ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 408 ที่แท้ก็เป็นเด็กเส้นแบบนี้นี่เอง
เมื่อสวีเสี่ยวหลานได้ยินคำพูดของหญิงชุดม่วง หน้าก็แดงเรื่อทันที เอ็ดไปเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หลานเยียน ท่านพูดบ้าอะไรน่ะ อยากโดนตีหรือ”
“ศิษย์น้องเสี่ยวหลานจะรังแกข้าเพราะผู้ชาย…เฮ้อ ไมตรีจิตห่างไปไกลเสียแล้ว…” หลานเยียนส่ายหน้าอย่างน้อยอกน้อยใจ
อันหลินขี่ต้าไป๋เหาะลงมาจากท้องฟ้า หยิบซาลาเปาเข่งหนึ่งออกจากแหวนมิติโยนให้หลานเยียน
ซาลาเปาเข่งหนึ่งลอยแหวกอากาศมา หลานเยียนรับไว้ตามสัญชาตญาณ มองอันหลินด้วยความงุนงง “เจ้าทำอะไรน่ะ”
“เจ้าบอกว่าข้าไม่มีสินสอดไม่ใช่หรือ นี่แหละสินสอดของข้า” อันหลินพูด
หลานเยียนงงไปหลายวินาที จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ “ฮ่าๆ ๆ…สินสอดซาลาเปาหรือ ไม่คิดเลยว่าอันหลินจะตลกขนาดนี้ ฮ่าๆ ๆ…”
นางเส้นตื้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้เห็นอันหลินใช้ซาลาเปาเป็นสินสอดด้วยท่าทีจริงจัง ก็ยิ้มหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง
“เจ้ากินก่อนค่อยขำได้ไหม” อันหลินพูดอย่างเอือมระอา
“ก็ได้ๆ งั้นข้าจะไม่ให้ความตั้งใจของเจ้าบ่าวผิดหวัง” หลานเยียนกลั้นขำ เปิดฝาที่กั้นกลิ่นอายออก กัดซาลาเปาที่หอมนุ่มหนึ่งคำ รสชาติข้างในปะทุทันใด
หลานเยียนตะลึงงัน ดวงตาเบิกกว้างกินไปอีกหลายคำ
“คุณพระ…นี่ข้ากำลังกินซาลาเปาอยู่หรือ” นางพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ซาลาเปานั่นแหละ วัตถุดิบก็คือแป้ง เนื้อวัว เนื้อหมู ผักวิเศษของสรวงสวรรค์” อันหลินยืนยัน
“เจ้า…เจ้าทำเองหรือ” หลานเยียนเพิ่งกินซาลาเปาไปลูกเดียว ก็หยิบซาลาเปาลูกที่สอง ไม่สนใจเลยว่ายัดจนแก้มป่องแล้ว เอ่ยถามเสียงอู้อี้
อันหลินยิ้ม “แน่นอน! ชื่อว่าซาลาเปาต้าไป๋เมิน เลื่องชื่อในสรวงสวรรค์แล้ว!”
พอหลานเยียนได้ยินชื่อก็มองต้าไป๋ หัวเราะขึ้นมาโดยพลัน “ฮ่าๆ ๆ…อ่อก...”
นางกำลังกินซาลาเปาอยู่ จู่ๆ ก็หัวเราะ สีหน้าจึงเริ่มซีดเผือด ดวงตาเบิกกว้าง
สวีเสี่ยวหลานกลอกตา เดินเข้าไปออกแรงตบหลังของหลานเยียน พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “บอกท่านแล้วว่าอย่าหัวเราะเวลากิน ท่านไม่ฟัง สำลักอีกแล้วล่ะสิ”
อันหลิน “…”
หลานเยียนที่เพิ่งได้หายใจหายคอยังคงหัวเราะต่อ “ฮ่าๆ ๆ…แต่ชื่อซาลาเปาต้าไป๋เมินตลกมากเหลือเกิน จะว่าไปต้าไป๋โง่หรือ ซาลาเปาที่อร่อยขนาดนี้ถึงได้เมิน ฮ่าๆ ๆ…”
“พรืด…” ครั้งนี้อย่าว่าแต่หลานเยียนเลย แม้แต่อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานก็หัวเราะ
ต้าไป๋เบิกตากว้าง “พี่อัน นางรังแกหมา! โฮ่ง!”
อันหลินลูบหัวสุนัขเบาๆ มอบซาลาเปาต้าไป๋เมินให้ต้าไป๋เข่งหนึ่งเป็นรางวัล ดับไฟโทสะของมัน
หลานเยียนกับสวีเสี่ยวหลานพูดคุยฮาเฮตรงเข้าไปในสำนัก ส่วนอันหลินขี่ต้าไป๋ตามหลัง
ระหว่างทาง ศิษย์ทั้งหลายในสำนักพากันเหลียวมอง
คนส่วนใหญ่มองหญิงงามสองคนนั้น และมีบางส่วนบอกว่าอันหลินดูคุ้นหน้าคุ้นตา สุนัขตัวนั้นยิ่งคุ้นไปกันใหญ่ สุดท้ายเมื่อเห็นวานรที่อัปลักษณ์ตัวนั้น ก็กระจ่างใจโดยพลัน
ให้ตายสิ! นี่มันเจ้าชั่วอันที่ลักพาตัวเทพธิดาสวีเสี่ยวหลานของพวกเราไปไม่ใช่หรือ!
