ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 486 โลกกว้างใหญ่ปานนั้น
“ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าสามารถดูดซึมพลังงานของหอศักดิ์สิทธิ์วิญญาณเข้าสู่ร่างกายได้”
เสียงกังวานไพเราะดังขึ้นปานนกกระจอกเพรียกพร้อง
อันหลินมองผลึกหินต้นกำเนิดที่กลายเป็นผุยผงสีขาวตรงหน้าแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ที่ที่พวกเราอยู่เรียกสิ่งนี้ว่าผลึกหินต้นกำเนิด ไม่ได้มีแค่ผลึกหินสีทองเท่านั้น แต่ยังมีสีขาว ส สีเขียว สีน้ำเงินและสีแดงอีกด้วย หากเจ้ายังมีของพวกนี้อีก นำมันมาแลกเปลี่ยนกับข้าได้”
ทีน่าส่ายหน้าหัวยิ้มๆ “ไม่มีแล้ว สิ่งที่ข้ารู้มา มีเพียงเมืองใจกลางของเราเท่านั้นที่มีของสิ่งนี้”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นข้าก็จะต้องไปจากที่แห่งนี้แล้ว” อันหลินพูดเสียงเบา
“จาไปหรือ ออก…ออกไปข้างนอกหรือ” ทีน่ามองอันหลิน สุ้มเสียงค่อนข้างมีจังหวะจะโคน
อันหลินพยักหน้าพูดว่า “ใช่แล้ว ออกไปท่องโลกภายนอกสักหน่อย โลกแห่งนั้นกว้างใหญ่กว่า”
“แต่ชายแดนของแผ่นดินเป็นดินแดนที่เหน็บหนาว คนที่เข้าไปไม่มีผู้ใดข้ามที่แห่งนั้นไปได้ เจ้าเข้าไปก็อาจจะแข็งตายได้!” ทีน่าไม่ได้บอกว่าอันหลินต้องตายเป็นแน่แท้ นั่นเป็นเ เพราะอันหลินแข็งแกร่งกว่าทุกผู้ทุกคนในแผ่นดิน
“เจ้าก็รู้ว่าเป็นเพียงความเป็นไปได้เท่านั้น ข้ามั่นใจในพลังของข้าอย่างมาก หากจะไม่ไปผจญภัยเพียงเพราะอาจจะมีอันตรายอยู่นั้น มันไม่ใช่ลักษณะของข้า”
อันหลินย่อตัวนั่งยอง แสงสายัณห์ยามอาทิตย์อัสดงปกคลุมเขาเป็นรัศมีหนึ่งชั้น
เขาก้มหน้ามองทีน่าแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “โลกกว้างใหญ่ปานนี้ หากว่าติดแหง็กอยู่ในสถานที่หนึ่งจะพลาดทิวทัศน์มากมาย ดังนั้นข้าจำต้องไปจากที่นี่”
ทีน่าเงยหน้ามองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า นัยน์ตาเปล่งประกายแสงสุกใสดุจลูกแก้ว
“เสี่ยวน่า ข้าไปจากที่นี่ก่อนละ” อันหลินลุกขึ้นอำลาแล้วร้องเรียกก้อนอิฐสีดำของตน
“เดี๋ยวก่อน!”
