ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 76 พระคัมภีร์เต้าจ้างมาสู่โลก
เสียงเพลงของตงฟางเสวี่ยเพิ่งจบลง ภายในคอนเสิร์ตก็มีเสียงโห่ร้องอย่างบ้าคลั่งของเหล่าแฟนคลับดังขึ้นมา
หลังเธอร้องเพลงเสร็จแล้ว ไม่ได้ลงจากเวทีเช่นที่ผ่านมา แต่ยืนอยู่ที่เดิม แนะนำนักร้องที่จะขึ้นเวทีคนต่อไปด้วยความจริงจัง
เหล่าผู้ชมในคอนเสิร์ตต่างก็แปลกใจอย่างมาก
เพราะนักร้องที่มาร้องร่วมทั่วไป จะถูกแนะนำโดยเจ้าหน้าที่โดยตรง
ปกติแล้วตงฟางเสวี่ยร้องเสร็จก็จะไปทันที ประหนึ่งสายลมพัดวูบ
ตอนนี้ เธอกลับอยู่ต่อเพื่อแนะนำคนคนนั้น มันไม่ปกติเอาเสียเลย
ผู้ชมแทบจะทุกคนต่างก็ฉงนสนเท่ห์ สงสัยว่าเป็นนักร้องแบบไหน ตงฟางเสวี่ยถึงกับต้องแนะนำด้วยตัวเอง
จากนั้น ผู้ชมทั้งหลายก็เกิดความประทับใจต่อนักร้องที่ใกล้จะขึ้นเวที จากคำพูดของตงฟางเสวี่ย
เขาเป็นนักร้องที่เพิ่งเดบิวต์ เขามีศักยภาพอย่างยิ่ง!
เพลงที่เขาจะร้องต่อไปนี้ จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมทุกคน!
ตงฟางเสวี่ยลงจากเวทีแล้ว เธอยื่นไมโครโฟนให้อันหลิน มองเขาด้วยสายตาให้กำลังใจ พูดเสียงเบาว่า “สู้ๆ!”
อันหลินพยักหน้ายิ้มๆ จากนั้นก้าวเท้า เดินมาถึงกลางเวที
พอเขาขึ้นเวที เสียงโห่ร้องอย่างอุ่นหนาฝาคั่งดังระงมทั่วฮอลล์
หากไม่ได้ยืนที่นี่ด้วยตัวเอง ไม่มีทางรู้เลยว่าเสียงโห่ร้องแบบนั้นมันทำให้ใจสั่นไหวมากแค่ไหน
เสียงที่เปล่งออกมาอย่างพร้อมเพรียงของผู้ชมแปดหมื่นคน ทำให้ใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำ
แววตาเป็นประกายระยิบระยับของผู้ชมแปดหมื่นคน ทำให้เขาตื่นเต้นแทบแย่
แท่งไฟสีขาวเคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะ เป็นดุจแดนหิมะอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา และเหมือนผืนทะเลสีขาวไร้ที่สิ้นสุด ตระการตาอย่างยิ่ง
อันหลินเพิ่งเคยได้สัมผัสเวทีใหญ่เช่นนี้ครั้งแรก ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่า เมื่อยืนบนเวที เผชิญหน้ากับผู้ชมแปดหมื่นคน มันเป็นความรู้สึกอย่างไร
“สวัสดีครับ ผมชื่ออันหลิน ลำดับต่อไป ผมจะร้องอะแคปเปลลา ชื่อเพลงว่า ‘พระคัมภีร์เต้าจ้าง’”
อันหลินมองท้องทะเลสีขาวตรงเบื้องหน้า รวบรวมสติแล้วพูดขึ้นมาช้าๆ
เมื่อสิ้นประโยคนี้ ก็สร้างความฮือฮาให้กับที่นั่งผู้ชมอย่างใหญ่หลวง
“คุณพระ ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม นักร้องคนนี้จะร้องอะแคปเปลลาในคอนเสิร์ตเสวียเสวี่ยงั้นเหรอ”
“นี่เป็นเซอร์ไพร์สที่เสวียเสวี่ยบอกว่าจะให้พวกเราเหรอ คงไม่ใช่เรื่องตกใจหรอกนะ!”
