ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 501 ดินแดนพิศวงดินแดนแห่งความเอื่อยเฉื่อย
อันหลิน หลิวฉู่ฉู่ ทีน่า และหลิงอิ่งผ่านม่านแสงสีน้ำเงินไปยังดินแดนที่มีแสงสีเหลืองทองจางๆ และทันใดนั้นพวกเขาก็ถึงกับต้องตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
อันหลินสูดลมหายใจเข้าทางปากด้วยความทึ่ง นัยน์ตาทั้งสองข้างเบิกโต “โอ้!”
หลิวฉู่ฉู่อ้าปากเล็กน้อย พึมพำว่า “โอ้แม่เจ้า…”
หลิงอิ่งอึ้งจนหนวดสีขาวหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ นัยน์ตาสีน้ำเงินเบิกกว้างจนดูกลมโต
ทีน่าใช้มือป้องปาก กล่าวด้วยอาการเหม่อลอย “หอวิญญาณมหาปราชญ์เยอะมาก! ที่แท้…ที่เล่าขานกันว่าผานกู่เทพเจ้าผู้สร้างโลกเก็บหอวิญญาณมหาปราชญ์ไว้เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ…”
“นี่คือผลึกหินต้นกำเนิด ขอร้องล่ะเลิกเรียกว่าหอวิญญาณมหาปราชญ์เสียที ฟังแล้วน่าหงุดหงิด” อันหลินกล่าวพร้อมกับกลอกตามองบน
ถูกต้องสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขาคือผลึกหินต้นกำเนิดที่เกลื่อนกลาดไปทั่ว!
ห่างไปอีกร้อยเมตรบนลานกว้างสีขาวโพลน มีผลึกหินต้นกำเนิดจำนวนมากที่ผุดอยู่บนพื้นดินราวกับเป็นมวลพฤษา
เมื่อมองออกไป ผลึกหินต้นกำเนิดสีขาวมีอย่างน้อยสามร้อยกว่าก้อน ผลึกหินต้นกำเนิดสีเขียวมีสิบก้อน ผลึกหินต้นกำเนิดสีน้ำเงินมียี่สิบกว่าก้อน ผลึกหินต้นกำเนิดสีแดงที่สวยสดดุจดั งบุปผาสุกสกาวจับตาเป็นพิเศษมีเก้าก้อน นอกจากนี้แล้วก็ยังมีผลึกหินต้นกำเนิดสีทองอีกสามก้อนตั้งอยู่ที่ริมเสาหิน ส่องแสงสีเหลืองทองเรืองรองเปล่งประกายชวนหลงใหล
เมื่ออันหลินเห็นผลึกหินต้นกำเนิดสีทอง นัยน์ของเขาก็เปล่งประกาย เขาจะต้องคว้าผลึกหินต้นกำเนิดสีทองนี้มาให้ได้!
“นี่ พวกเจ้าดูสิ หงโต้วดูพิลึกๆ” จู่ๆ หลิงอิ่งก็พูดโพล่งขึ้นมา
เมื่อทุกคนได้ฟังดังนั้นก็มองยังเบื้องหน้า แท้ที่จริงแล้วหงโต้วยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขามาโดยตลอด แต่เพราะโดนผลึกหินต้นกำเนิดจำนวนมากที่ส่องแส่งสุกสกาวบดบังตา จึงมองข้ามการมีอ อยู่ของหงโต้วไปโดยปริยาย
ตอนนี้เห็นหงโต้วเจ้าหินถึกทึนอยู่ห่างจากพวกเขาไปเพียงระยะไม่กี่สิบเมตร ดูเหมือนว่ากำลังวิ่งล่อห้อตะบึงอย่างสุดกำลังไปยังผลึกหินต้นกำเนิดเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิม ทว่าลักษณะการวิ่งเช่นนี้ของหงโต้วในสายตาของพวกเขา กลับดูเชื่องช้าอืดอาดมาก คล้ายว่าการเคลื่อนตัวช้าลงกว่าหนึ่งพันเท่า…
มุมปากของอันหลินกระตุกเล็กน้อย เปล่งเสียงตะโกนดังขึ้นว่า “สหายหงโต้ว นี่เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ!”
