ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 463 กระจกวิเศษเอ๋ย...
ผู้อาวุโสจูมองคันฉ่องวิหคชาดที่ถูกจองจำภายในค่ายกลไอออน ใบหน้าก็อดกระตุกไม่ได้ ต้องได้รับความกระทบกระเทือนขนาดไหนถึงคิดวิธีที่อหังการแข็งกร้าวเช่นนี้ได้นะ
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย แต่ก็ประสานอินให้คันฉ่องวิหคชาดยอมรับอันหลินอยู่ดี
ค่ายกลสีขาวปรากฏเหนือผิวคันฉ่องวิหคชาด คันฉ่องวิหคชาดสั่นสะเทือนแล้วเริ่มหลบหนีไปไกล!
โครม คันฉ่องวิหคชาดชนกับค่ายกลป้องกันไอออนจนเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น
“อย่าคิดจะหนี!” อันหลินตะโกนลั่นแล้วพุ่งตัวออกไป
คันฉ่องวิหคชาดตกใจจนหนีไปอีกทางทันที แต่ค่ายกลป้องกันไอออนปกคลุมรอบด้านแล้ว มันพุ่งชนค่ายกลป้องกันอีกครั้งจนหน้ามืดตาลาย
แม้คันฉ่องวิหคชาดจะว่องไว แต่พลังไม่เพียงพอ ทลายม่านกำบังของค่ายกลป้องกันไม่ได้
ด้วยเหตุนี้อันหลินกับคันฉ่องวิหคชาดจึงไล่ล่ากันในค่ายกลป้องกันอย่างบ้าคลั่ง
สุดท้ายอันหลินก็ทับคันฉ่องวิหคชาดแล้วหัวเราะชั่วร้าย “หึๆ เจ้าหนีไม่พ้นเงื้อมมือของข้าหรอก ยอมรับข้าเป็นเจ้าของแต่โดยดีเถอะ!”
คันฉ่องวิหคชาดสั่นเทา
“ทำไมข้ารู้สึกว่าอันหลินเหมือนตัวร้ายปานนี้เล่า…” ผู้อาวุโสจูพึมพำเมื่อเห็นภาพนี้
สวีเสี่ยวหลานคลึงหว่างคิ้ว ทนมองไม่ค่อยได้
อันหลินไม่พูดพร่ำทำเพลง เริ่มใช้พลังสยบคันฉ่องวิหคชาด แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกพลังที่ยิ่งใหญ่ขัดขวาง ทำให้เขาสยบไม่ได้
“ฮึ่ย! ช่างเป็นคันฉ่องที่ดื้อรั้นเสียจริง ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นสักหน่อย!”
“วิชาญาณทิพย์!”
ลำแสงสีขาวฉายวาบในดวงตาอันหลิน ข้อมูลของคันฉ่องวิหคชาดถ่ายทอดมายังสมองของอันหลิน
‘คันฉ่องวิหคชาด เป็นคันฉ่องที่สัตว์เทพวิหคชาดสร้างจากกระดูกของอสูรวิหคเหมันต์ฟ้าเลือน มีความรู้ สัญชาตญาณและพลังพลิกจักรวาล หวาดกลัววิหคชาดอย่างยิ่ง หากต้องการสยบจำต้องหย ยดเลือดที่แฝงพลังวิหคชาดของท่าน’
อันหลินอ่านข้อมูลเหล่านี้แล้วตกตะลึง
เขาเงยหน้ามองสวีเสี่ยวหลานกับผู้อาวุโสจู พูดอย่างตื่นเต้นราวกับต้องการยืนยันอะไรบางอย่าง “ถึงว่า…ถึงว่าคันฉ่องวิหคชาดกลัวข้าขนาดนี้ ที่แท้มันก็กลัวพลังวิหคชาดในร่างกาย ยของข้านี่เอง! อาวุธดั้งเดิมวิหคชาดก่อนหน้านี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ข้าเป็นที่รังเกียจ แต่วิหคชาดต่างหากที่เป็นที่รังเกียจ!”
ผู้อาวุโสจูกะพริบตาปริบๆ ฟังแล้วดูจะมีเหตุผลอยู่บ้างเหมือนกัน
สวีเสี่ยวหลานพูดอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “แต่…ในกายข้าก็มีสายเลือดวิหคชาดเหมือนกันนะ แต่ทำไมกำไลวิหคชาดไม่กลัวข้าเล่า”
เปรี้ยง
เหมือนมีสายฟ้าเส้นหนึ่งฟาดเปรี้ยงจนอันหลินที่กระปรี้กระเปร่างงเป็นไก่ตาแตก
นั่นน่ะสิ ทำไมไม่กลัวสวีเสี่ยวหลานล่ะ
ทำไมถึงกลัวเรา ทำไมต้องทิ้งเรา
ความตื่นเต้นก่อนหน้านี้สลายหายไป จู่ๆ อันหลินก็รู้สึกว่าร่างกายเย็นวาบ...
