ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 468 การผสานอันยิ่งใหญ่ระหว่างฟิสิกส์และวิชาเซียน
- Home
- ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม
- ตอนที่ 468 การผสานอันยิ่งใหญ่ระหว่างฟิสิกส์และวิชาเซียน
เวลามักผ่านไปไวเสมอ ช่วงเวลาที่บำเพ็ญเพียรในรั้วสำนักผ่านไปอีกหนึ่งเดือนกว่าโดยไม่รู้ตัว
ซาลาเปาที่อันหลินขายพบเจอกับทางตัน ประสบปัญหาที่ซาลาเปาขายไม่หมดเป็นบางครั้ง
ผ่านมาสี่สิบกว่าวัน ทำเงินได้แค่สามล้านกว่าหินวิญญาณเท่านั้น น้อยมากจริงๆ…
เกิดนักเรียนคนอื่นได้ยินคำรำพันของอันหลิน ไม่แน่ว่าอาจจะบุกมาพังบ้านของเขาในพริบตาก็ได้
อืม ตอนนี้ทรัพย์สินของอันหลินทะลุสิบหกล้านแล้ว บรรลุระดับความมั่งคั่งที่แม้แต่ยอดฝีมือระดับหวนสู่ความว่างเปล่าก็ห่างไกลเกินคว้า แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น
เรื่องใหญ่ก็คือเสี่ยวหงทลายพันธนาการบางอย่างโดยไม่รู้ตัว พลังยุทธ์บรรลุระดับกึ่งแปลงจิตแล้ว หยั่งรู้เขตอาคมอันเป็นของมันในขั้นแรก
มันเป็นเขตอาคมที่ปกคลุมด้วยแสงสีทอง เสี่ยวหงก็คือดวงอาทิตย์ภายในเขตอาคม สามารถเรียกขานภิกษุที่สุภาพอ่อนโยนออกมาได้มากมาย ถุย! เรียกขานร่างแยกของทูตแห่งตะวันที่งดงามไร้ เทียมทานได้มากมายต่างหากเล่า!
ท่าทางสุดยอดมาก อย่างไรเสียอันหลินก็ไม่ค่อยเข้าใจโลกทางจิตวิญญาณของเสี่ยวหง รู้แค่ว่าพรสวรรค์ของมันน่าจะดีที่สุดในบรรดาสัตว์เลี้ยง
อันหลินมอบหยกโลหิตเทวะในแหวนมิติให้เสี่ยวหงเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เขตอาคม เสี่ยวหงยืนสังเคราะห์แสงบนหยกโลหิตเทวะทุกวัน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปีแล้วปีเล่า…
ต่างก็พูดว่าการแข่งขันและแรงกดดันจะส่งเสริมให้คนก้าวหน้า คำพูดนี้ไม่ผิดเลยสักนิด
เซวียนหยวนเฉิงลากลับไปเก็บตัวบำเพ็ญที่สำนักเซียนหมื่นชีวิตหลังได้รับการกระทบกระเทือนทันที
ด้วยเหตุนี้ หนึ่งเดือนผ่านไปแล้ว เขาก็ยังไม่ออกมา
เขาเคยบอกว่าจะเก็บตัวบำเพ็ญเพียรหนึ่งเดือน แต่ดูจากท่าทางของเขาในตอนนั้นแล้ว น่าจะไม่กลับสำนักหากไม่บรรลุ
สุดท้ายหลังเขาเก็บตัวบำเพ็ญเพียรได้เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน ก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ในที่สุดเขาก็ออกมาแล้ว!
เซวียนหยวนเฉิงก้าวออกจากแดนพิศวง เสื้อขาดรุ่งริ่ง เนื้อตัวดำเกรียม ใบหน้าหล่อเหลาดุจถ่านดำ
แต่นัยน์ตาของเขากลับสุกใสเป็นอย่างยิ่ง แถมยังเปล่งประกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อันหลินเมื่อทราบว่าพี่เฉิงกลับสำนักก็วิ่งไปต้อนรับด้วยความเริงร่า ปรากฏว่ากลับถูกพี่เฉิงลากไปประลอง
ครึ่งเค่อ[1]ต่อมา ทั้งสองก็กลับบ้านพักด้วยใบหน้าที่ไหม้เกรียม เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง…
จนบัดนี้อันหลินก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมพี่เฉิงที่สุภาพอ่อนโยนถึงหยั่งรู้เขตอาคมแบบนั้น ตัวเองหลงกลเขาชัดๆ ถึงได้ตอบรับการประลองพรรค์นั้น!