ร่างของมนุษย์หินที่แข็งแกร่งกำยำสั่นเทิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็หันศีรษะมาด้วยความยากลำบากยิ่ง “ดิน...แดน...พิศวง…แห่ง…นี้…ไม่…ปกติ…”
สิ่งที่หงโต้วพูดนั้นยืดยาด เสียเวลาคนอื่นไปหนึ่งนาที
อันหลินกับหลิวฉู่ฉู่มองดูสภาพแวดล้อมโดยล้อมทั้งสี่ทิศ สุดท้ายสายตาของพวกเขาก็เหลือบไปเห็นร่องรอยสีทองจางๆ ที่เบื้องหน้าในระยะหนึ่งเมตร ร่องรอยสีทองนั้นมีลักษะคล้ายเส้นแบ่ง งเขตแดนระหว่างสองดินแดน
อันหลินยื่นมือไปยังเส้นแบ่งเขตแดนนั้น ทันใดนั้นเขารู้สึกได้ถึงความเชื่องช้าอืดอาด เป็นความรู้สึกที่น่าประหลาดยิ่ง ความคิดของเขาไม่ได้แปรเปลี่ยนเป็นเชื่องช้า แต่สัมผัสทั้งห้ ารวมทั้งพลังกายกลับเชื่องช้าชนิดอย่างมิอาจควบคุมได้
ไม่ใช่ความเชื่องช้าประเภทที่เกิดจากการโดนพลังสะกด แต่เป็นร่างกายเชื่องช้าลงตามสัญชาตญาณ เป็นความรู้สึกที่ราวกับว่านี่คือการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติซึ่งร่างกายควรจะเป็น…
“เป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก นี่คงจะเป็นพลังบางอย่างของกฎแห่งฟ้าดิน พลังของพวกเราไม่อาจเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ได้” หลิวฉู่ฉู่เองก็ได้สัมผัสกับพื้นที่ภายในร่องรอยสีทอง ง
“ถึงแม้ว่าดินแดนพิศวงนี้จะแปลกพิลึก แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ยังคงไม่เป็นภัยอะไรกับพวกเรา ทั้งยังไม่มีการคุกคามจากวิญญาณต้นกำเนิดแดนโบราณบรรพกาล” หลินอิ่งพูดขึ้นเช่น นกัน
ด้วยเหตุผลเช่นนี้ ทุกคนต่างสบตากันอีกครั้ง จากนั้นก็ตัดสินใจออกมาตรงกัน!
เข้าไป!
ผลึกหินต้นกำเนิดตั้งมากมายขนาดนี้ สิ่งที่น่าดึงดูดใจนี้กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่ง จะปล่อยให้หงโต้วกวาดเรียบไปทั้งหมดได้อย่างไรกัน!
ข้ามผ่านเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนข้ามร่องรอยแบ่งเขตแดนสีทองนั้นไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด มุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าด้วยความเร็วสูงสุด
เริ่มแรกอันหลินใช้ความเร็วของปีกวายุกับกระบี่วายุเข้าด้วยกัน หวังว่าจะใช้แรงเฉื่อยแซงหน้าหงโต้วไปก่อนสักสิบเมตร
ทว่าเขายังนับว่าไร้เดียงสานัก ทันทีที่เขาก้าวข้ามร่อยรอยแบ่งเขตแดนสีทองนั้นไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็ช้าลงในบันดล ช้าลงจนเขาลืมไปแล้วว่าจะเหาะอย่างไร…
พรืด เขาถลาลงบนพื้น ใบหน้าทิ่มดิน ไถลครูดไปบนพื้นดินจนกลายเป็นร่องยาวถึงสามสี่เมตร
หลิวฉู่ฉู่ “…”
ทีน่าคว้าจับเส้นผมของอันหลินไว้ นางเองก็ลืมเช่นกันว่าเหาะอย่างไร การกระพือของปีกกระพือไปอย่างไร้กฏเกณฑ์ พลังรวนไปหมด ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างสะเปะสะปะยุ่งเหยิง
ความรู้สึกเช่นนี้…ว้าวุ่นใจยิ่งนัก!