คนอื่นต่างก็มีสมบัติลอยมาให้เลี้ยงดูด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่เขาประสบพบเจอมักจะเป็นสมบัติที่วิ่งหนีตนอย่างรังเกียจ…
“กินเลือดของข้า!”
เขาตะโกนเสียงกร้าวโดยพลัน ปล่อยเลือดสีทองออกมาแล้วหยดลงบนคันฉ่องวิหคชาด
ไม่สนเรื่องที่เป็นที่รังเกียจแล้ว จะสนใจมากมายไปทำไม!
ถ้าหากว่าชอบจริงๆ ยึดครองอย่างเผด็จการก็สิ้นเรื่อง!
เลือดสีทองหยดลงบนผิวคันฉ่องวิหคชาด ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เลือดซึมลงไปในคันฉ่อง แสงสีขาวเริ่มไหลเวียนเหนือคันฉ่องแล้วหายไป
บัดนี้อันหลินสัมผัสได้ถึงสายสัมพันธ์บางอย่าง มันเป็นสายสัมพันธ์ที่ยอมรับและสยบอาวุธได้สำเร็จ
เขาพรูลมหายใจเบาๆ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มโล่งใจ ฉวยคันฉ่องวิหคชาดขึ้นแล้วยิ้ม “เรียบร้อย! หนีแล้วมีประโยชน์อะไร ตอนนี้ก็กลายเป็นของของข้าอยู่ดี! ตอนนี้ข้าเป็นเจ้านายของเจ้า! เข้าใจหรือยัง หือ!”
ผู้อาวุโสจู “…”
สวีเสี่ยวหลาน “…”
ได้รับแรงกระทบกระเทือนทางจิตใจแบบใดกันถึงเอ่ยวาจาเช่นนี้กับคันฉ่องบานหนึ่งได้
คันฉ่องวิหคชาดเป็นคันฉ่องทรงกลมที่มีกรอบสีแดง ผิวสีน้ำเงิน รูปลักษณ์งามวิจิตรอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้มันมีขนาดใหญ่เท่าหน้าคน ตอนนี้ถูกอันหลินจัดการจนเหลือขนาดเท่าฝ่ามือแล้ว
ผู้อาวุโสจูกระแอมเบาๆ “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองต่างก็ได้อาวุธดั้งเดิมที่ตนหมายปองแล้ว เช่นนั้นตอนนี้ก็ออกจากหอนภาขาวได้แล้ว”
อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานออกจากหอนภาขาวด้วยความพึงพอใจ
ของรางวัลที่ดีที่สุดที่สำนักวิหคชาดสามารถให้ทั้งสองได้ในตอนนี้ก็คืออาวุธดั้งเดิมวิหคชาด ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่าสำนักให้ความสำคัญกับทั้งสองมากเพียงใด
อีกทั้งอันหลินยังได้ตำแหน่งผู้อาวุโสเกียรติยศอีกด้วย ปกติหากไม่มีภารกิจใด สามารถลอยชายได้ตามสบาย เพียงแต่ยามเกิดเหตุใหญ่ในสำนัก มีหน้าที่ต้องปฏิบัติการเพื่อสำนัก
เขาถือป้ายอาญาสิทธิ์ผู้อาวุโสไปรับเงินเดือนปีนี้ที่หอผู้อาวุโส มีทั้งสิ้นสามแสนหินวิญญาณ สำหรับคนทั่วไปแล้วเงินพวกนี้อาจถือว่าเป็นจำนวนมหาศาลแล้ว แต่เป็นเพียงซาลาเปาสามร้ อยเข่งสำหรับเขาเท่านั้น…
หลังรับเงินเดือนเสร็จ สวีเสี่ยวหลานก็พาอันหลินไปเที่ยวชมเขตหวงห้ามทั้งหลายของสำนักวิหคชาดรอบหนึ่ง รวมถึงเขตหวงห้ามระดับผู้อาวุโสบางส่วนด้วย นางอธิบายสรรพคุณการบำเพ็ญเพียร ของเขตหวงห้ามเหล่านั้นอีกด้วย เล่นเอาอันหลินคันในใจยุบยิบ อยากจะอยู่บำเพ็ญเพียรที่สำนักวิหคชาดเสียเลย
การบรรลุมรรคาในเขตหวงห้ามไม่มีประโยชน์สำหรับเขา แต่เขตหวงห้ามที่สามารถสฤษฎ์พลังเพลิงในกายบางส่วนกลับเป็นประโยชน์กับเขาอย่างใหญ่หลวง เขาครุ่นคิดแล้วตัดสินใจว่าหลังบรรลุระดับ บแปลงจิตขั้นปลายแล้ว จะลองไปผจญภัยที่สะพานหมื่นเพลิงอันอันตรายที่สุดของสำนักวิหคชาดสักหน่อย ได้ยินว่าหากผ่านไปถึงเป้าหมายจะมีสมบัติพิเศษและโอสถที่เหมาะสมกับผู้ทดสอบ