“คุณพระ พี่อัน เจ้าถูกระเบิดหรือ โฮ่ง!”
ต้าไป๋เบิกตากว้างทันทีที่กลับถึงบ้านพัก มองอันหลินที่ใบหน้าไหม้เกรียมด้วยความตกใจ
“อืม ถูกระเบิด” อันหลินพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ปฏิเสธ
“หลังนายท่านถูกระเบิดแล้วยังคงงามสง่ายิ่งนัก ในความอ่อนแรงเจือความองอาจ! บรู๊ว!” หมาป่าน้อยเดินวนรอบอันหลินแล้วประจบประแจงอย่างรู้งาน
ตอนนี้หมาป่าดาบขาวกลายเป็นหมาป่าน้อยขนสีขาวไปแล้ว มองอันหลินด้วยท่าทีเชื่องๆ
หลังจากที่ได้คลุกคลีมาสักระยัก มันก็รู้นิสัยใจคอของอันหลินแล้ว รู้ว่าอันหลินชอบสัตว์เลี้ยงตัวน้อยๆ หมาป่าสีขาวตัวเล็กก็สอดคล้องกับรูปแบบของกลุ่มสัตว์เลี้ยงด้วย จึงเริ่มส สนองความต้องการของคนอื่นแล้ว
อดพูดไม่ได้ว่า อันหลินชอบรูปแบบนี้มากจริงๆ
เขาลูบขนสีขาวของหมาป่าน้อยยิ้มๆ แล้วเอ่ยชมว่า “รู้ความ!”
หมาป่าน้อยเบิกดวงตาโตที่สุกใส แลบลิ้ม กระดิกหางแล้วทำหน้าว่าง่าย
ต้าไป๋เห็นดังนั้นก็เกิดความรู้สึกอันตรายขึ้นมาทันที ถูกสวีเสี่ยวหลานแย่งความโปรดปรานไปยังไม่พอ ตอนนี้ยังจะถูกหมาป่าหางใหญ่ตัวหนึ่งแย่งความโปรดปรานไปอีกหรือ มันหมายความว่า า…
นับจากนี้ไป จำนวนซาลาเปาต้าไป๋เมินของตนอาจจะถูกลดทอนลงงั้นหรือ!
ไม่ได้การ จะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด!
ต้าไป๋ใช้สมองทันที สุดท้ายก็มองอันหลินอย่างประจบประแจง “พี่อัน ช่วงนี้ข้าพบที่ดีๆ ในรั้วสำนัก เจ้าไปอาบน้ำสักหน่อย ข้าจะพาเจ้าไปดู โฮ่ง!”
“ที่ไหน” อันหลินถามอย่างสนเท่ห์
ต้าไป๋ยิ้มชั่วร้าย “ความลับ ตามข้าไปถึงที่นั่นเจ้าก็รู้เอง! โฮ่ง!”