โดยเฉพาะหลิงอิ่ง แมงกะพรุนที่มักจะลอยล่องกลางเวหา ในตอนนี้คาดไม่ถึงว่าจะล่วงตกลงมาสู่พื้นดิน เอาหนวดตะกายพื้น ต้องรู้ว่าเขาไม่เคยตกอยู่ในสภาพนี้มาก่อน!
และด้วยเหตุนี้ถึงแม้ว่าเขาจะมี ‘เท้า’ (หนวด) มากที่สุดในบรรดาพวกอันหลิน แต่ทันทีที่ย่างกรายเข้ามาในเขตดินแดนพิศวง ก็กลายเป็นผู้รั้งท้าย
“เสี่ยว…น่า…ช่วย…ข้า…ชิง…ผลึก…สีทอง…”
อันหลินพยายามเค้นเสียงออกคำสั่ง ในเวลานี้ทีน่ากระโดดลงจากบ่าของเขาแล้ว มุ่งตรงไปยังผลึกหินต้นกำเนิดสีทองอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าเขาจะนำหน้าคนอื่นไปหลายเมตร แต่ในตอนที่เขาใช้พลังทั้งหมดที่มีในการลุกขึ้นมากลับเป็นขั้นตอนที่กินเวลามหาศาล สุดท้ายหลิวฉู่ฉู่ก็แซงหน้าเขาไป
“หง…โตว…รอ...รอ...ข้า…”
อันหลินพยามออกแรงวิ่งอย่างสุดกำลัง พลางตะโกนอย่างฮึกเหิม
หงโต้วไม่ตอบ ส่งเสียงเย้ยหยันให้แทน “เหอะ…เหอะ…”
นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมากอย่างหนึ่ง ทุกคนต่างรู้สึกราวกับว่าตนหวนกลับไปเป็นเด็กไร้เดียงสาที่ไม่มีอะไรต้องกังวล ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนปล่อยสบายไปตามธรรมชาติ ลืมวิธีวิ่ง ด้วยความเร็วไปแล้ว
ปล่อยวางจากทุกสิ่งที่ผูกมัด ถึงขั้นที่ลืมวิธีใช้พลังเซียน ลืมวิธีปลุกพลังพลังชีวิต.…
“ฮ่า…ฮ่า…ข้าคือภูตน้อยที่มีความสุขตนหนึ่ง…” ทีน่าวิ่งไปด้วยความฮึกเหิมพลางส่งเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจ
“ข้า…คิดไม่ถึงว่าจะชื่นชอบความรู้สึกในการวิ่งอย่างสุดพลัง…” นัยน์ตาที่กลมโตของหลิวฉู่ฉู่หรี่ลงเล็กน้อย ใบหน้าที่งดงามปราณีตอาบเอิ่มไปด้วยความพึงพอใจ
สิบนาทีผ่านไปโดยไม่เนื้อรู้ตัว อันหลินยังคงวิ่งอย่างสุดพลังแรงกาย แต่ในด้านของความเร็วนั้นกลับคาดไม่ถึงว่าจะตีตื้นหงโต้วไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ผลึกหินต้นกำเนิดของเขาจึงตกอยู ในอันตรายอย่างหนัก…
ทีน่าอยู่อันดับที่สอง ห่างจากหงโต้วเพียงไม่กี่สิบเมตร ถึงแม้ว่าทุกย่างก้าวของเธอจะสั้นมาก แต่อัตราความเร็วกลับไวกว่าคนอื่นมากกว่า
กล่าวโดยสรุปคือ เธอไวกว่าหงโต้วเล็กน้อย แต่ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะแซงหน้าไปยังผลึกหินต้นกำเนิดสีทองก่อนหงโต้ว
หลิวฉู่ฉู่อยู่อันดับที่สาม ไล่หลังทีน่าด้วยระยะห่างห้าเมตร
อันหลินอยู่อันดับที่สี่ ไล่หลังหลิวฉู่ฉู่ด้วยระยะห่างหกถึงเจ็ดเมตร
หลิงอิ่งอันดับที่ห้า ไล่หลังอันหลินด้วยระยะห่างไม่กี่สิบเมตร...