เสียงที่ไพเราะเสนาะหูของทีน่าดังขึ้นข้างหลัง
อันหลินเหลียวหลังแล้วพูดอย่างงุนงง “มีอะไรหรือ”
“ทิวทัศน์ที่เจ้าให้ข้าดูบนวัตถุสี่เหลี่ยมชิ้นนั้นเป็นของจริงหมดเลยหรือ” ทีน่ากำหมัดพลางถามด้วยเสียงที่ดัง
อันหลินหัวเราะเบาๆ “ของจริงทั้งนั้นเลย เรื่องนี้ไม่จำเป็นจะต้องหลอกเจ้าหรอก”
“เช่น…เช่นนั้นเจ้าพาข้าไปด้วยได้หรือไม่” ทีน่าเม้มปาก นัยน์เนตรคู่งามจดจ้องอันหลิน
อันหลินชะงักงัน มองทีน่าอึ้งๆ เช่นกัน
“โลกกว้างใหญ่ปานนั้น ข้าก็อยากไปชมเช่นกัน ไปชมทิวทัศน์ที่ไม่เหมือนกัน ไปดูว่าโลกที่แท้จริงยอดเยี่ยมปานใดกันแน่!” ใบหน้าของทีน่าฉายความหนักแน่น แววตาแฝงความปรารถนาอันแรงกล้า อย่างยิ่งยวด
“แล้วเมืองใจกลางของเจ้า…” อันหลินอ้ำอึ้ง
“ข้าเห็นเมืองนี้แผ่นดินนี้มาหมื่นปีแล้ว ตอนนี้ข้าเพียงอยากไปจากที่นี่! ลูกผู้น้องของข้าความสามารถไม่เลว บรรลุระดับสุดยอดเทวะแล้ว นางสามารถสืบทอดตำแหน่งของข้าได้” ทีน่าพ พูด
ปล่อยปละละเลย ให้ลูกผู้น้องมารับกรรมต่อหรือ
อันหลินใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ได้ ข้าตกลงจะพาเจ้าไปด้วยกัน!”
“ขอบคุณนะยักษ์อันหลิน เจ้าช่างเป็นคนดีจริงๆ!” ทีน่ากระพือปีก สองแขนกางออกเป็นท่าทางจะสวมกอดแล้วพุ่งใส่แผงอกของอันหลินอย่างตื่นเต้น
แปะ
ร่างอรชรของทีน่าแนบอยู่บนหน้าอกของอันหลิน แสดงความขอบคุณด้วยอ้อมกอดของนางได้สำเร็จ
อันหลิน “…”
อันหลินก็อยากกอดเช่นกัน แต่เขากลัวว่าสองมือของตนจะตบทีน่าตาย แบบนั้นคงแย่แน่
“เช่นนั้นเจ้ารอสักครู่ ข้าจะไปมอบหมายธุระในเมืองใจกลางสักหน่อย!” ทีน่าพูดด้วยความตื่นเต้น
อันหลินพยักหน้ายิ้มๆ แล้วรออยู่ที่เดิม ศึกษาอาวุธเซียนของตนไปเรื่อยเปื่อย
ในตอนนั้นเอง ข่าวคราวที่ภูตปราชญ์หญิงยกตำแหน่งให้ลูกผู้น้องก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองใจกลางประหนึ่งพายุหมุน ประชาชนทั้งหมดในเมืองต่างก็ตะลึงงัน ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบน นี้ขึ้น
เบื้องบนขององค์กรเมืองใจกลางคัดค้านเรื่องนี้อย่างที่สุด
แต่ผู้แข็งแกร่งระดับปราชญ์ทั้งสองของเมืองใจกลางอย่างแมนเดลและแฮร์ริสกลับสนับสนุนเรื่องนี้สุดกำลัง บอกว่าทีน่ามีเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าต้องทำ อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้
ท่าทีของภูตปราชญ์หญิงก็เด็ดขาดอย่างยิ่ง ให้เมโลดี้ลูกผู้น้องสืบทอดอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษวันนั้นทันที พร้อมทั้งจัดพิธีราชาภิเษกให้นางด้วย
ท่ามกลางผู้คนหลายหมื่นชีวิตที่จับจ้อง ภายใต้การเป็นประจักษ์พยานของทีน่า เมโลดี้ชูกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นสูง แสงสีขาวพุ่งลงมาจากฟ้า
ณ ตอนนี้ สวรรค์ยอมรับ เมโลดี้กลายเป็นปราชญ์หญิงสมัยใหม่ของเผ่าภูตแล้ว
ราตรีกาล
ทีน่าที่ปลดเปลื้องอำนาจและเกียรติยศแล้วปรากฏตัวตรงหน้าอันหลินอีกครั้ง
ปีกของนางแผ่แสงสีทองจางๆ กลางท้องฟ้ายามรัตติกาล มองดูค่อนข้างงดงาม
กระโปรงยาวสีขาวพลิ้วไหว เหมือนบัวขาวที่ผลิบานกลางค่ำคืนยิ่งกว่า สวยงามเหนือสามัญ
“ยักษ์อันหลิน ปล่อยให้เจ้ารอนานเสียแล้ว ตอนนี้เราออกเดินทางได้แล้ว!” ทีน่ายิ้ม
อันหลินเรียกก้อนอิฐสีดำออกมาแล้วนั่งลงด้านบน ก่อนจะตบตำแหน่งข้างๆ “ขึ้นมา”
ทีน่ากางปีก ร่างกายกะพริบวาบไปอยู่บนหัวไหล่ของอันหลิน ใช้มือน้อยๆ ทึ้งเส้นผมของอันหลินแล้วพูดค่อยๆ ว่า “อยู่ตรงนี้แล้วกัน ยืนที่สูงเห็นได้ไกล”
อันหลิน “…”
ทั้งสองจึงเริ่มเหาะไปยังชายแดนของแผ่นดินท่ามกลางรัตติกาลด้วยประการฉะนี้
แผ่นดินผืนนี้ไม่ใหญ่จริงๆ อันหลินใช้เวลาเพียงสามชั่วยามก็ไปถึงชายแดนของแผ่นดินแล้ว
ณ ชายแดนของแผ่นดินเป็นดินแดนสีฟ้าผลึกน้ำแข็ง
แม้แต่อากาศที่ปลายขอบฟ้าก็เป็นสีฟ้าเช่นกัน
พวกมันตั้งตระหง่านกลางฟ้าดินดุจกำแพงสูง แบ่งแยกแผ่นดินผืนนี้
อันหลินไม่เห็นว่าปลายทางของชายแดนอยู่แห่งหนใด และไม่รู้เช่นกันว่าอากาศที่ส่องแสงสีฟ้าภายใต้รัตติกาลคืออะไร แต่กลับมองเห็นสิ่งมีชีวิตละแวกนั้นที่ทะเล่อทะล่าเข้าไปถูกแช่แข็ง เป็นรูปสลัก
อันหลินขบคิดแล้วก็นั่งขัดสมาธิกับที่
“อืม เป็นอะไรไป ไม่เข้าไปตอนนี้หรือ” ทีน่าพูดอย่างแปลกใจ
“เจ้าบอกว่าที่นี่เป็นดินแดนหนาวเหน็บไม่ใช่หรือ รอเวลาเที่ยงวันที่แดดแรงที่สุดแล้วค่อยเข้าไปแล้วกัน เช่นนั้นจะอบอุ่นกว่าหน่อย” อันหลินเอ่ยปากอธิบาย
ทีน่า “…”
ฟังแล้วก็คล้ายว่าจะมีเหตุผล
ทั้งคู่เริ่มนั่งคอยเงียบๆ อย่างเนิ่นนาน
ระหว่างนี้อันหลินยังหยิบกระทะก้นแบนกับซาลาเปาร้อยเข่งออกมานึ่ง สุกแล้วก็เก็บซาลาเปาใส่แหวนมิติ
ทีน่ามองขั้นตอนเหล่านี้ด้วยใบหน้าที่งุนงง ไม่รู้ว่าอันหลินกำลังทำอะไรกันแน่
ทว่ากลิ่นที่แผ่กระจายออกมาจากเข่งนึ่ง นางคิดว่ายั่วยวนใจอยู่มากเหมือนกัน
และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด จู่ๆ ดวงตาอันหลินก็เปล่งประกาย
เขาหยิบกระจกวิหคชาดออกมาแล้วเอ่ยถามว่า “กระจกวิเศษหนอ...กระจกวิเศษ ช่วยบอกข้าทีว่ามีวิธีดีๆ อะไรสามารถข้ามดินแดนแห่งความหนาวเหน็บได้บ้าง”
“ข้าไม่รู้หรอก...”
คำตอบของกระจกวิหคชาดสั้นกระชับอย่างยิ่ง
ผลัวะ อันหลินขว้างกระจกลงพื้นด้วยความโกรธ “เจ้ารอบรู้ไม่ใช่หรือ ทำไมทุกครั้งที่ข้าถามคำถามเจ้าถึงไม่รู้เล่า ข้าจะเอาเจ้าไปทำไม!”
“ไม่สิ มีคำถามหนึ่งที่ข้าให้คำตอบได้แล้วนั่นก็คือ…เจ้าไม่ใช่คนที่หล่อที่สุด!” เสียงที่อ่อนเยาว์ทว่าโกรธเกรี้ยวของกระจกวิหคชาดดังขึ้น
อันหลิน “…”
“โอ้โฮ มันคืออะไรหรือ ดูน่าสนใจจังเลย” ทีน่าบินไปอยู่เหนือกระจกที่อยู่บนพื้นด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความสนอกสนใจแล้วลูบกระจกที่เรียบเนียน
“สาวน้อย ข้าว่าหว่างคิ้วเจ้าเปลี่ยนจากแดงเป็นดำ เป็นลางร้ายอย่างมหันต์ ขอให้เจ้าอยู่ชายคนนี้ให้ไกลที่สุด เช่นนี้จึงจะปลอดภัย” กระจกวิหคชาดพูดอย่างฉะฉาน
มุมปากของอันหลินกระตุกยิกๆ “เจ้าบอกว่าเจ้าทำนายชะตาไม่เป็นไม่ใช่หรือ”
“ข้าไม่ทำนายชะตาให้เจ้าต่างหาก” กระจกวิหคชาดกล่าวตามความจริง
อันหลินรู้สึกว่าตนถูกกระจกเล่นงานแล้ว อยากจะทุบกระจกเหลือเกินจะทำอย่างไรดี
ไม่สิ! เมื่อครู่ก็เขวี้ยงไปทีหนึ่งแล้ว แต่ไม่แตก
วัสดุของกระจกดียิ่งกว่าที่จินตนาการไว้ จะทุบอีกสักครั้งดีไหม
ผลัวะ
พูดจริงทำจริง อันหลินขว้างกระจกวิหคชาดอีกครั้ง
มีตัวอักษรฉายบนผิวของกระจกวิหคชาดว่า ‘สามสิบปีก่อนชลธารอยู่ตะวันออก สามสิบปีให้หลังชลธารอยู่ตะวันตก อย่ารังแกกระจกเพราะยากจน!’
ผลัวะๆ ๆ
อันหลินขว้างทิ้งเป็นชุด แสยะยิ้มพูดว่า “เจ้าน่ะควรจะถูกสั่งสอน!”
…
พระอาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นยอดเขา มีพระอาทิตย์ทั้งสิ้นสองดวง
ดวงหนึ่งเป็นสีทอง อีกดวงเป็นสีแดง พวกมันราวกับเป็นสองพี่น้องกระโดดออกจากเส้นขอบฟ้าพร้อมกัน ลอยเด่นอยู่บนฟ้าสูง สาดแสงและความร้อนไปทั่วแผ่นดินอย่างไม่สิ้นสุด
อันหลินคิดว่ามันไม่สอดคล้องกับแรงโน้มถ่วงนี่นา ดวงอาทิตย์สองดวงนี้โคจรอย่างมั่นคงได้อย่างไร
ไม่นานก็ถึงเวลากลางวัน
ไอสีฟ้า ณ ชายแดนแผ่นดินเลือนรางไปไม่น้อยเลยจริงๆ และไม่รู้ว่าเพราะแสงแดดทำให้พวกมันไม่ชัดเจน หรือเลือนรางไปมากมายจริงๆ
อันหลินลุกขึ้นแล้วบิดขี้เกียจ ก่อนจะเอ่ยว่า “ออกเดินทาง!”