ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 510 ฆ่าตนเองตายแล้วจริงๆ
เพลิงไฟสีดำทมิฬแผดเผาลุกลามไปทั่วทุกแห่งหน เกิดรอยร้าวแตกลุกลามแผ่ขยาย
พลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงแพร่กระจายไปทั่วทิศ จนทุกคนต่างหายใจไม่ออก
อันหลินชาร์จพลังคันฉ่องวิหคชาดที่ถืออยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ใช้พลังทั้งหมดที่มีกระตุ้นพลังของคันฉ่องวิหคชาดแล้ว ก็เริ่มปรากฏกระจกลายน้ำเคลือบฉาบกายเขา ราวกับเ เป็นเกราะกำบังที่ห่อหุ้มกายเขาไว้
ครืน! เพลิงดวงดาวที่ปล่อยออกมาจากปากของเซียวถู ปะทะโจมตีพื้นผิวของกระจกลายน้ำที่ห่อหุ้มกายของอันหลินไว้ ทันใดนั้นก็เกิดคลื่นประหลาดขึ้น ดูเหมือนว่าเพลิงไฟอันร้อนแรงทะลุ เข้าไปอยู่อีกมิติหนึ่ง หายวับไม่เหลือร่องรอย
เซียวถูแสดงสีหน้าตกตะลึง ในตอนที่เขามองอันหลิน เขารู้สึกราวกับว่ากำลังมองตัวเขาเอง
แล้วตัวเขาอีกคนก็กำลังอ้าปากกว้างพ่นเพลิงดวงดาวออกมา…
ครืน! เพลิงดวงดาวที่แฝงไว้ด้วยพลังทำลายล้างพวยพุ่งออกมาจากกระจกลายน้ำ ราวกับสัตว์ดุร้ายที่ปล่อยพลังแผดเผาทำลายไปทั่วทั้งแปดทิศ สุดท้ายเพลิงดวงดาวก็พุ่งจู่โจมเข้าที่เซียวถ ถู!
ในครั้งนี้เซียวถูรู้สึกตกตะลึงแล้วจริงๆ
เขามองเพลิงไฟที่พวยพุ่งมุ่งเป้ามาทางเขา ความคิดระดับลึกซึ้งดับสูญภายในระยะเวลาอันสั้น
เหลือเพียงความคิดเดียวที่พลุ่งพล่านอยู่ในหัว หลบหรือไม่หลบ
นี่คงไม่ได้จัดว่าเป็นการเผาตนเองหรอกมั้ง นี่เป็นกระบวนท่าในการโจมตีของอันหลินสินะ คงไม่เป็นฝ่าฝืนกฎแห่งมรรคาหรอกมั้ง…
ในตอนที่เขากำลังคิดเช่นนี้ เพลิงดาวก็แผดเผากลืนกินร่างกายของเขาไปแล้ว แม้แต่ดวงวิญญาณก็ดับสูญ
ทุกสิ่งทุกอย่างกลับสู่สภาพที่มีแต่ซากปรักหักพัง มีเพียงมิติที่แตกร้าวราวกับเส้นใยของใยแมงมุม คงไว้ซึ่งความน่าสะพรึงกลัวของการโจมตีเมื่อครู่นี้
หลิวฉู่ฉู่กับคนอื่นๆ ต่างเหม่อมองเซียวถูที่โดนเผาจนเหลือเพียงความว่างเปล่า แล้วก็มองอันหลินที่ยืนไร้รอยขีดข่วนอยู่ที่เดิม ในที่สุดพวกเขาสูดลมหายใจเขาทางปากด้วยความประหลาด ดใจ!
