ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 452 แสงจันทร์คืนนี้งดงามเสียจริง
อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานกินข้าวเสร็จก็เดินไปในสวนด้วยความอิ่มเอม
สาวใช้ทั้งสี่อย่างชุนเซี่ยชิงตงเหมือนยกภูเขาออกจากอก กินอาหารหมาจนอิ่มแปล้ ในที่สุดตอนนี้ก็ได้เวลากินข้าวปรับปรุงคุณภาพชีวิตแล้ว
“พี่ตงเอ๋อร์ ท่าทางคุณชายท่านนั้นจะเป็นคู่ครองของนายหญิงจริงๆ” เสี่ยวชิวพูดอย่างอิจฉา
เสี่ยวตงที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักพยักหน้า แต่แล้วก็ส่ายหน้าวิเคราะห์ว่า “พวกเขาน่าจะว่าที่คู่ครองกันมากกว่า มีใจกันทั้งคู่ แต่กลับไม่ได้ยืนยันความสัมพันธ์”
“ซับซ้อนเหลือเกิน อย่างไรเสียต่อไปผู้ชายคนนั้นคงอยู่ที่นี่แล้วกระมัง” เสี่ยวเซี่ยยู่ปาก
นางแค่อยากรับใช้สวีเสี่ยวหลาน จู่ๆ มีผู้ชายคนหนึ่งเพิ่มมา ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
“ต่อไปคุณชายท่านนั้นก็น่าจะเป็นนายท่านของพวกเรา” เสี่ยวชุนหน้าแดงเรื่อ พูดเสียงเบาว่า “ฟังบทสนทนาของพวกเขา ทั้งคู่เป็นลูกศิษย์ของสรวงสวรรค์ สุดยอดมากจริงๆ! ไม่คิดเลยว่ านายหญิงของพวกเราก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ยวดยงด้วย ถึงว่าฝีมือการปรุงอาหารของนายท่านยอดเยี่ยมปานนี้ นั่นมันเซียนเชียวนะ!”
“หึ เซียนก็แบ่งระดับขั้นไหมเล่า กายแห่งมรรคขั้นนั้นขั้นนี้ คุณชายคนนั้นจะสักกี่ขั้นกันเชียว” เสี่ยวเซี่ยเบะปาก
“เข้าเรียนในสรวงสวรรค์ได้ต้องมีขั้นหกขั้นเจ็ดเป็นอย่างต่ำ!” เสี่ยวตงสันนิษฐานอย่างมีภววิสัย
“คือว่า…พวกเจ้าไม่ได้ยินนายหญิงเรียกคุณชายท่านนั้นว่า ‘อันหลิน’ หรือ คงไม่ใช่อันหลินที่อยู่ในนิตยสารจิ่วโจวนั่นหรอกนะ” เสี่ยวชิวพูดเสียงอ่อย
เมื่อสิ้นประโยคนี้ เหล่าสาวใช้ก็เงียบงันทันใด
พวกนางนึกขึ้นได้ว่านายหญิงเรียกชื่อจริงของคุณชายท่านนั้นจริงๆ อันหลินนี่แหละ! แต่พวกนางกลับไม่ได้ผูกโยงชื่อนี้กับบุคคลระดับตำนานในนิตยสารจิ่วโจว เพราะคนพวกนี้ห่ างไกลจากพวกนางเหลือเกิน หากไม่ใช่อันหลินผมขาว พวกนางก็คงไม่ผูกโยงเขากับเจียงหย่าหนานหรอก
พอมาคิดดูตอนนี้ ชื่ออันหลิน แถมยังเป็นลูกศิษย์ของสรวงสวรรค์…น่ากลัวเหลือเกินเมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว!
“อันหลินที่คว้าอันดับหนึ่งในชุมนุมมรรคเทศนาสี่ทิศให้กับสำนักสรวงสวรรค์คนนั้นอยู่ตรงหน้าพวกเรางั้นหรือ” เสี่ยวเซี่ยสูดหายใจเข้าลึก พูดด้วยความตกใจ
“อันหลิน บุคคลระดับตำนานอันดับหนึ่งของสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนอยู่ตรงหน้าพวกเรางั้นหรือ” เสี่ยวชุนก็ทำหน้าตะลึงเช่นกัน
“ไม่สิ ว่ากันว่าอันหลินเป็นชายหนุ่มผมดำที่ขี่สุนัขไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ผมขาวนี่นา” เสี่ยวตงที่มีสติสะดุดใจแล้วพูดด้วยความสงสัย
“เจ้าโง่หรือไง ตอนนี้เซียนย้อมผมขาวกำลังเป็นกระแสนิยม ปกติมากไหมเล่า” เสี่ยวชุนโต้แย้งด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น ตอนนี้ความนับถือที่มีต่ออันหลินสูงขึ้นอีกขั้น ดวงตาสุกใสพราว วระยับ แฝงด้วยสีสันที่ไม่ธรรมดา
เสี่ยวเซี่ยกับเสี่ยวชิงพยักหน้ารัวๆ สายตาทอดมองทั้งสองใต้แสงจันทร์กลางสวนไม่หยุด ใบหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา
อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานนั่งอยู่บนม้านั่งนาวในศาลา แหงนหน้ามองดวงจันทร์กระจ่าง
“เจ้าไม่คิดจะกลับสำนักวิหคชาดแล้วจริงๆ หรือ ท่านลุงรองของเจ้าเป็นยอดฝีมือรวมมรรคเชียวนะ ปรมาจารย์ซือถูเฟิ่งก็เป็นถึงยอดฝีมือรวมมรรคาอาวุโส พลังที่พวกเขาครอบครองอาจมีห หนทางจริงๆ ก็ได้” อันหลินมองหญิงสาวข้างกายที่ถูกแสงจันทร์ปกคลุม แลดูค่อนข้างงดงามมีเสน่ห์ พูดเสียงแผ่วเบา
สวีเสี่ยวหลานได้ฟังก็ส่ายหน้าอย่างหนักแน่น “เสิ่นอิงก็เป็นยอดฝีมือที่เทียบเท่ารวมมรรคา ความเข้าใจที่นางมีต่อการปลูกถ่ายเลือดเป็นที่หนึ่งในตอนนั้น รากฐานป่นปี้ที่เกิดจา ากการปลูกถ่ายโลหิตไม่มีใครศึกษาได้ถ่องแท้เท่านางแล้ว ข้าสืบทอดความรู้ของนาง จึงรู้ดีว่ามันเป็นความสูญเสียที่ไม่อาจพลิกผันได้อย่างสิ้นเชิง ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะฟื้นฟู”
“แน่นอนว่าข้าก็รู้ว่าท่านลุงรองกับปรมาจารย์มีฝีมือสะท้านฟ้า บางทีอาจมีความเป็นไปได้เสี้ยวหนึ่งจริง หาวิธีช่วยข้าได้จริง แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่ข้าจินตนาการไม่ได้แน่ๆ. …”
จู่ๆ นางก็มองอันหลิน “รากฐานพินาศ หนทางเซียนขาดสะบั้น…ไม่ต่างจากความตายของคนที่ย้อนกลับไม่ได้ เจ้าจะยอมให้ครอบครัวของเจ้าสิ้นเนื้อประดาตัวเพื่อโอกาสที่เลือนรางนั่นหรือ ท่านลุงรองของข้าติดหนี้ชีวิตท่านแม่อันใหญ่หลวง เขาอาจจะทำแบบนี้จริง ถึงขั้นว่าแลกด้วยชีวิต แต่ข้าไม่ต้องการ…ข้าไม่อยากให้พวกเขาทำเพื่อข้าถึงขั้นนั้น และไม่อยากให้ พวกเขารู้สถานการณ์ของข้าด้วย ข้าไม่ต้องการของพวกนี้…”
อันหลินเงียบงัน ใช้มือโอบเอวคอดกิ่วของหญิงสาวข้างกายไว้หลวมๆ
ร่างอรชรของสวีเสี่ยวหลานสะดุ้งเบาๆ ไม่ได้ขัดขืน แต่เอียงศีรษะซบไหล่ของอันหลิน นัยน์ตาแดงก่ำ ถามเบาๆ ว่า “เจ้าคิดว่าข้าเข้าใจได้ยากใช่ไหม”
อันหลินส่ายหน้า “เปล่านี่นา ข้าก็จะทำเหมือนกับเจ้า…”
“เป็นเพราะพวกเราโง่กันทั้งคู่หรือ” สวีเสี่ยวหลานถาม
อันหลิน “…”
เขามองหญิงสาวที่เย้ายวนยิ่งขึ้นภายใต้แสงจันทร์ที่อยู่ตรงหน้า พูดเบาๆ ว่า “วันนี้แสงจันทร์งดงามเสียจริง”
“อืม…ข้ารู้ แต่เจ้ายื่นปากเข้ามาทำไม”
มือเรียวขาวผ่องของสวีเสี่ยวหลานดันศีรษะของอันหลินออก พลางพูดด้วยความสนเท่ห์
อันหลินกะพริบตาปริบๆ หน้าละห้อยและงุนงง
เราทำท่าไม่ถูกเหรอ
ใครบอกฉันได้บ้างว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร
“เอ่อ…คือว่า…เราคุยเรื่องสำนักแพทย์กันหน่อยดีกว่า สำนักแพทย์นี้เปิดกว้างสำหรับประชาชนทั่วเมืองได้ ทฤษฎีความรู้ของเจ้าแน่นปึก ข้าสามารถปรุงยาง่ายๆ ภายใต้การชี้นำของ งเจ้าได้ แบบนี้วิชาปรุงยาของข้าก็จะเพิ่มพูน ธุรกิจก็จะรุ่งเรือง สุขใจยิ่งแล้ว…” อันหลินเล่าความคิดของตัวเอง
สวีเสี่ยวหลานมองชายหนุ่มที่ตั้งใจหารือชีวิตในอนาคตกับนาง แววตาอ่อนโยนดุจสายน้ำ
ค่ำคืนนี้ผ่านพ้นไปอย่างเป็นปกติ
อันหลินตื่นมาตอนเช้า หยิบยันต์ส่งสารออกจากแหวนมิติ พบว่ามีพลังปราณนับร้อยต้องการติดต่อเขา
คนที่มีวิธีสื่อสารด้วยการสื่อจิตพยายามติดต่อเขากันแทบจะทั้งหมด
นี่มัน…หรือข่าวจะแพร่สะพัดแล้ว
ตอนนั้นเขาคิดแต่จะไล่ตามสวีเสี่ยวหลาน ไม่มีเวลาคิดอะไรทั้งนั้น
ตอนนี้เพิ่งมารู้ว่า ที่แท้ก็มีคนมากมายเป็นห่วงตัวเอง ในใจก็อดซาบซึ้งไม่ได้
สวีเสี่ยวหลานเผายันต์ส่งสารของตัวเองทิ้งไปแล้ว ไม่อยากติดต่อใครทั้งนั้น
อันหลินเข้าใจสวีเสี่ยวหลาน คิดว่าเรื่องนี้ไม่บอกคนอื่นจะเป็นการดีกว่า แจ้งสถานการณ์กับสัตว์เลี้ยงของตัวเองคร่าวๆ ก็พอแล้ว
เขาคิดๆ แล้วตัดสินใจส่งกระแสจิตให้ต้าไป๋ก่อน
ยันต์ส่งสารถูกรับสายในเสี้ยววินาที จากนั้นก็เป็นเสียงโศกเศร้าของต้าไป๋ “ฮือๆ ๆ…พวกเจ้าเจอทรัพย์สินของพี่อันแล้วหรือ ฝีมือของหญิงชั่วคนไหน ข้าจะฉีกมันทั้งเป็นแน่! โ โฮ่ง!”
อันหลินซึ้งใจ ชี้แจงว่า “ต้าไป๋ ถ้าไม่ใช่พลังปราณของเจ้าตัว จะใช้ยันต์ส่งสารไม่ได้นะ”
ปลายทางของยันต์ส่งสารเงียบไป ราวกับว่าตกใจ
จากนั้นเสียงเห่าที่ตื่นเต้นก็ดังขึ้น “โฮ่งๆ ๆ! พี่อัน ฮือๆ ๆ…พี่อันยังไม่ตาย! โฮ่งๆ ๆ!”
จากนั้นก็มีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวอันตื่นเต้นของเสี่ยวหงกับเจ้าอัปลักษณ์ดังขึ้น
“ฮือ…ข้าบอกแล้วว่าพี่อันเป็นคนดีผีคุ้ม…พลังชีวิตเหมือนแมลงสาบแบบนี้จะถูกสาวหิมะไม่กี่คนฆ่าได้อย่างไร!” เสียงสะอื้นของเจ้าอัปลักษณ์แว่วมา
“ต้องเป็นเพราะข้าภาวนาต่อพระอาทิตย์ได้ผลแน่ๆ ต่อไปพวกเราจะได้กินซาลาเปาต้าไป๋เมินต่อไปแล้ว!” เสียงดีใจอันอ่อนหวานของเสี่ยวหงเล็ดลอดเข้ามา
“ข้าวผัดไข่ด้วย!” ต้าไป๋พูด
“อาหารเลิศล้ำใหม่ๆ นานาชนิด!” เจ้าอัปลักษณ์กล่าว
“โอ้เย้!” เสี่ยวหงดีใจมาก
อันหลิน “…”
เราเลี้ยงสัตว์เลี้ยงจอมปลอมฝูงหนึ่งจริงๆ ด้วยสินะ