ต้องบอกว่าคำพูดของต้าไป๋เรียกร้องความสงสัยใคร่รู้จากอันหลินได้
เขารีบอาบน้ำอย่างว่องไว เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสรรพ แล้วขี่ต้าไป๋เหาะออกจากบ้านพัก
ต้าไป๋พาอันหลินมายังภูเขาสูงแห่งหนึ่ง มันเป็นเขาสุริยันแดง ภูเขาที่สูงอันดับที่ห้าของสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียน
อันที่จริงเขาสุริยันแดงแห่งนี้ไม่มีความพิเศษอะไร ถ้านับความมีชีวิตชีวานั้นสู้เขาชมจันทร์ไม่ได้ ทิวทัศน์สู้ยอดเขาแสงมรกตไม่ได้ ความสูงชันเองก็สู้เขาผาหักไม่ได้ บางทีการที่ไม ม่มีอะไรพิเศษคงเป็นความพิเศษของมัน ด้วยเหตุนี้นักเรียนจึงมักจะชอบมาเดินเล่นที่ภูเขาลูกนี้
“เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม” อันหลินทำหน้างุนงง
“พาเจ้ามาชมทิวทัศน์น่ะสิ โฮ่ง!” ต้าไป๋หัวเราะหึๆ
อันหลินกวาดตามองรอบๆ ร่มไม้เขียวขจี ทอดมองไปไกลยังเห็นสิ่งปลูกสร้างของเซียนที่วิจิตรงดงามอีกด้วย ทิวทัศน์ไม่เลวเลยจริงๆ
อันหลิน “…”
“ต้าไป๋ เจ้าคิดว่าช่วงนี้อันหลินคนนี้ว่างมากใช่ไหม” อันหลินมองสุนัขขนสีขาวตรงหน้าแล้วถอนหายใจ “สุดท้ายเจ้าก็จองหองพองขน…”
“พี่อัน ที่นี่มีทิวทัศน์จริงๆ นะ เจ้าดูภูเขาลูกนั้นสิ! นั่นเขาอะไร โฮ่ง!” ต้าไป๋ชี้ภูเขาที่ไกลออกไปหลายลี้พลางพูดเสียงดัง
อันหลินมองเขาสูงอันไกลโพ้นแวบหนึ่ง “เขาชมจันทร์ไงเล่า ทำไมหรือ”
ต้าไป๋วาดอุ้งมือกลางอากาศ ก้อนเมฆสีขาวปรากฏตรงกลางระหว่างเขาสองลูก ชั่วขณะที่เมฆหมอกเปลี่ยนรูป ก็มีคลื่นลายน้ำก่อตัวกลางก้อนเมฆ
จากนั้นใจกลางของปุยเมฆก็มีภาพของทิวทัศน์ของเขาชมจันทร์สะท้อนออกมาประหนึ่งผิวกระจก
“คันฉ่องเมฆปรับความหนาแน่น ปรับมุมมองการมองเห็น ย่อขนาดของมุมมอง เพิ่งระดับความคมชัดของภาพ บดบังภาพหนึ่งด้าน…” เมื่ออุ้งมือของต้าไป๋วาดไปวาดมาเหมือนนักมายากล เมฆก้อนนั้น นก็ผสานเป็นหนึ่งเดียวกันปุยเมฆทั้งหลาย แลดูธรรมดายิ่งนัก
อันหลินมองเมฆก้อนนั้น ในที่สุดก็เบิกตากว้าง สูดหายใจเข้าดังเฮือก
ต้าไป๋ยิ้มชั่วร้ายอีกครั้ง “พี่อัน ครั้งนี้ช่วยบอกข้าทีว่าเจ้าเห็นอะไร”
“สระ…สระจันทรา!” อันหลินเริ่มพูดติดอ่างแล้ว แต่กลับเอ่ยด้วยความตื่นเต้นอย่างยิ่ง
“หึๆ ๆ…นี่เป็นน้ำพุร้อนที่เลื่องชื่อที่สุดในสำนักเชียวนะ จะมีนักเรียนหญิงมาแช่น้ำที่นี่ทุกคืนเลยนะ…ข้าปิดการมองเห็นให้เห็นแค่ด้านเดียว มองจากมุมมองของพวกนางมันจะเป็ นแค่ก้อนเมฆธรรมดาก้อนเดียว แต่ถ้ามองจากมุมมองของพวกเราแล้ว มันจะเป็นคันฉ่องที่มีความคมชัดสูง…” ต้าไป๋พูดอย่างครึ้มใจ
มันเชื่อว่าพี่อันต้องชอบทิวทัศน์อันนี้แน่นอน
เป็นอย่างที่คิด อันหลินมองต้าไป๋ด้วยความตะลึงแล้วเอ่ยปากอุทานว่า “รู้ศาสตร์คณิตฟิสิกส์เคมี ท่องไปทั่วหล้าก็ไม่หวั่น นี่เป็นการผสานระหว่างฟิสิกส์กับวิชาเซียนที่ยิ่งใหญ่. …ยอดไปเลย!”
เขาคิดว่าการแอบดูเหมือนเมื่อก่อนไม่มีคลาสเอาเสียเลย การแอบดูแบบนี้ต่างหากที่เป็นวิธีระดับไต้ซืออย่างแท้จริง!