“นี่มันเวทมนตร์อะไรกัน คิดไม่ถึงว่าจะสะท้อนการโจมตีได้น่ากลัวถึงเพียงนี้!” หลิงอิ่งมองอันหลินด้วยสีหน้าเคารพยำเกรง
“มิน่าเล่าเมื่อก่อนหน้านี้ถึงได้ร้องขอเช่นนั้นออกไป ที่แท้อันหลินก็คิดแผนที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้นี่เอง!” ใบหน้าที่ขาวนวลละเอียดลออของหลิวฉู่ฉู่มีความอิจฉาเพิ่มขึ้นมา นัยน์ตาทั งสองข้างที่มองอันหลินเปล่งประกายไม่น้อย
ทีน่าบินวนรอบตัวอันหลินด้วยดีใจ กล่าวชมว่า “ยักษ์อันหลินฝีมือการโจมตีของเจ้ายอดเยี่ยมไร้เทียมทานมาก! เป็นไปตามคำกล่าวที่ว่าตนเองย่อมรู้จุดอ่อนของตนเองดีที่สุด ให้เซียวถ ถูเป็นผู้ปลิดชีพตนเอง ไม่เพียงแต่ช่วยเติมเต็มพลังที่ไม่แกร่งพอในการโจมตี แต่ยังจัดการได้อย่างตรงจุด เตรียมการได้เฉียบแหลมยิ่งนัก! โอ้โห…ยักษ์อันหลินอัจฉริยะจริงเชียว!”
สิ่งที่ทีน่าพูดล้วนเป็นคำพูดไร้สาระ แต่อันหลินกลับได้ประโยชน์จากคำพูดเหล่านี้มาก เขาส่งยิ้มเบิกบานใจให้กับทุกคน
หงโต้วรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ดูเปล่งประกายจนค่อนข้างแยงตา เขาหดตัวอย่างอดไม่ได้
และในจังหวะนี้ก็มีเสียงอันเลือนรางดังแว่วขึ้น “เอ๊ะ…ในที่สุดข้าก็หลุดพ้นแล้ว ข้าต้องขอบคุณพวกเจ้า ขอบคุณอันหลิน…คิดไม่ถึงว่าความสุขจะมาถึงเร็วขนาดนี้ อีกทั้งยังเกิดข ขึ้นกะทันหันขนาดนี้…”
เสียงนี้เป็นเสียงที่ทำให้ทุกคนถึงกับสั่นเทิ้มไปทั้งตัว นั่นมันเสียงเซียวถู!
แถมภาษาที่พูดก็ไม่ใช่ภาษาบรรพกาลหรือภาษาอนารยชนด้วย แต่เป็นภาษาที่พิเศษมากภาษาหนึ่ง เมื่อภาษานี้ผ่านเข้ามาหูของพวกเขา ทำให้พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่เซียวถูพูดได้อย่างกระจ่างแจ้ง ง
อันหลินกับคนอื่นๆ กวาดสายตามองไปทั่วทิศ แต่กลับไม่พบต้นตอของเสียงใดๆ ที่เป็นเสียงพูดของเซียวถู
“ไม่ต้องมองหาแล้ว ข้าตายแล้ว ตอนนี้สิ่งที่พวกเจ้าได้ยินเป็นมรรคคติของข้ากำลังคุยกับพวกเจ้า ไม่นานมรรคติที่ไร้ที่พักพิงนี้ก็จะสลายไป เมื่อถึงตอนนั้นค่ายกลฟื้นคืนชีพก็จะ ะถูกกระตุ้นในที่สุด!”
ค่ายกลฟื้นคืนชีพ?
เมื่ออันหลินได้ยินเช่นนั้นเขาก็แทบกระอักเลือด “นี่เจ้า! ที่แท้เจ้าก็ยังฟื้นคืนชีพได้อีกหรือเนี่ย เจ้าไม่ได้ตายจริง!”
“ไม่! ข้าตายแล้วจริงๆ! มิเช่นนั้นค่ายกลฟื้นคืนชีพก็ไม่อาจถูกกระตุ้นได้…กรงขังนี้เป็นกฎแห่งฟ้าดิน จะต้องก้าวข้ามไปสู่ความเป็นความตาย ตายแล้วเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะตบตากฎแห่ งฟ้าดินได้ เหอๆ…ดีที่ข้ากลัวตาย ก็เลยเตรียมค่ายกลฟื้นคืนชีพขนาดใหญ่ไว้ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นข้าก็คงจะมีทางเลือกแค่สองทางคือตายทั้งเป็นกับตายไปตลอดกาล...ข้าจะไม่พูดพล่า ามให้มากความ ที่ข้ามาคุยกับพวกเจ้าก็เพราะข้าอยากจะบอกพวกเจ้าว่าใต้ซากปรักหักพังของเสาหินมียาสุริยันพ่ายหกเม็ด เป็นยาวิเศษระดับห้าที่ข้าใช้พลังแห่งความว่างเปล่าสกัดออกมา เมื่อตอนที่ข้ารู้สึกว่าไม่มีอะไรทำมาเป็นเวลานานแสนนาน หลังจากที่กินเข้าไปแล้ว จะระเบิดศักยภาพออกมาอย่างไร้ขีดจำกัดภายในระยะเวลาอันสั้น สนุกมากเลยล่ะ…”
เสียงพูดของเซียวถูเป็นเหมือนสายลมที่พัดผ่าน ไม่นานก็แว่วหายไป
นัยน์ตาของหลิวฉู่ฉู่กับคนอื่นๆ ต่างเปล่งประกาย ทุกคนไม่พร่ำทำเพลงใดๆ วิ่งตรงไปยังบริเวณซากปรักหักพังของเสาหินทันที
ครืน ครืน ครืน ครืนน...
