ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 467 การรวมตัวของมิตรสหาย
อันหลินกลับมายังสำนักที่คุ้นเคย หวนคืนสู่บ้านพักที่อบอุ่นอีกครั้ง
เขาไม่คิดเลยว่าการไปสำนักวิหคชาดกับสวีเสี่ยวหลานครั้งนี้จะมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายปานนี้
ครั้งนี้ออกเดินทางเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่าเต็มๆ รองผู้อำนวยการอวี้หัวพอรู้ความเป็นมาของเรื่องราวคร่าวๆ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ว่าอะไรกับการขาดเรียนหนึ่งเดือนกว่ามากนัก
กลับเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับสหายบางส่วนที่เป็นห่วงอันหลินแทบแย่ มีทั้งข่าวการเสียชีวิต ทั้งคืนชีพกะทันหัน…เล่นเอาหัวใจของพวกเขาแทบวายแล้ว อันหลินกลับสำนักวิหคชาดก่อนหน้านี้ ใช้เวลาแจ้งว่าปลอดภัยผ่านยันต์ส่งสารตั้งครึ่งวันเต็ม
เมื่อทราบการกลับมาของอันหลินกับสวีเสี่ยวหลาน เซวียนหยวนเฉิงกับพวกซูเฉี่ยนอวิ๋นก็มาถึงบ้านพักของอันหลินอย่างอดรนทนไม่ไหว อยากมาชื่นชมทั้งคู่ที่ฟื้นคืนชีพสักหน่อย
สวีเสี่ยวหลานเป็นฝ่ายรินชาให้ทุกคนด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ใบหน้างดงามเจือความนิ่งสงบอันไร้ราคี
หลิวเชียนฮ่วนจ้องสวีเสี่ยวหลานไม่วางตา ปากสีแดงอิงเถา[1]เผยอช้าๆ ใบหน้าค่อยๆ ฉายความตกตะลึง “ศิษย์น้องเสี่ยวหลาน ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่…ไยข้ารู้สึกพลังยุทธ์ของเจ้าสูงกว่าข้าเล่า บรรลุระดับแปลงจิตแล้วหรือ”
“ศิษย์พี่หลิวอย่าพูดเป็นเล่นไป ในศึกแห่งอิสรภาพนางยังอยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลาย ตอนนี้เพิ่งผ่านไปเท่าใดเอง จะข้ามขั้นจากกึ่งแปลงจิตไปบรรลุระดับแปลงจิตได้อย่างไร” สวีเสี่ยวหลานยังไม่ทันตอบ ศิษย์พี่ถังซีเหมินก็ส่ายหน้าพลางพูดยิ้มๆ
“นั่นสิ ใช่ว่าทุกคนจะวิปริตเหมือนสหายอันหลิน ท่านคงจะคิดไปเอง” ซูเฉี่ยนอวิ๋นก็เอ่ยด้วยเสียงที่นุ่มนวลเช่นกัน
สวีเสี่ยวหลานได้ฟังก็พยักหน้า “ใช่แล้ว ข้าบรรลุระดับแปลงจิตแล้ว”
“พรืด…” ถังซีเหมินสำลักน้ำชาทันที
หลิวเชียนฮ่วนพยักหน้าอย่างรู้อยู่แล้ว “ข้าว่าแล้วเชียว กลิ่นอายแบบนี้ไม่ผิดแน่…”
ถังซีเหมิน ซูเฉี่ยนอวิ๋นกับเซวียนหยวนเฉิงลืมพูดลืมจากันแล้ว ต่างก็มองสวีเสี่ยวหลานด้วยความตะลึง ราวกับอยากมองอะไรให้ชัดเจน ประหนึ่งว่าต้องยืนยันอะไรบางอย่าง
“ใช่แล้ว ตอนนี้เสี่ยวหลานบรรลุระดับแปลงจิตขั้นต้นแล้ว” อันหลินพยักหน้ายืนยัน โจมตีสหายทุกคนที่อยู่ตรงนี้พร้อมกันทีเดียว ทำลายจินตนาการของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
“ข้านึกว่า…มีแค่อันหลินที่วิปริตเสียอีก ตอนนี้มีสวีเสี่ยวหลานเพิ่มมาอีกคนแล้ว ศิษย์พี่อย่างข้าคนนี้กลับถูกพวกเขาแซงไปเสียแล้ว หึๆ…” ถังซีเหมินเช็ดน้ำชาตรงมุมปากแล้วทอดมองดวงจันทร์นอกหน้าต่าง ทั้งกลมทั้งใหญ่ รู้สึกว่าตัวเองช่างน่ารัก
เซวียนหยวนเฉิงก็ทำท่าเหมือนได้รับการกระทบกระเทือนเช่นกัน “เจ้าบรรลุระดับกึ่งแปลงจิตข้ายังรับได้ แต่เจ้ากลับบรรลุระดับแปลงจิตเสียแล้ว มัน…มันเร็วเกินไปกระมัง!”