“พี่อัน เจ้าชอบทิวทัศน์อันนี้หรือไม่ โฮ่ง!” มุมปากของต้าไป๋ยกขึ้นแล้วเอ่ยถาม
“ชอบ!” อันหลินมองต้าไป๋อย่างชื่นชม แสดงความนับถืออย่างสูงส่งต่อคนเก่าคนแก่
“ตอนนี้เรามารอให้รัตติกาลมาเยือนกันเถอะ โฮ่ง!” ต้าไป๋พูดอย่างกระหยิ่มใจ
จู่ๆ อันหลินก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ไม่สิ ตกกลางคืนแสงสว่างน้อยเกินไป จะเห็นภาพชัดเจนจากกระจกได้อีกหรือ”
ต้าไป๋พยักหน้า “ได้สิ ใช้วิชาแสงจันทร์เพิ่มแสงก็สามารถมองเห็นได้ ถือว่าใช้ได้เลย ข้าดูมาสามวันแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย โฮ่ง!”
อันหลินพยักหน้า จากนั้นก็ได้สติโดยพลัน
“ต้าไป๋…เจ้าบอกว่าดูมาสามวันแล้วหรือ ทำไมเพิ่งมาเรียกข้าเอาป่านนี้” อันหลินแสยะยิ้ม
ต้าไป๋ได้ฟังก็สะดุ้งโหยง รีบชี้แจงทันทีว่า “ข้า…ข้ามาสำรวจสถานที่ให้เจ้าล่วงหน้าก่อนไงเล่า! โฮ่ง!”
“เหอะๆ…สำรวจสถานที่แค่วันเดียวก็พอแล้วไม่ใช่หรือ สามวันมันหมายความว่าอย่างไร อีกอย่าง ถ้าเกิดเสี่ยวหลานไปแช่น้ำด้วย เจ้าก็กล้าดูงั้นหรือ!” ใบหน้าของอันหลินถมึงทึง จิตสัง งหารน่าหวั่นเกรง
“พี่อันเข้าใจผิดแล้ว! ทั้งๆ ที่สามวันนี้เสี่ยวหลานไม่ได้มาแช่น้ำเลยแท้ๆ! อีกอย่างพวกหลิวเชียนฮ่วนกับซูเฉี่ยนอวิ๋นก็ไม่ได้ไป ข้าต้าไป๋ก็สัญญาด้วยเกียรติของสุนัข จะไม่แอบดูคน นรู้จักเด็ดขาด! โฮ่งๆ!” ต้าไป๋อธิบายสุดชีวิต
“เลิกพล่ามได้แล้ว เอาหมัดข้าไปกินก่อน!” อันหลินตะโกนเสียงกร้าว
ปึกๆ…ปักๆ…ตึกๆ…ผลัวะๆ…
ผ่านมาครู่ใหญ่ ต้าไป๋ก็หน้าบวมฟกช้ำนอนแผ่กับพื้น นัยน์ตามีน้ำตาแห่งความคับข้องใจคลอหน่วย
“พี่อัน…ข้าต้าไป๋สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเจ้า ถ้าเกิดว่ามีทิวทัศน์งามๆ จะแบ่งปันเจ้าเป็นคนแรกเลย เจ้าต้องเชื่อข้านะ…โฮ่ง!” ต้าไป๋แสดงเจตนาอย่างน่าสงสาร
อันหลินไม่พูดไม่จา เพียงแค่มองก้อนเมฆสีขาวก้อนนั้น
ต้าไป๋เห็นดังนั้นก็พูดทันทีว่า “ในเมื่อพี่อันไม่ชอบ งั้น…งั้นข้าจะลบเมฆขาวทิ้งก่อน! โฮ่ง!”
“ช้าก่อน!” อันหลินออกปากห้าม
ต้าไป๋กะพริบดวงตาดำขลับปริบๆ “…”
“รอฟ้ามืดก่อน ข้าอยากชมทิวทัศน์สักเดี๋ยว”
อันหลินยืนมือไพล่หลังจ้องเขาชมจันทร์ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
ต้าไป๋ “…”
[1] เค่อ เป็นการบอกเวลา 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที