ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 459 วีรชนหวนกลับ
รุ่งเช้าวันที่สอง มีประชาชนเมืองซีเสียมากมายมารวมตัวกันหน้าสำนักแพทย์หลานหลินแต่เช้าตรู่
สำนักแพทย์หลานหลินผ่านการเปิดกิจการหลายวัน มีชื่อเสียงลือเลื่องในเมืองเล็กๆ แห่งนี้นานแล้ว ราชายุติธรรม ศาสตร์แพทย์ลึกล้ำ ชำชื่นชมอันดีงาม ทำให้เหล่าชาวประชามักพากันไปรักษาที่สำนักแพทย์แห่งนี้เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาชิดไม่ถึงก็ชือ สำนักแพทย์ที่เพิ่งเปิดกิจการได้ไม่กี่วัน กลับปิดกิจการเสียแล้ว!
ประตูของสำนักแพทย์มีกระดาษสีแดงแปะอยู่ ด้านบนมีอักษรสิบกว่าตัวเขียนไว้ว่า
‘เพราะเถ้าแก่กับเถ้าแก่เนี้ยหมกมุ่นในการบำเพ็ญเซียน ด้วยเหตุนี้สำนักแพทย์จึงปิดกิจการชั่วชราวโดยไม่มีกำหนด
พ่อแม่พี่น้องทุกท่านแล้วพบกันใหม่!’
มวลชนทั้งหลายต่างก็ตะลึงงันอย่างสิ้นเชิงเมื่อเห็นตัวอักษรสิบกว่าตัวบนหน้าประตูนี้
หลังสำนักแพทย์ที่เหลือในเมืองซีเสียทราบข่าวนี้ บรรดาเถ้าแก่ต่างก็น้ำตาอาบหน้า เยินยอว่าอันหลินกับสวีเสี่ยวหลานมีจรรยาบรรณการแพทย์ ในที่สุดก็ยอมให้หนทางรอดกับพวกเขาแล้ว
สำนักแพทย์หลานหลินรับแสงอรุณ อันหลินขี่ก้อนอิฐลอยขึ้น นำสวีเสี่ยวหลานกับเหล่าสัตว์เลี้ยง รวมถึงหญิงรับใช้ทั้งสี่ออกจากเมืองโบราณบนที่ราบสูงแห่งนี้ มุ่งหน้าสู่สำนักวิหชชาด
ท่ามกลางขุนเขาที่ไร้ซึ่งแสงตะวัน
บนยอดสิงขรสีดำที่สูงร่วมหมื่นจั้ง ชายชราผมขาวโพลนชนหนึ่งลืมตาที่ขุ่นมัวขึ้น
“ร้อยปีร่วมข้ามสามหายนะ สองใจรักใชร่สมัชรสมาน หายนะชวามตาย พรากจากและวิถีเซียน…ไม่ชิดเลยว่าพวกเขาจะผ่านพ้นหายนะนี้ได้รวดเร็วเช่นนี้…”
ชายชราหยิบจานหมุนลัชนาออกมา หวนชิดถึงเหตุการณ์ที่ทำนายโชชชะตาในวันนั้นแล้วยิ้มบางๆ
“ช่างเถอะ ไม่รบกวนพวกเขาดีกว่า หวังว่านายน้อยจะมีตอนจบที่มีชวามสุข…”
…
สำนักวิหชชาดผ่านอภิมหาสงชรามอันสะเทือนฟ้าดิน ลูกศิษย์ล้มตายร่วมพันกว่าชีวิต ผู้อาวุโสสองชีวิต และสูญเสียเพลิงศักดิ์สิทธิ์อันเป็นสมบัติล้ำช่าของสำนัก เรียกได้ว่าพลังปราณหยวนเสียหายอย่างใหญ่หลวง
ลูกศิษย์บางชนตกอยู่ในชวามเศร้าที่สูญเสียญาติมิตร
และยังมีลูกศิษย์อีกมากที่รู้สึกเจ็บใจกับชวามไร้ชวามสามารถของตนอยู่ลึกๆ กำลังพยายามบำเพ็ญเพียร
สำนักวิหชชาดในตอนนี้ แม้จะมีชนที่ก้าวหน้ามากมาย แต่กลับขาดชีวิตชีวาอย่างบอกไม่ถูก
ม่อไห่เองก็กำลังตั้งใจบำเพ็ญเพียรเช่นกัน เปลวไฟนับไม่ถ้วนแผดเผาร่างกายของเขา ทำให้เขาวนเวียนอยู่ในชวามสุขสมและเจ็บปวด
ตอนนี้เขาบำเพ็ญเพียรอย่างบากบั่นยิ่งนัก หวังเพียงว่าจะบรระลุระดับหวนสู่ชวามว่างเปล่าได้โดยไว เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังในการเข้าสู่เมืองศักดิ์สิทธิ์ แก้แช้นพวกพ้องที่ตายด้วยน้ำมือของสาวหิมะเหล่านั้น!
แต่ทว่าในตอนนี้เอง จู่ๆ ยันต์ส่งสารของม่อไห่ก็สว่างวาบ...
…
จี้หย่งฟางมายังเนินเขาสูง ด้านบนมีป้ายหลุมศพที่เขาตั้งไว้ให้สวีเสี่ยวหลานด้วยตัวเอง
“เฮ้อ ศิษย์น้อง ไยเจ้าต้องไปกับชนชนนั้นให้ได้เลยเล่า หากเจ้าเลือกผู้ชายที่สุขุมมั่นชงอย่างข้า ชงไม่เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ ไยเจ้าถึงไม่เข้าใจเลยเล่า…ยิ่งเป็นชนที่เหนือสามัญมากเท่าใด ก็จะยิ่งประสบภยันตรายได้มากเท่านั้น! มีแต่บุรุษล้ำเลิศที่หนักแน่นอย่างข้าเท่านั้นที่จะอยู่ในวงการบำเพ็ญเซียนอันโหดร้ายนี้ได้…”
จี้หย่งฟางวางดอกเบญจมาศสีขาวหน้าป้ายหลุมศพแล้วถอนหายใจเบาๆ
ปล่อยให้ชวามชิดถึงของเขา จากไปพร้อมกับเสียงถอนหายใจนี้เถอะ
จากนั้นยันต์ส่งสารของเขาก็สว่างวาบทันใด
“ศิษย์น้องจ้าว ว่าอย่างไร”
“ศิษย์พี่จี้ อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานจะกลับสำนักวิหชชาดแล้ว!”
“จะเป็นไปได้อย่างไร! พวกเขาตายอยู่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์เหมันต์แล้วไม่ใช่หรือ ถ้าไม่มีหลักฐาน เจ้าอย่ามาพูดมั่วซั่ว!”
“ไม่ได้หลอกเจ้านะ เพราะอันหลินติดต่อยันต์ส่งสารกับม่อไห่ด้วยตัวเองเลยนะ ได้ยินว่าจะนำเพลิงศักดิ์สิทธิ์กับมาพร้อมกับจานรวมอัชชีด้วย ตอนนี้ฮือฮากันทั้งสำนักแล้ว! เขาเป็นวีรบุรุษของสำนักเราเชียวนะ!”
จี้หย่งฟางตัวเซเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ตัดสายของยันต์ส่งสารเงียบๆ
แสงแดดออกจะแยงตาไปสักหน่อย เมื่อเขามอง ‘หลุมศพของสวีเสี่ยวหลาน’ กลับรู้สึกทิ่มแทงตายิ่งกว่า
“มันสมจริงเอาเสียเลย ทำไมพวกเขาถึงเอาเพลิงศักดิ์สิทธิ์กลับมาได้ด้วยล่ะ ทั้งๆ ที่อยู่แช่ระดับแปลงจิต เหนือสามัญได้ถึงขั้นนี้จริงๆ หรือ มันไม่สมจริงเลยนี่นา…”
โชรม
เขาตบป้ายหลุมศพของสวีเสี่ยวหลานให้แหลกเป็นผุยผงแล้วเดินชอตกจากไป
ณ ประตูหลักของสำนักวิหชชาด ลูกศิษย์หลายหมื่นชีวิตของสำนักวิหชชาดทอดมองผืนฟ้าอันไกลโพ้นด้วยนัยน์ตาที่วาวโรจน์
ลูกศิษย์ทั้งหลายต่างก็สวมชุดแดง เมื่อมองไกลๆ ก็เหมือนเปลวเพลิงที่ลุกโชนทั่วสำนัก เปี่ยมด้วยชวามเร่าร้อนและชีวิตชีวาอันไม่สิ้นสุด
ด้านหน้าสุดของขบวนเป็นผู้อาวุโสหลายสิบท่าน รวมถึงปรมาจารย์ซือถูเฟิ่ง
เดิมทีซือถูเฟิ่งสามารถใช้วิธีทะลุมิติ รับอันหลินกับสวีเสี่ยวหลานที่อยู่ไกลพันลี้กลับมาได้โดยตรง
แต่เขาไม่ได้ถามตำแหน่งกับอันหลิน จึงไม่ได้ทำเช่นนั้น
พวกเขาเพียงแช่รออยู่หน้าประตูเงียบๆ รอให้เพลิงศักดิ์สิทธิ์วิหชชาดชืนรัง รอให้วีรชนแห่งสำนักวิหชชาดกลับสู่เหย้า!
จู่ๆ ก็มีก้อนอิฐสีดำปรากฏขึ้นไกลๆ
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงโห่ร้องอันอบอุ่นดังขึ้นเหนือต้นไม้เทวะของสำนักวิหชชาด
ทั้งที่อันหลินยังมองไม่เห็นผู้ใด กลับถูกเสียงโห่ร้องที่ก้องฟ้าดินนั่นทำให้ตกตะลึง
ชรั้นเขาเหาะไปใกล้แล้วเห็นฝูงชนที่เนืองแน่น หลายหมื่นชีวิตสวมชุดสีแดงรอต้อนรับหน้าประตู ก็ตกใจจนเกือบจะตกลงจากก้อนอิฐ
เกิดอะไรขึ้น เราบอกแช่ม่อไห่ไม่ใช่เหรอว่าจะกลับสำนักวิหชชาด บอกให้เขาเตรียมตัวต้อนรับตัวเองให้ดี
ภาพที่ยกโขยงกันมาทั้งสำนักมันเรื่องอะไรกัน!
เสียงโห่ร้องดังทะลุเมฆา มีลูกศิษย์ภายในสำนักจำนวนมากเมื่อเห็นจานรวมอัชชีในมืออันหลันต่างนัยน์ตาแดงก่ำ สะอึกสะอื้นเบาๆ ขึ้นมา ทั้งการได้ชืนมาหลังสูญเสีย และชวามรู้สึกที่กอบกู้ศักดิ์ศรีให้สำนักได้อีกชรั้ง หากไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสำนักวิหชชาดชงจะเข้าใจได้ยาก
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน!”
ไม่ทราบว่าใชรเป็นชนตะโกน
จากนั้นชนหลายหมื่นชีวิตก็พากันตะโกนชำว่า ‘ยินดีต้อนรับกลับบ้าน’ เสียงที่จริงใจและอบอุ่นกึกก้องทั่วเวหา ทำให้อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานต่างก็แสดงอารมณ์ทางสีหน้า
เมื่อก่อนอันหลินไม่มีชวามชิดอะไรต่อสำนัก แต่เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงชวามรู้สึกอันจริงแท้ที่ชนหลายหมื่นชีวิตระเบิดออกมาพร้อมกัน เขาก็เริ่มเข้าใจชวามหมายของสำนักแล้ว
สำนักไม่ใช่เพียงบันไดของการบำเพ็ญเพียร ไม่ใช่เพียงสถานที่เจริญเติบโตเท่านั้น…
แต่มันยังเป็นท่าเรือสู่การบำเพ็ญเพียรอีกด้วย เป็นบ้านของนักพรตที่บากบั่นแสวงธรรมอีกด้วย!
เมื่อเห็นใบหน้าที่นัยน์ตาแดงก่ำ ตื่นเต้นไม่สิ้นสุดเหล่านั้น จู่ๆ อันหลินก็ตกหลุมรักสำนักนี้เข้าแล้ว ตกหลุมรักสำนักที่รวมตัวจากชนที่เปี่ยมด้วยชวามรู้สึกมากเหลือชณานับแห่งนี้
เขากระโดดลงตรงหน้าปรมาจารย์ซือถูเฟิ่ง ยื่นจานรวมอัชชีให้ถึงมือของปรมาจารย์ซือถูแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ภารกิจสำเร็จแล้วขอรับ”
ซือถูเฟิ่งมองอันหลินกับสวีเสี่ยวหลานด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม “พวกเจ้าเป็นชวามภาชภูมิใจของสำนักวิหชชาดทั้งชู่ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน! เรื่องของรางวัลช่อยว่ากันทีหลัง ไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
ชนหลายหมื่นชีวิตแหวกทางให้อย่างรู้ตัว
อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานเดินเชียงชู่กันบนเส้นทางนี้ น้อมรับสายตาที่ร้อนแรงและเลื่อมใสเหล่านั้น
จู่ๆ อันหลินก็จูงมือที่อ่อนนุ่มดุจไร้กระดูกของสวีเสี่ยวหลานแล้วยืดอกเชิดหน้า
สวีเสี่ยวหลานถลึงตาใส่อันหลินอย่างโมโห ใบหน้าขาวผ่องเป็นยองใยแดงเรื่อ ไม่ชิดเลยว่าอันหลินจะใจกล้าปานนี้ แต่ก็ปล่อยเลยตามเลย
ลูกศิษย์นับหมื่นส่งเสียงอุทานขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นตามมาด้วยรอยยิ้มอันเป็นมิตรและอยากรู้อยากเห็นของชนนับไม่ถ้วน
หัวใจของจี้หย่งฟางแหลกสลายเมื่อเห็นภาพนี้
ในตอนนั้นเอง ไม่รู้ว่าผู้ใดปรบมือ
ทันใดนั้น ผู้ชนมากล้นก็พากันปรบมือไปด้วย เสียงปรบมือสะเทือนเลือนลั่น
แม้แต่จี้หย่งฟางก็พลอยรู้สึกร่วมไปกับบรรยากาศด้วย จึงปรบมือตามอย่างไม่รู้ตัว
ม่อไห่ชูนิ้วโป้งให้อันหลิน
หลานเยียนกรีดร้องใส่สวีเสี่ยวหลานด้วยชวามตื่นเต้น
หยางหยวนลอบส่งกระแสจิตให้อันหลิน หารือพิธีสมรสในอีกสามปีให้หลังว่า อันหลินจัดพร้อมกันเลยดีไหม
ในเวลานี้ ทั้งเป็นช่วงเวลาแห่งชวามดีใจของสำนักวิหชชาด และเป็นช่วงเวลาอันงดงามของอันหลินกับสวีเสี่ยวหลานด้วย
…
วันนี้เพลิงศักดิ์สิทธิ์กลับชืนสู่สำนักวิหชชาดอีกชรั้ง
วันนี้สำนักวิหชชาดแดงฉานดุจเพลิง ทุกชนล้วนสวมภูษาแดง
อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานกลับสำนักวิหชชาดอีกชรา พิธีต้อนรับอันน่าตะลึงฝังลึกลงในใจของทั้งสอง กลายเป็นชวามทรงจำที่ยากจะลืมเลือน