จากนั้นอันหลินก็ได้รับสายตามาดร้ายอยู่บ่อยครั้ง มันทำให้เขาเคลิบเคลิ้มยิ่งนัก คิดในใจว่าถ้ามีตัวร้ายโผล่มาท้าทายก็คงดี
เพราะหลังเขาบรรลุระดับแปลงจิตแล้ว ยังไม่ได้อวดความเท่เลย ต้องให้ลูกศิษย์ที่ตาไม่มีแววมาสร้างประสบการณ์ให้สิจึงจะถูก ไม่อย่างนั้นการบำเพ็ญเซียนจะไม่มีความภาคภูมิใจเลย
แต่ไม่เป็นไปตามหวัง ตลอดทางนอกจากสายตาที่ดูเจตนาร้ายของลูกศิษย์บางส่วนแล้ว ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันอื่นๆ เกิดขึ้น
อันหลินเดินตามสวีเสี่ยวหลานไม่หยุด สุดท้ายก็เข้าสู่ชั้นในของสำนัก
พลังเพลิงที่ชวนให้ผ่อนคลายอย่างยิ่งถาโถมเข้ามา ทำให้เขาสบายไปทั้งตัว
สองข้างทางเป็นใบเมเปิลสีแดงฉานดุจเพลิง ดูแล้วสดใสเจิดจ้า สายลมอ่อนโชยผ่าน เห็นใบเมเปิลหลายใบพลิ้วไหวตามแรงลม ประหนึ่งภูตเพลิงที่ลุกโชน เริงระบำไปรอบๆ ช้าๆ
ปลายทางที่ถูกป่าเมเปิลครอบงำ มีหอสีขาวสูงสิบจั้งหลังหนึ่ง โบราณโอฬาร กลิ่นอายพลังงานจางๆ รายล้อม ประดุจสัตว์ตัวเขื่องนอนหมอบ ชวนให้เกิดความยำเกรง
“ศิษย์น้อง ข้าจะไปรอเจ้าที่โรงพิธี” หลานเยียนโบกมือลา
อันหลินรู้ว่าโรงพิธีของสำนักวิหคชาดมีหินเพลิงเทวะบรรลุธรรม สวีเสี่ยวหลานอยากกระตุ้นพลังส่วนตน ที่แห่งนั้นจะมีประโยชน์อย่างมาก
“เดี๋ยวผู้อาวุโสจูหยวนโจวจะเป็นคนจัดการเรื่องของเจ้า เขานิสัยไม่ค่อยดี เจ้าอย่าลืมสำรวมหน่อยละ” สวีเสี่ยวหลานหันหน้ากระซิบกับอันหลิน
“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรที่ซาลาเปาหนึ่งเข่งจะแก้ไขไม่ได้ หากว่ามี งั้นก็สิบเข่ง!” อันหลินพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
สวีเสี่ยวหลานกลอกตา “ถ้ายั่วโมโหผู้อาวุโสจูจริง คิดว่าซาลาเปาร้อยเข่งก็ไม่พอ!”
ไม่นานทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในหอ ยืนอยู่หน้าประตูของชั้นบนสุด
ลูกศิษย์ที่สวมชุดแดงสองคนยืนอยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่วอกแวก แผ่รัศมีอันทรงพลัง เมื่อเห็นพวกอันหลินมาก็ไม่เหลียวแลเลยสักนิด
สวีเสี่ยวหลานคำนับอย่างนอบน้อมหน้าประตู “สวีเสี่ยวหลานแห่งสำนักวิหคชาดขอเข้าพบผู้อาวุโสจู”
“ฮ่าๆ ที่แท้ก็เสี่ยวหลานเองหรือ ข้าได้ฟังเรื่องของเจ้าแล้ว รีบเข้ามาเถอะ” เสียงหัวเราะผ่อนคลายก็ดังออกมาจากข้างใน น้ำเสียงก็เปิดเผยยิ่งนัก
ประตูเปิดออกเอง อันหลินเห็นชายวัยกลางคนสวมชุดสีชาด ผมและหนวดเคราขาวโพลนคนหนึ่งกำลังจ้องตนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านนี้คงจะเป็นเพื่อนรักของสวีเสี่ยวหลาน สหายอันหลินสินะ” ผู้อาวุโสจูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
อันหลินคำนับอย่างนบนอบทันที “ข้าน้อยอันหลินคารวะผู้อาวุโสจู”
