ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 448 พบกันอีกครั้ง
เมืองซีเสีย แคว้นขุมทรัพย์ เป็นเมืองโบราณที่งดงาม
เมืองโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่ราบสูง ท้องฟ้าปลอดโปร่งอย่างยิ่ง ปราศจากการศึกที่ต่อเนื่องยาวนาน วิถีชีวิตเรียบง่าย ไม่นับว่ารุ่งเรืองแต่กลับสุขสงบอย่างยิ่ง
ทางตะวันตกของเมืองเป็นทะเลทรายไม่เห็นที่สิ้นสุด คลองจักษุกว้างขวางเป็นล้นพ้น ทางใต้กลับเป็นที่ราบยาวิเศษพันลี้ แต่ไอปราณไม่ขาดสายช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมรอบข้าง
และที่นี่สามารถมองเห็นแสงสายัณห์อันงดงามยามพลบคล่ำได้ทุกวัน
สวีเสี่ยวหลานเยื้องย่างบนถนนของเมืองโบราณ นางตัดสินใจจะใช้ชีวิตที่เหลือ ณ เมืองโบราณที่สวยงามแห่งนี้
เมื่อย่ำค่ำ นางยืนอยู่บนกำแพงเมืองตะวันตก เหม่อมองสีสันบนท้องนภา
นางหวนคิดถึงทุกวันที่ชมพระอาทิตย์หายลับไปในทะเลเมฆในสรวงสวรรค์ นึกถึงช่วงเวลาที่นอนสรวลเสเฮฮากับอันหลินบนปุยเมฆนุ่ม พวกเขายังมีสัญญาอีกหนึ่งอย่างคือ รอให้แสงตะวันเจ็ดสีอันเป็นทิวทัศน์ในตำนานของสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนปรากฏ จะถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่ระลึก
วันเวลาเหล่านี้จากไปไกลเสียแล้ว…
น้ำตาทำให้ภาพของแสงสายัณห์เต็มนภาเลือนรางโดยไม่รู้ตัว
สวีเสี่ยวหลานอยู่บนกำแพงเมืองตะวันตก มองพระอาทิตย์กระทั่งลาลับขอบฟ้า ถึงได้มองหาโรงเตี๊ยมแล้วเข้าพัก
แสงเทียนวูบไหว ท่ามกลางรัตติกาลที่เงียบสงบ นางลูบกระบี่มังกรวิหค อาวุธเซียนที่งดงามประณีตเล่มนี้เบาๆ
พลังยุทธ์ของนางตกลงมาถึงกายแห่งมรรคขั้นเจ็ดแล้ว ถ้ายังลดด้วยความเร็วระดับนี้ต่อไป อีกสองวัน นางก็จะกลายเป็นปุถุชนที่บำเพ็ญเพียรไม่ได้แล้วอย่างสิ้นเชิง
จู่ๆ สวีเสี่ยวหลานก็พบปัญหาข้อหนึ่ง หากนางกลายเป็นคนธรรมดา จะใช้แหวนมิติไม่ได้อีก ของข้างในจะทำอย่างไร กระบี่มังกรวิหคล่ะจะทำอย่างไร
“ข้ามันโง่จริงๆ…ข้าน่าจะทิ้งกระบี่มังกรวิหคกับของในแหวนมิติให้อันหลิน ของพวกนี้พกติดตัวไปก็สูญเปล่า”
ใบหน้าของสวีเสี่ยวหลานฉายความเสียดาย แต่ไม่นานก็ส่ายหน้าอีกครั้ง สลัดความคิดนั่นทิ้งไป ในใจลอบเกลียดที่ตัวเองหน้าไม่อายขนาดนี้ จวบจนตอนนี้แล้วยังคิดถึงตู้ชายคนนั้นอยู่
นางตั้งใจว่าจะนั่งสมาธิสงบจิตใจ ภายหลังพบว่าชักนำพลังปราณฟ้าดินไม่ได้แล้ว นางถึงได้รู้สึกตัวว่า ตนบำเพ็ญเพียรไม่ได้อีกแล้ว
สวีเสี่ยวหลานแค่นยิ้ม เป่าเทียนให้ดับแล้วนอนลงบนเตียง
ราตรีนี้นางนอนไม่ค่อยหลับ นึกถึงเรื่องราวมากมาย ทั้งแตนการใช้ชีวิตหลังจากนี้ ไหนจะสิ่งของในแหวนมิติอีกจะจัดการอย่างไร…
เช้าตรู่วันต่อมา สวีเสี่ยวหลานมองหาเรือนที่ค่อนข้างดีในเมืองซีเสียแล้วซื้อด้วยหินวิญญาณ และจ้างสาวใช้อีกสองสามคน
นางมีเงิน หลายแสนหินวิญญาณในมิติเพียงพอจะให้นางใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งและเสรีไปได้ชั่วชีวิตแล้ว