ถึงอย่างไรเสียหลิงอิ่งก็หมดหวังไปแล้ว เขาคิดแค่ว่าจะควานเก็บผลึกหินต้นกำเนิดสีขาวสักจำนวนหนึ่งก็พอ
ทันใดนั้นม่านแสงสีน้ำเงินก็พลิ้วไหว ผู้แปลกหน้าทั้งสองปรากฏกายขึ้น ณ ดินแดนแห่งนี้
บนศีรษะมีเขาสองเขา นัยน์ตาทั้งคู่แดงฉาน ผู้หญิงใบหน้างดงามเพริศพริ้งมองภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ “โอ้พระเจ้า! จงหลี่หาง นี่ข้าฝันไปหรือ ผลึกหินต้นกำเนิดจำนวนมากมายขนาดน นี้”
“คงเกอ อย่าเพิ่งตื่นเต้นไป ณ ดินแดนแห่งนี้จะประมาทไม่ได้ เจ้าสังเกตเห็นเจ้าพวกนั้นที่อยู่เบื้องหน้าหรือไม่ ดินแดนพิศวงแห่งนี้มีอะไรบางอย่างที่น่าแปลกประหลาด” นัยน์ตาทั้งสองขอ องจงหลี่หางเปล่งประกายแสงที่บ่งบอกถึงอันตราย
ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาฉับไวมาก ฝ่ามือข้างหนึ่งชูขึ้นเหนือศีรษะ พลังชีวิตพรั่งพรูอยู่กลางฝ่ามือ ผนึกเป็นพลังที่มีรูปร่างทรงกลมสีดำทมิฬหนึ่งลูก จากนั้นก็ปาลูกบอลสีดำนั้นไปยั งพวกอันหลินอย่างสุดแรง!
ใช่แล้ว ในเมื่อลงมือได้ก็ไม่จำเป็นต้องมากความ!
จงหลี่หางรู้ว่าพวกอันหลินกำลังตกอยู่ในสภาวะแปลกประหลาด ดังนั้นจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ ฉวยโอกาสลงมืออย่างโหดเหี้ยมก่อนเลย แบบนี้ถึงจะเป็นสิ่งที่จอมมารผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ พึงกระทำ!
ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงเรื่องไม่คาดคิดที่เกิดขึ้น เมื่อลูกบอลสีดำนั้นผ่านเข้าไปในเขตแดนของดินแดนพิศวง พลังกลับถดถอยอัตโนมัติ และสลายไปในที่สุด
“นี่…พวกเราจะต้องเข้าไปหรือเปล่า” เมื่อคงเกอเห็นเหตุการณ์นี้ เธอก็ค่อนข้างตกตะลึง
จงหลี่หางมองไปยังผลึกหินต้นกำเนิดที่เนืองแน่นเบื้องหน้า ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขากัดฟันกรอดแล้วพูดขึ้นว่า “เข้าไป ทำไม่จะไม่เข้าไปเล่า ดินแดนแห่งนี้คงจะเป็นดินแดนพ พิศวงที่สกัดพลังยุทธ์ทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้า ความจริงแล้วพวกเรามีข้อได้เปรียบอยู่หนึ่งอย่าง ใช้ข้อได้เปรียบนี้ก่อนข้ามเข้าไปในดินแดนพิศวง นั่นก็คือพวกเราเร่งความเร็วให้ทว วีขึ้นก่อนจากด้านนอกเขตแดน จากนั้นก็ใช้พลังของแรงเฉื่อยเป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อแซงหน้าเจ้าพวกนั้นไป!”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้นัยน์ตาของคงเกอก็เปล่งประกาย “ความคิดดี!”
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงเริ่มเพิ่มทวีความเร็วอยู่นอกดินแดนพิศวง จากนั้นก็เหาะผ่านร่องรอยสีทองที่เป็นเส้นแบ่งเขตแดนเข้าไป!
ทุกสิ่งทุกอย่างช่างน่าประหลาด จอมมารทั้งสองต่างก็รู้สึกได้ถึงความเอื่อยเฉื่อยโดยรอบ เอื่อยเฉื่อยเสียจนพวกเขาลืมว่าจะเหาะอย่างไร
พรืด จอมมารทั้งสองถลาลงบนพื้นใบหน้าทิ่มดิน ไถลครูดไปกับพื้นดินจนพื้นกลายเป็นร่องยาวถึงสามสี่เมตร