“อันหลินเป็นใคร จะว่าไปในประเทศมีนักร้องชื่อนี้ด้วยเหรอ”
“ฉันค่อนข้างสนใจว่า ‘พระคัมภีร์เต้าจ้าง’ เป็นเพลงอะไร เนื้อหาคงไม่ใช่คัมภีร์โบราณของลัทธิเต๋าหรอกนะ…”
“ฉันจะคอยดูว่า ผู้ชายคนนี้จะร้องอะแคปเปลล่าออกมาเป็นยังไง”
…
ไม่ใช่แค่ผู้ชมในฮอลล์ที่พูดคุยกันเซ็งแซ่ แม้แต่ตงฟางเสวี่ยที่จับจ้องอันหลินอยู่หลังเวทีตลอดเวลา ก็สะดุ้งโหยงเช่นกัน
ทำไมอันหลินถึงเลือกเพลงที่ไม่เคยได้ยิน แถมจะร้องอะแคปเปลลาอีกด้วย…จะทำอะไรกันแน่!
“พี่หลิว นี่มันเรื่องอะไรกัน” คิ้วของตงฟางเสวี่ยขมวดเป็นปม พูดเสียงเย็น
ตอนนี้พี่หลิวเองก็ทำหน้ากระอักกระอ่วน ตอบทันควันว่า
“คุณอันหลินร้องขอ เขาบอกว่าเขาควบคุมสถานการณ์ได้…”
“ร้องอะแคปเปลลาควบคุมสถานการณ์ได้ด้วยเหรอ” ตงฟางเสวี่ยมองร่างบนเวที แววตาฉายความกังวล
นี่ไม่ใช่การแข่งขันในรั้วโรงเรียนอะไรนั่น แต่เป็นคอนเสิร์ตที่มีผู้ชมนับแปดหมื่นชีวิต จะเล่นเป็นเด็กแบบนี้ได้จริงๆ เหรอ
อันหลินที่ยืนอยู่บนเวที ณ เวลานี้
เขามองข้ามเสียงวิจารณ์ที่ดังต่อเนื่องไม่ขาดสายดุจริ้วคลื่นบนที่นั่งผู้ชม ปรับลมหายใจ จากนั้นเปล่งเสียงออกมาช้าๆ
“ให้จิตสงบอยู่ในสภาวะว่างเปล่า การเกิดขึ้นของทุกสรรพสิ่ง ท้ายที่สุดก็ต้องกลับสู่ความว่างเปล่า ผู้คนคับคั่งสำราญกับเครื่องเซ่นหลังสังเวย ประหนึ่งทิวทัศน์อันงดงาม แต่ข้ากลับตัวคนเดียว ไม่ประสีประสาเช่นเด็กแรกเกิด…”
เสียงใสเจือความน่าฟังดังขึ้น สะท้อนก้องฮอลล์คอนเสิร์ต
อันหลินเริ่มร้องแล้ว ผู้ชมแปดหมื่นคนต่างก็ได้ยินเสียงร้องของเขา
ผู้ชมทั้งแปดหมื่นคนในฮอลล์ล้วนงงเป็นไก่ตาแตก…
“คุณพระ เขาร้องอะไรของเขา ทำไมฉันฟังไม่รู้เรื่องเลย…”
“อืม ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว!”
“ฉันรู้สึกเหมือนกำลังฟังคัมภีร์สวรรค์ มันเป็นเนื้อเพลงเหรอ”
ขณะนั้นเอง ก็มีผู้ชมที่ค่อนข้างใฝ่เรียนคนหนึ่งอุทานขึ้นมาว่า
“เพลงนี้ฉันฟังออก เป็นประโยคจาก ‘พระคัมภีร์เต้าจ้าง’ จริงๆ!”
แค่อันหลินเริ่มร้อง ผู้ชมก็ครึกครื้นขึ้นมา เสียงพูดคุยดังไม่ขาดสาย
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีมารยาท ไม่เคารพนักร้อง…
แต่เพลงนี้เซอร์ไพร์สมากจริงๆ มีจุดที่น่าสนใจเยอะเหลือเกิน!
แต่ว่า ตอนที่พวกเขาได้ยินเนื้อเพลงเหล่านั้น เมื่อพวกเขาได้สัมผัสทำนองของมัน
ไม่รู้เพราะเหตุใด ใจของพวกเขา ก็ค่อยๆ สงบลง
“เอ๊ะ รู้สึกว่าทำนองไม่เลวเลย”
“ชู่…เงียบหน่อย อย่ารบกวนฉันฟังเพลง!”