ผู้อาวุโสจูหัวเราะร่าพลางลูบเครายาวไปทีหนึ่ง อมยิ้มพูดว่า “ได้ยินว่าเจ้าต้องการเพลิงพลังงานของเพลิงประจำสำนักเรา เจ้าเข้าร่วมสำนักวิหคชาดอย่างเป็นทางการ เป็นศิษย์คนสำคัญดีไหม เช่นนี้ยังได้ประโยชน์ก่อนใครอีกด้วย”
อันหลินชะงักงัน จะให้เขารู้สึกอย่างไร…เหมือนถูกจับอะไรบางอย่างได้ ในใจค่อนข้างลนลาน
ยังไม่ทันได้ขบคิด สวีเสี่ยวหลานก็พูดอย่างมีน้ำโหว่า “ผู้อาวุโสจู! ข้าบอกแล้วว่าให้จัดการสถานะของศิษย์ในนามให้เขา ท่านอย่ากลับคำนะ”
เมื่อถูกสวีเสี่ยวหลานตวาด ใบหน้าของผู้อาวุโสจูไม่มีความโกรธใดเลย กลับกระหยิ่มใจกว่าเดิม “ดูสิ สหายอันหลินเขายังไม่แสดงท่าทีอะไรเลย เจ้าก็เข้าข้างคนนอกเสียแล้ว”
สวีเสี่ยวหลานหน้าแดงทันทีที่ได้ฟัง อ้าปากค้าง สุดท้ายก็ไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืดกับคนคนนี้ หยิบซาลาเปายี่สิบเข่งออกจากแหวนมิติ
ผ่าง
ซาลาเปายี่สิบเข่งวางซ้อนกันบนพื้นอย่างเป็นระเบียบจนสูงเสียดเพดานแล้ว
ผู้อาวุโสจูเห็นซาลาเปาที่กองกันสูงก็กะพริบดวงตาที่สับสนปริบๆ “เสี่ยวหลานนี่เจ้า…”
“นี่เป็นของฝากที่อันหลินนำมาฝากผู้อาวุโสอย่างท่านโดยเฉพาะ สิบเข่งของท่าน อีกสิบเข่งเอาไปให้เจ้าสำนัก!” สวีเสี่ยวหลานพูดอย่างไม่พอใจ
ผู้อาวุโสจูได้ฟังก็หัวเราะร่วน “สหายอันหลินช่างเป็นคนสนุกเสียจริง ข้าเพิ่งเคยเห็นคนให้ซาลาเปาเป็นของฝากครั้งแรก ได้เลย ข้าจะลองชิมดู”
เขาส่ายหน้า ไม่ตำหนิว่าผู้น้อยไม่รู้ความ มองเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น
ผู้อาวุโสจูกัดซาลาเปาไปครึ่งลูกในคำเดียว กำลังจะชมตามมารยาทว่าอร่อย จู่ๆ ก็สั่นสะท้าน เคี้ยวอย่างบ้าคลั่ง…
เขามองอันหลินด้วยความตะลึง จากนั้นก็มองสวีเสี่ยวหลานที่นิ่งเฉยแล้วกินซาลาเปาต่อ
หนึ่งนาทีต่อมา ซาลาเปาหนึ่งเข่งก็ถูกกินจนเกลี้ยง
“หลานสาวคนดี พี่ใหญ่ไม่อยู่ในสำนัก ซาลาเปาพวกนี้ข้าจะเก็บไว้ก่อน จะได้ไม่เสียถ้าเก็บไว้นานเกินไป” ผู้อาวุโสจูหัวเราะคิกคัก นัยน์ตาเป็นประกาย เก็บซาลาเปาสิบเก้าเข่งใส่แหวนมิติทันที
สวีเสี่ยวหลานเหลือบมองผู้อาวุโสจูแล้วฮึดฮัดเบาๆ “ข้าเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกว่า ของเก็บในแหวนมิติยังเน่าเสียได้…”
“อืม…” ผู้อาวุโสจูหน้าแดง สะบัดแขนเสื้อ พูดเสียงดังว่า “เรื่องของสหายอันหลิน ข้ารับผิดชอบเอง ไม่ต้องมอบซาลาเปาให้เจ้าสำนักหรอก!”
อันหลินได้ยินบทสนทนา จู่ๆ ก็รู้สึกว่าข้อมูลมากมายเกินไป
หลานสาว พี่ใหญ่งั้นเหรอ
ถึงว่าก่อนหน้านี้เขาคิดว่าวิธีการสนทนาของสวีเสี่ยวหลานกับผู้อาวุโสจูค่อนข้างประหลาด ที่แท้ทั้งสองคนก็เป็นญาติกันนี่เอง! แม้แต่เจ้าสำนักก็เป็นอาของสวีเสี่ยวหลาน!
อันหลินอดแหงนหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจไม่ได้
ในสังคมวัตถุนิยม ไปที่ไหน ก็มักจะเจอกับกลุ่มเด็กเส้น อัจฉริยะที่บริสุทธิ์อย่างเขาพบเจอได้ไม่มากแล้ว