เคลื่อนย้ายซากไม้ ซากปรักหักพัง ขุดรื้อ…
ไม่นานกล่องที่ดูปราณีตกล่องหนึ่งก็ปรากฏสูสายตาของทุกคนจริงๆ
อันหลินเปิดกล่อง สุดยอดไปเลย! กลิ่นหอมหวนของยาวิเศษตลบอบอวลไปทั่วทั้งสี่ทิศ ถึงขั้นที่พลังของยาวิเศษก่อตัวเป็นเกรียวคลื่นซัดสาดแผ่กระจายออกไปไกลนับร้อยเมตร ยาวิเศษที่ร้อ อนแรงทะลุฟ้าทำให้ทุกคนต่างเกิดความอึกเหิมขึ้นเล็กน้อย
“ข้าออกแรงมากที่สุด ถ้าข้าขอสองเม็ดคงไม่มากเกินไปหรอกมั้ง” อันหลินเลียปากตนเองแล้วเอ่ยถาม
ทุกคนไม่มีความเห็นแย้ง ดังนั้นอันหลินจึงได้ยาสุริยันพ่ายไปสามเม็ด
หงโต้วถือยาสุริยันพ่ายขึ้นหนึ่งเม็ด สีหน้าระคนไปด้วยความรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรตนก็แค่วิ่งตามมาเฉยๆ เลยรู้สึกละอายใจที่จะได้มา
หลิวฉู่ฉู่รู้สึกว่าใต้ดินยังมีสิ่งของอื่นๆ อีก ก็เลยขุดค้นหาต่ออีกสักพักหนึ่ง สุดท้ายถูกอันหลินดึงตัวออกไป จึงยอมหยุดขุดด้วยความอาลัยอาวรณ์
ทุกสรรพสิ่งในรัศมีไม่เกินหนึ่งพันจั้งของเขตหลบภัยกลายเป็นพื้นดินสีขาว แม้แต่ปีศาจโครงกระดูกต่างก็ถูกอันหลินกับพวกจำกัดสิ้น
พวกเขาเดินวนอยู่หนึ่งรอบ หลังจากที่ไม่พบสิ่งอื่นแล้ว ก็ตัดสินใจจากดินแดนแห่งนี้ไป
ณ ใจกลางทะเลสาบไป๋หู แดนแห่งทะเลสาบสีขาว น้ำสาดกระเซ็นดั่งน้ำพุขนาดใหญ่ ทั้งห้าปรากฏกายขึ้น
ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวลอยขึ้นเหนือภูผา ผ่านไปอีกหนึ่งวันอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“สถานที่ต่อไปที่พวกเราต้องไปคือภูเขาหิมะหุบสวรรค์ สถานที่แห่งนั้นอยู่ใกล้กับเขามังกรคดมาก ได้ยินเซียวถูบอกว่าสถานที่แห่งนั้นมีผลึกหินต้นกำเนิดเยอะกว่าที่เขามังกรคดมาก ก พวกเจ้าจะไปไหม” อันหลินมองหงโต้วกับหลิงอิ่งพร้อมเอ่ยถาม
หลิงอิ่งพยักหน้า “ที่ภูเขามังกรคดเดินไปเกือบครึ่งทางข้าก็ได้ผลึกหินต้นกำเนิดมาอยู่ในมือแล้ว ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะไปตระเวนดูที่ภูเขาหิมะหุบสวรรค์สักหน่อย ได้ยินมาว่าสัตว ว์หิมะทุกตัวที่นั่นจะมีผลึกหินต้นกำเนิดหนึ่งก้อน ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
หลิวฉู่ฉู่แบะปากแล้วกล่าวขึ้นว่า “ถ้าจริงแล้วจะทำไมหรือ ฆ่าสัตว์หิมะจะไปได้เงินไวเท่าฆ่าศัตรูหนึ่งคนได้อย่างไรกัน ข้าว่านะ ฆ่าศัตรูแล้วชกทรัพย์แบบนี้สิถึงจะถูกทาง!”