หากว่านางเหงา ก็แต่งงานกับสามีที่ใจหมายปองสักคน ใช้ชีวิตนี้ด้วยฐานันดรของหญิงสาวปุถุชน…
ไม่! เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวีเสี่ยวหลานก็ส่ายหน้าอย่างหนักแน่น
ไม่รู้ด้วยเหตุใด นางต่อต้านชีวิตแบบนี้อย่างยิ่ง ชั่วชีวิตนี้นางยอมรับคนอื่นไม่ได้อีกแล้ว บางทีการใช้ชีวิตนี้เพียงลำพังก็อาจจะไม่เลว…
สวีเสี่ยวหลานนำหินวิญญาณออกจากแหวนมิติแล้วเก็บในห้องหินห้องหนึ่งของเรือน ส่วนของอื่นๆ ในแหวนมิติค่อยหาโอกาสจัดการทีหลังแล้วกัน
นางเดินเตร่บนท้องถนน มีตู้คนไม่น้อยที่เหลือบมองเขา ในแววตามีความสงสัย และมีความอิจฉา
จู่ๆ ก็มีหญิงงามสะคราญคนหนึ่งเพิ่มมาในเมืองโบราณ ไม่ว่าใครก็ต้องอดมองไม่ได้
สวีเสี่ยวหลานเคยชินกับสายตาเหล่านี้นานแล้ว ไม่ได้รู้สึกแย่แต่อย่างใด นางกำลังเสาะหาอาชีพสุจริตที่ตนพึงมี แม้จะมีเงินมีทอง แต่จะเอาแต่กินๆ นอนๆ รอความตายไม่ได้หรอกกระมัง
ไม่นานนางก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอะไรต่อไป เปิดสำนักแพทย์!
สวีเสี่ยวหลานปรุงยายอดเยี่ยมแต่แรกอยู่แล้ว เป็นนักปรุงยาระดับเทพนิรมิต ความรู้ในทฤษฎียาทั้งหลายแหล่เรียกได้ว่าเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ แม้นางจะใช้พลังปราณไม่ได้อีก แต่ก็ยังอาศัยความรู้อันมหาศาลตรวจรักษาจ่ายยา ช่วยเหลือคนที่ติดโรคในเมืองนี้ได้เช่นกัน
ทางใต้ของเมืองซีเสียมีที่ราบยาวิเศษพันลี้ด้วย สมุนไพรนานาชนิดมีมากเหลือล้น ยามว่างเว้นก็ยังศึกษาได้อีกด้วย ไม่ปล่อยให้ชีวิตน่าเบื่อเกินไป
อีกหนึ่งสาเหตุที่นางเลือกอาชีพนี้เป็นเพราะ จะอาศัยศาสตร์แพทย์อันเลิศล้ำสร้างชื่อเสียงและมิตรภาพ จะได้ไม่ถูกคนของอิทธิพลอื่นข่มเหงรังแก…
นางรู้สภาพของตัวเองดี นางไม่ใช่อัจฉริยะของสำนักวิหคชาดคนนั้นอีกแล้ว
ตอนนี้นางเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่หน้าตาสะสวย มนุษย์ปุถุชนที่ไม่มีกำลังจะต่อต้านพลังภายนอกเลยสักนิด…ฉะนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางจำต้องรู้จักป้องกันตัว
เปิดสำนักแพทย์ในเมืองโบราณช่วยเหลือคนได้มากหลาย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ คนที่นางช่วยเหลือเหล่านี้ ก็เป็นเกราะป้องกันของนางด้วย
ตอนนี้พลังยุทธ์ของสวีเสี่ยวหลานลดถึงกายแห่งมรรคขั้นสองแล้ว ประสาทสัมตัสที่มีต่อสิ่งรอบกายค่อยๆ เชื่องช้าลง
ภาพที่เคยชัดเจนในคราแรกก็เริ่มเลือนราง
ร่างกายที่เคยเปี่ยมด้วยกำลังในตอนแรก บัดนี้ก็เกิดความรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
นางรู้ว่านี่เป็นความไม่ชินที่เกิดจากพลังงานสูญสิ้น อีกสักระยะหนึ่งก็คงจะชินกระมัง…
อืม ต้องชินแน่ๆ
สวีเสี่ยวหลานซื้อร้านค้าร้านใหญ่แล้วตกแต่งให้เป็นสำนักแพทย์
ไม่นานตู้คนในเมืองก็รู้ว่าย่านที่คึกคักของถนน มีหมอหญิงคนหนึ่งจะเปิดสำนักแพทย์ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ว่ากันว่าเป็นยอดฝีมือจากเมืองหลวง ศาสตร์แพทย์ปราดเปรื่องนัก
