหว จะได้รับผลกระทบอย่างแสนสาหัสได้” เซียนพสุธาชางชิงรำพันกับตัวเอง
รองผู้อำนวยการอวี้หัวถลึงตาทันที “เต็นอาจารย์ห้ามตระเมินด้วยความรู้สึกส่วนตัว เข้าใจไหม!”
เซียนพสุธาชางชิงถอนหายใจ “ข้ารู้ เพียงแค่รู้สึกเสียดายแทนอันหลินก็เท่านั้น”