“…”
เนื้อร้องเคล้าด้วยทำนองอันงดงาม ลอยล่องไปทั่วฮอลล์
แม้จะมีคนมากมายฟังไม่ออกว่าอันหลินร้องอะไร แต่ทุกพยางค์ ทุกตัวโน้ต ราวกับหลั่งไหลเข้าไปในใจพวกเขาอย่างแท้จริง ทำให้พวกเขาเกิดความสุนทรียพิเศษบางอย่าง
ฮอลล์เริ่มเงียบลง ผู้คนต่างก็หยุดพูด
สิ่งเดียวที่คงอยู่ภายในฮอลล์ ก็คือเสียงร้องอันไพเราะจับใจของอันหลิน
แต่ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ เสียงของกู่ฉิน[1]ก็ดังขึ้น
มันเหมือนสายธารที่ไหลคดเคี้ยวมาจากหุบเขา รวมเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงร้องของอันหลินอย่างสมบูรณ์แบบ พาดนตรีในฮอลล์ให้เข้าสู่ภวังค์ที่ลึกซึ้งกว่าเดิม
อันหลินมองไปอีกมุมหนึ่งของเวที หญิงชุดขาวคนหนึ่งกำลังดีดกู่ฉิน
เสียงกู่ฉินอันงดงามไหลหลั่งออกจากปลายนิ้วของเธอ
ประหนึ่งมีสายธารเล็กๆ ไหลผ่านหัวใจ อ่อนโยนและสงบ ผ่อนคลายและสบายใจ
มันเป็นดนตรีของพระคัมภีร์เต้าจ้าง เป็นดนตรีของอันหลิน
หญิงคนนั้นขยิบตาให้อันหลินอย่างซุกซน
อันหลินนิ่งไปเล็กน้อย
หญิงชุดขาวผู้งามล่มเมืองตรงหน้าคนนี้ คือสวีเสี่ยวหลาน
ราวกับใจสื่อถึงกัน ทั้งสองยิ้มให้กัน
เสียงร้องเพลงกับเสียงกู่ฉินดังขึ้นอีกครั้ง
เสียงที่วนเวียนรอบปลายนิ้ว เป็นดั่งผีเสื้ออันงดงาม กระพือปีกที่ตื่นตัว โบยบินท่ามกลางชีวิต
เสียงที่ใสและเพราะพริ้ง แฝงด้วยถ้อยคำพันหมื่น บอกกล่าวไม่หมด แต่กลับค้นหาไม่หยุด ล่องลอยอยู่ในกาลเวลา
อธิบายไม่ได้ว่ามันเป็นทำนองอย่างไร มันวิเศษที่สุด ไม่เหมือนบทเพลงในแดนมนุษย์
ทุกท่วงทำนองเข้าสู่โสตประสาท ชำระล้างจิตใจของผู้ชมแปดหมื่นชีวิตไม่หยุด
ไม่ใช่แค่ผู้ชมในฮอลล์เท่านั้นที่เคลิบเคลิ้ม แม้แต่ตงฟางเสวี่ยกับเถียนหลิงหลิงที่อยู่หลังเวทีก็จมอยู่ในภวังค์เช่นกัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ท่อนสุดท้ายจบลง
เสียงเพลงค่อยๆ เบาลง ท้ายที่สุดก็ปลิวไปกับสายลม สูญหายไปแล้ว
ดุจผีเสื้อโบยบินไปไกล และเหมือนการสิ้นสุดลงของเส้นทางแสวงธรรม ค่อยๆ ปิดฉากลง
บทเพลงสิ้นสุด แต่เสียงในโสตประสาทไม่จบสิ้น
ผู้ชมหลายหมื่นคนตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลาเนิ่นนาน ยังคงจมดิ่งอยู่ในความสุนทรียก่อนหน้านี้
อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานจับมือกัน โค้งตัวเล็กน้อยคำนับผู้ชมหลายหมื่นคนในฮอลล์
“แปะๆๆ…”
ไม่รู้ว่าผู้ใด ปรบมือขึ้นมากะทันหัน
ต่อมา ผู้ชมก็พากันวางแท่งไฟในมือลงแล้วเริ่มปรบมือ
ไม่โบกแท่งไฟ ไร้เสียงโห่ร้อง
ราวกับทุกคนมีจิตสื่อถึงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ไม่อยากโบกแท่งไฟหรือร้องตะโกน เพื่อทำลายความสงบที่ดำรงอยู่
ทุกคนต่างก็ใช้วิธีการที่บริสุทธิ์ที่สุดในการสื่ออารมณ์ของพวกเขา
เป็นเวลาชั่วขณะที่ทั่วทั้งฮอลล์คอนเสิร์ต มีแต่เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว!
………………………………
[1] กู่ฉิน หรือ พิณเจ็ดสาย เป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับการยกย่องเป็น “มรดกโลก”