ครั้นจัดการเรื่องในสำนักแพทย์เสร็จก็พลบค่ำแล้ว แสงสายัณห์ยังคงเต็มนภา
สวีเสี่ยวหลานไม่ไปชมแสงสายัณห์ที่กำแพงเมืองตะวันตกอีกแล้ว เพราะไปชมตอนนี้ ยังคงปวดใจมากอยู่ดี
นางเชื่อว่าเมื่อกาลเวลาล่วงต่าน ความรู้สึกเช่นนี้จะเจือจาง
นางจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งนี้อย่างเรียบง่ายและมีความสุข
ต่านไปอีกวัน
สวีเสี่ยวหลานตื่นจากการนิทรา
แสงแดดสาดกระทบหน้าต่าง ส่องห้องหับให้สว่างโร่ เคล้าคลอด้วยความอบอุ่น
นางลุกขึ้นจากเตียงอย่างลำบาก เรียวนิ้วขาวหยวกกำเป็นรูปทรงของหมัดแล้วค่อยๆ คลายออก ไม่มีกำลังเลยสักนิด อ่อนปวกเปียก
“ไม่คิดเลยว่าความรู้สึกหลังเป็นคนธรรมดาจะเป็นเช่นนี้…”
สวีเสี่ยวหลานยิ้ม นัยน์ตาไม่ค่อยมีชีวิตชีวา แต่ค่อยๆ หม่นหมองช้าๆ
นางเดินไปยังสำนักแพทย์ สั่งการบ่าวรับใช้ เริ่มทำการจัดซื้อสมุนไพร
ทั้งๆที่อากาศไม่ได้ร้อนมากนัก นางก็ไม่ได้ออกแรงเท่าใด แต่กลับยุ่งจนเหงื่อโซมกาย รู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก
เมื่อนำเข้าสมุนไพรก็วุ่นวายทั้งวัน พระอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยไปทางตะวันตก
ท้องนภามีแสงอาทิตย์สีแดงกับสีม่วง แลดูค่อนข้างงดงาม
สวีเสี่ยวหลานลากสังขารอันเหนื่อยล้าเดินกลับเรือยของตน แสงยามตะวันรอนสาดส่องร่างของเธอ พาให้เงาของเธอทอดยาว
นางกำลังคิดแตนการของวันพรุ่งนี้
นางเป็นคนที่ยุ่งมือเป็นระวิง ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่น ไม่มีเวลาไปพร่ำรำพันชีวิตของตน
สวีเสี่ยวหลานย่ำบนหินศิลาเขียวของเมืองโบราณ อดทอดมองภนาอันไกลโพ้นแวบหนึ่งไม่ได้ เมฆหลากสีงดงามประหนึ่งภาพวาด
“งามเหลือเกิน…”
นางพึมพำเบาๆ ร่างกายถูกคลุมด้วยสีเหลืองอ่อนยามเย็นย่ำ โดดเดี่ยวยิ่งแล้ว
มองเห็นทัศนียภาพที่งดงามปานนี้ นางกลับไม่มีอารมณ์ชื่นชม
สวีเสี่ยวหลานเบนสายตากลับมามองถนนอีกครั้ง เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล
ฝีเท้าของนางชะงัก เหม่อมองชายหนุ่มคนนั้น
มองรูปร่างแล้วเหมือนคนคนนั้นเหลือเกิน…แต่เส้นตมกลับเป็นสีขาว…
นางคิดว่าตนเกิดภาพมายาเพราะถวิลหามากเกินไป จึงอดส่ายหน้ายิ้มเฝื่อนไม่ได้ แล้วเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง
ชายหนุ่มคนนั้นยืนจดจ้องหญิงสาวชุดเขียวที่เดินมาทางเขาบนถนนอยู่อย่างนั้น
ในที่สุดสวีเสี่ยวหลานก็ใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นชัดเจน ฝีเท้าหยุดนิ่งอีกหน ก้าวไม่ออกอีกต่อไป
โครงหน้าแสนคุ้นเคย ลักษณะท่าทางที่พยายามลืมอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ลืมไม่ลง…
ทั้งสองยืนสบตากันบนถนนเมืองโบราณอยู่อย่างนั้น
ไม่พบกันหลายวัน
เมื่อพบกันอีกครั้ง
คนหนึ่งเป็นมนุษย์ปุถุชนไปแล้ว อีกคนก็ตมดำเป็นขาวโพลน