“นั่นสิ ระยะนี้ข้าเพิ่งบรรลุระดับกึ่งแปลงจิตเอง สหายเสี่ยวหลานกลับบรรลุระดับแปลงจิตเสียแล้ว หรือเจ้าจะกระโดดข้ามระดับกึ่งแปลงจิตไปสู่ระดับแปลงจิตเหมือนสหายอันหลิน” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของซูเฉี่ยนอวิ๋นฉายความอยากรู้อยากเห็นอันแรงกล้า มองสวีเสี่ยวหลานด้วยใบหน้าของเจ้าหนูจำไม
เซวียนหยวนเฉิงได้ฟังก็เหมือนถูกดาบตำหัวใจ
ซูเฉี่ยนอวิ๋นก็บรรลุระดับกึ่งแปลงจิตแล้วหรือ มีแค่เราที่อยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายหรือ
ไม่สิ…ถังซีเหมินก็ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายเหมือนกัน…
เซวียนหยวนเฉิงเบนสายตามองถังซีเหมิน พบว่าถังซีเหมินกำลังเหม่อมองดวงจันทร์นอกหน้าต่าง
เซวียนหยวนเฉิง “…”
ไม่! เซวียนหยวนเฉิงหายใจหอบ หรือนายน้อยแห่งสำนักเซียนหมื่นชีวิตอย่างเราจะตกต่ำถึงขั้นต้องแข่งขันกับปลาเค็มอย่างถังซีเหมินแล้วหรือ!
ตอนนี้เซวียนหยวนเฉิงสิ้นหวังจน…
ในตอนนั้นเองอันหลินก็ตอบยิ้มๆ ว่า “สวีเสี่ยวหลานเดินไปทีละก้าว มีเพียงฝีเท้าไวไปสักหน่อยเท่านั้น เรื่องนี้ต้องย้อนเวลาไปตอนที่ข้ากับนางหวนกลับสำนักวิหคชาด…”
จากนั้นเขาก็เริ่มบอกเล่าประสบการณ์ในสำนักวิหคชาด ประสบการณ์ที่สาวหิมะมารุกราน
สงครามระหว่างสาวหิมะกับสำนักวิหคชาดไม่เพียงสะเทือนทั่วแดนจิ่วโจวเท่านั้น แต่ยังสะเทือนแผ่นดินบรรพกาลทั้งผืนไม่น้อยเลย
พวกเซวียนหยวนเฉิงก็รู้เหตุการณ์ของเรื่องนี้เพียงคร่าวๆ เท่านั้น ไม่มีโอกาสทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเมื่อได้ฟังเจ้าทุกข์บอกเล่าในตอนนี้ มันก็สนุกอย่างยิ่งเหมือนกัน
เพียงแต่อันหลินเล่าเรื่องที่ตนประสบภยันตราย สวีเสี่ยวหลานสละชีวิตช่วยตนเองเพียงไม่กี่คำเท่านั้น ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้เรื่องนี้มากเท่าใดนัก
สวีเสี่ยวหลานก็ตั้งใจฟังเงียบๆ ใบหน้าขาวผุดผ่องไร้มลทินประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ แลดูสุขสงบ
แม้ทุกคนในที่นี้จะได้ฟังเพียงถ้อยคำบอกเล่าคร่าวๆ ไม่กี่คำ แต่ก็สามารถจินตนาการถึงความเป็นไประหว่างนั้นได้ว่าอกสั่นขวัญแขวนปานใด และเจ็บปวดทุกข์ระทมปานใด
เซวียนหยวนเฉิงเงียบไปครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยว่า “นี่อาจจะเป็นในโชคร้ายยังมีโชคดีอยู่ที่ว่ากันกระมัง มีแค่การอยู่ในสภาวะที่สิ้นหวังเท่านั้นจึงจะสามารถแปรสภาพราวกับนิพพานเช่นนี้ได้…สหายสวีเสี่ยวหลาน ยินดีด้วยนะ!”