หลิงอิ่ง “…”
หงโต้ว “…”
อันหลินเหยียดยกมุมปากขึ้น สุดท้ายกล่าวออกไปว่า “ดี งั้นพวกเราไปดูที่ภูเขาหิมะหุบสวรรค์กันเถอะ!”
ณ ภูเขาหิมะหุบสวรรค์
พื้นที่แห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งหิมะกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังพื้นที่แห่งนี้ก็จะกระจายแสงเป็นแสงสีน้ำเงิน อุณหภูมิหนาวเหน็บเข้ากระดูก ไม่มีไออุ่นแม้แต่นิด
เบื้องบนท้องฟ้ามีรอยแตกสีดำขนาดใหญ่ เป็นรอยแยกทอดตัวยาวเหยียดอยู่กลางท้องฟ้า ราวกับรอยแผลเป็นบนท้องนภา สีดำมืดมิดล้ำลึก เต็มไปด้วยรสชาติของแห่งความอ้างว้างและความตายที่แฝงไว ว้ด้วยความงดงาม
รอยแยกที่อยู่ด้านล่าง มีภูเขาสูงหมื่นจั้งตั้งตระหง่านระหว่างพื้นดินกับท้องฟ้า ยอดเขาสูงราวกับถูกกลืนอยู่กลางรอยแยกนั้น
ผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่มหึมาบนยอดเขาสูง ในผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่นั้นมีใบหน้าของสตรีที่งดงามระคนเยือกเย็นอ้างว้าง นั่งหลับตาในท่าขัดสมาธิ กระตุ้นพลังแห่งความเงียบงันอ้างว้างในรอยแ แยกที่ทอดตัวยาวเหยียดอยู่กลางท้องฟ้า
สาวหิมะผู้ทรงพลังทั้งหก ผู้เฝ้ารักษาผลึกน้ำแข็ง ณ สถานที่แห่งนี้ กวาดสายตาเฝ้าระวังไปทั่วทั่งสี่ทิศ
“เจ้าแห่งวังฉี ซ่างกวนอี้ดูดซับพลังได้เร็วกว่าที่เราคาดคิดไว้มาก วัดจากความเร็วระดับนี้ อย่างมากที่สุดก็หนึ่งวัน ก็ปลุกจิตวิญญาณเจ้าแห่งเหมันต์ในกายของนางให้ตื่นขึ้นไ ได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็สามารถทำแผนการที่สองให้สำเร็จไปพร้อมกันได้?” สาวหิมะรูปร่างเพรียวบางเอ่ยชี้แนะ
“แม้ว่าในแง่ของเวลา เพียงพอที่จะปฏิบัติแผนการที่สองได้ แต่พวกเจ้าอย่าลืมเชียวว่าการรักษาความปลอดภัยของซ่างกวนอี้เป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดของพวกเรา ทุกภัยอันตรายที่คุกคามซ่ างกวนอี้จะต้องถูกกำจัดให้หมดสิ้น” สตรีนางหนึ่งมีปีกน้ำแข็งขนาดมหึมาอยู่ด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มสาวหิมะกลุ่มนี้ น้ำเสียงที่กล่าวในเวลานี้หนักแน่นมั่นคงยิ่ง
“หึ…ไม่ไปก็ไม่ไปสิ…เสียดายวิญญาณสัตว์เหมันต์ของข้า…” สาวหิมะรูปร่างเพรียวบางพึมพำเสียงเบา ไม่สนใจตัวแทนเจ้าแห่งวังนางนี้อีก