ระหว่างทางกลับ อันหลินมองกำไลบนข้อมือของสวีเสี่ยวหลานแล้วพูดอย่างฉงนใจว่า “กำไลของเจ้างามเหลือเกิน ผู้อาวุโสจูไม่ได้แนะนำอะไรมากนัก เจ้ารู้สรรพคุณของมันแต่แรกอยู่แล้วใช่ไ ไหม”
สวีเสี่ยวหลานเขย่าข้อมือที่ขาวราวหิมะ กำไลข้อมือสีแดงเพลิงเปล่งประกายแสงสว่างไสวภายใต้แสงอาทิตย์ “กำไลวิหคชาดมีคุณสมบัติคุ้มกันที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง มันเป็นอาวุธดั้งเดิมที่ท ท่านแม่ของข้าใช้ก่อนตาย หลังเจ้าของเสียชีวิต อาวุธดั้งเดิมวิหคชาดจะถูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์เรียกขาน ข้ามมิติกลับคืนสู่หอนภาขาว เมื่อข้าได้พบมันอีกครั้งย่อมต้องการให้มันอยู่ข้ างกาย”
อันหลินชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดของสวีเสี่ยวหลาน
ถึงว่าสวีเสี่ยวหลานไม่เคยพูดถึงแม่ของตัวเอง ที่แท้ก็ล่วงลับไปแล้ว…
เขาสัมผัสกลิ่นอายบางอย่างได้จากคำพูดของสวีเสี่ยวหลาน กำลังจะอ้าปากพูด
ขณะนั้นเองสวีเสี่ยวหลานก็พูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องพวกนี้เลย เพราะจำต้องมีความสามารถมากพอถึงจะมีสิทธิ์แตะต้อง”
อันหลินพยักหน้า เขารู้ว่าสวีเสี่ยวหลานไม่อยากให้ตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องนั้นไวเกินไป
ไม่นานเขาก็กลับมาถึงห้องพัก หยิบคันฉ่องวิหคชาดออกมาอีกครั้ง
คันฉ่องวิหคชาดเป็นอาวุธที่สัตว์เทพวิหคชาดสร้างเองกับมือ พลังของมันต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ ควรค่าให้ศึกษา
อันหลินวางคันฉ่องลงบนโต๊ะ ใช้กระแสจิตให้มันกลายเป็นกระจกกลมขนาดเท่าใบหน้าคนทั่วไป
คันฉ่องวิหคชาดทั้งวิ่งได้ สั่นได้ ขัดขืนได้ จะเห็นได้ว่ามันเป็นคันฉ่องที่มีปัญญาอย่างมาก
อันหลินมองคันฉ่องบานนี้แล้วพูดอย่างสนเท่ห์ว่า “กระจกวิเศษเอ๋ย…กระจกวิเศษ…ได้ยินว่าเจ้ามีปัญญาอย่างยิ่ง มากด้วยความรู้ มีคำถามใดก็ถามเจ้าได้ทั้งนั้นใช่หรือไม่”
จู่ๆ ก็มีตัวอักษรที่ก่อตัวจากเกล็ดหิมะฉายบนคันฉ่องสีน้ำเงิน
‘นายท่าน ข้าเป็นคันฉ่องวิหคชาด ไม่ใช่กระจกวิเศษ ส่วนคำบรรยายอื่นๆ ที่ท่านว่านั้นถูกต้องแม่นยำ!’
อันหลินพูดอย่างประหลาดใจว่า “ไม่! ข้าเป็นเจ้านายของเจ้า ข้าบอกว่าเจ้าเป็นกระจกวิเศษ เจ้าก็คือกระจกวิเศษ เข้าใจไหม! กระจกวิเศษน้อยที่น่ารักของข้า”
ผิวคันฉ่องฉายตัวอักษรว่า ‘ไม่เข้าใจ!’
“จองหองจริงๆ ไม่เป็นไร ข้าค่อยๆ สั่งสอนได้” อันหลินหัวเราะหึๆ “เจ้าพูดได้ไหม”
ผิวคันฉ่องฉายตัวอักษรบรรทัดหนึ่งว่า ‘ได้ แต่เขียนเอาประหยัดพลังงานกว่าพูด’
อันหลินตื่นเต้น “เจ้าลองพูดสักคำ ข้าขอฟังหน่อยว่าเจ้าเป็นสาวน้อยหรือชายฉกรรจ์”
ผิวคันฉ่องฉายตัวอักษรบรรทัดหนึ่งว่า ‘เจ้าบอกให้ข้าพูด ข้าก็ต้องพูดหรือ เช่นนั้นข้าจะไร้เกียรติมากน่ะสิ’
อันหลินคิดว่าศักดิ์ศรีของตนถูกย่ำยี จึงหัวเราะเหอะๆ “ไม่พูดใช่ไหม ข้าจะโยนเจ้าใส่กองขยะ”
“แม่-” เสียงกังวานอ้อแอ้ดังขึ้น
อันหลินทำหน้าพึงพอใจ