ทุกคนที่เหลือก็ทำหน้าชื่นชมเช่นกัน ต่างก็แสดงความยินดีกับสวีเสี่ยวหลานกันระนาว
สวีเสี่ยวหลานรับคำแสดงความยินดีจากทุกคนด้วยรอยยิ้มบางๆ สายตาที่มองอันหลินอ่อนโยนยิ่งขึ้น
สำหรับนางแล้ว ประสบการณ์ในครั้งนั้นจดจำไว้ในใจไม่มีลืมอย่างแท้จริง
การแปรสภาพไม่ใช่เพียงการแปรสภาพในด้านพลังยุทธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการแปรสภาพทางด้านจิตใจและมรรคาด้วย
และนางก็รู้ดีว่า ไม่ใช่ความทุกข์ทรมานที่ทำให้นางกำเนิดใหม่ แต่เป็นความยืนหยัดของอันหลินต่างหากที่ทำให้นางได้ชีวิตใหม่…
ซูเฉี่ยนอวิ๋นมองสวีเสี่ยวหลานที่บินสูงขึ้นเรื่อยๆ ในใจก็ลอบตัดสินใจว่าจะตามฝีก้าวของนางให้ทัน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซวียนหยวนเฉิง คนที่ได้รับการกระทบกระเทือนมากที่สุดก็คือเขา
เขาถูกสหายทั้งสองอย่างสวีเสี่ยวหลานกับซูเฉี่ยนอวิ๋นโจมตีกำลังสอง ไหนจะถูกความห่อเหี่ยวของศิษย์พี่ถังซีเหมินโจมตีทางอ้อมอีก ขืนยังไม่พยายามก็จะกลายเป็นคนอย่างศิษย์พี่ถังซีเหมิน...
หลังผ่านพ้นความเจ็บปวดและความสิ้นหวังแล้ว จิตใจอันฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูกก็ลุกโชนในใจเขา
หาญกล้าหลังรู้สำนึก! เขาจะบรรลุระดับกึ่งแปลงจิตภายในหนึ่งเดือนให้จงได้ ใช่ กักตัวบำเพ็ญ!
คืนนี้ได้รวมตัวกับมิตรสหายทั้งหลาย อันหลินจึงเข้าครัวทำข้าวผัดเนื้อด้วยตัวเอง
อาหารธรรมดามาก แต่กลับกลายเป็นไม่ธรรมดาเพราะกระทะก้นแบน...
ครึ่งหนึ่งแบ่งให้สัตว์เลี้ยง อีกครึ่งแบ่งปันกับผองเพื่อน
ข้าวผัดเนื้อจานนี้ทำเอาหมาป่าน้อยกินจนร้องไห้ แม้แต่ถังซีเหมินก็เหมือนเปิดประตูสู่โลกใบใหม่ เอ่ยปากสอบถามอันหลินต่อหน้าว่ารับลูกศิษย์ปรุงอาหารหรือไม่ แน่นอนว่าถูกอันหลินปฏิเสธต่อหน้าเช่นกัน
ทุกคนได้ใช้เวลายามค่ำคืนอย่างอบอุ่นและเรียบง่ายด้วยประการฉะนี้
วันต่อมา อันหลินเริ่มต้นชีวิตในรั้วสำนักที่ธรรมดาอีกครั้ง
เวลาบำเพ็ญเพียรในรั้วสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนสั้นนัก ดังนั้นเขาจึงเห็นคุณค่าของช่วงเวลามากเป็นพิเศษ
เขามอบซาลาเปาหนึ่งร้อยเข่งให้หยินสี่ และมอบวัสดุเฉพาะถิ่นของแดนศักดิ์สิทธิ์เหมันต์ให้เขาอีกกองใหญ่เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ
ของขวัญที่สูงค่าเกินไปเหล่านั้น ให้ตายอย่างไรหยินสี่ก็ไม่ยอมรับไว้ พร้อมกับบอกว่าต่อไปถ้าต้องการค่อยขอความช่วยเหลือจากอันหลิน
มันยิ่งทำให้อันหลินเห็นคุณค่าเพื่อนคนนี้ไปกันใหญ่ เขาเก็บบุญคุณไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ สาบานว่าวันหน้าหากมีกำลังจะชดใช้แน่นอน
จากนั้นชีวิตของอันหลินก็ขายซาลาเปา เข้าเรียน…ถ้าว่างเว้นก็ไปเที่ยวกับเซียนหญิงเสี่ยวหลานทุกวี่ทุกวัน
ตอนนี้อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานยังคงสถานะความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่คู่รัก
ระยะห่างจากการตกลงปลงใจเป็นคู่รักยังมีอีกเก้าสิบเก้าปี
[1] อิงเถา หมายถึง เชอร์รี