ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 79 พ่อ ต่อไปผมดูแลพ่อเอง
ทั้งๆ ที่แยกจากกันเกือบหนึ่งปีแล้ว แต่เมื่อเห็นแผ่นหลังนั่น กระบอกตาของอันหลินกลับร้อนผ่าว
ผมสีดอกเลานั่นมันอะไรกัน เขาเพิ่งอายุห้าสิบเองนี่นา!
หงอกขาวมากมายแซมอยู่ในผมดำขลับ แลดูค่อนข้างสะดุดตา ประหนึ่งเข็มสีเงิน ทิ่มแทงใจอันหลิน
แค่ปีเดียว เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้พ่อเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
หลังอันหมิงชวนต้มบะหมี่หม่าล่าถ้วยหนึ่งเสร็จแล้ว เขาก็เปิดทีวีดูพลางกินบะหมี่ไปด้วย
เขาชื่นชอบการกินบะหมี่ระหว่างดูทีวียิ่งนัก รู้สึกว่าเมื่อเสียงสูดบะหมี่ ผสมผสานกับเสียงในทีวี มันทำให้เกิดความอยากอาหารเพิ่มขึ้น
ท่าทางที่เคยชินบางส่วน แม้จะมองจากตอนนี้ กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
เช่นก่อนกินบะหมี่ พ่อของเขามักจะถูมืออย่างไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นค่อยหยิบตะเกียบ
ยามอันหลินเห็นฉากนี้ ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างก็ผุดวาบในใจ
ตอนที่เขายังเด็ก ก่อนกินบะหมี่ มักจะชอบเลียนแบบท่าทางของเขา ถูมือโดยไม่รู้ตัว
ส่วนแม่จะนั่งอยู่ข้างๆ มองสองพ่อลูกถูมืออย่างชอบใจ
มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นอย่างมาก เสียดายที่ตอนนี้ไม่มีวันได้เห็นฉากนี้อีกแล้ว
ในทีวี พิธีกรสาวกำลังรายงานข่าวบันเทิงอยู่
“เมื่อวาน ในเวทีคอนเสิร์ตเอเชียทัวร์ของตงฟางเสวี่ย มีนักร้องลึกลับที่ชื่ออันหลินปรากฏตัว เพลง ‘พระคัมภีร์เต้าจ้าง’ ของเขา สร้างความฮือฮาในงานคอนเสิร์ต ตอนนี้เพลงนี้กลายเป็นบทเพลงที่คว้าอันดับหนึ่งของชาร์ตเพลงทั้งหลายไปอย่างรวดเร็ว ลำดับต่อไปเรามาร่วมชมเพลง ‘พระคัมภีร์เต้าจ้าง’ ด้วยกันดีกว่าค่ะ!”
เมื่ออันหมิงชวนได้ยินข่าวนี้ มือที่คีบบะหมี่ก็สั่นระริก
เขาเงยหน้าขึ้น จดจ้องทีวีไม่วางตา
ภาพตัดไปที่เวทีคอนเสิร์ต ใบหน้าอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
อันหมิงชวนเบิกตากว้างจนเกิดรอยย่นบนหน้าผาก ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น
แรกเริ่มอันหลินร้องอะแคปเปลลา เสียงที่ไพเราะดังลอดผ่านทีวีออกมา
เสียงใสที่เจือความแหบพร่า ลอยล่องไปทั่วทั้งห้องพร้อมกับทำนองอันงดงาม
หากไม่ได้ฟังเพลงนี้ในคอนเสิร์ต จะมีความสุนทรียลดน้อยลง
แต่เพลงนี้ แค่เพียงทำนอง ก็เป็นของชั้นสูงยิ่งแล้ว
ด้วยเหตุนี้หลังสื่อได้เผยแพร่บนโลกอินเตอร์เน็ตแล้ว ก็กลายเป็นกระแสฮิตโด่งดังถล่มทลาย
บะหมี่ที่เพิ่งต้มเสร็จ ยังคงมีไอร้อนลอยขึ้นมา
ภายในห้องไม่มีเสียงสูดบะหมี่ เหลือเพียงเสียงร้องของอันหลินเท่านั้น
บะหมี่ที่คาอยู่ระหว่างตะเกียบของอันหมิงชวน เย็นชืดเสียแล้ว แต่เขาไม่รู้สึกตัว
ไม่รู้ว่าจมดิ่งอยู่ในบทเพลงหรือร่างที่คุ้นเคยนั่น
สุดท้าย อันหลินกับสาวสวยที่ดีดกู่ฉินในทีวีก็จับมือกัน
โค้งตัวคำนับผู้ชม ค่อยๆ ลงจากเวทีช้าๆ ท่ามกลางเสียงปรบมือดังเกรียวกราว
ภาพในทีวีตัดมาที่พิธีกรอีกครั้ง เริ่มวิจารณ์บทเพลงรวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อันหมิงชวนตื่นจากภวังค์ เขาหยิบมือถือขึ้นมาอย่างตื่นเต้น ต่อสายหาเบอร์โทรศัพท์ที่คุ้นเคยอีกครั้ง
“ขออภัย หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิดใช้บริการ…”
…
เขาวางมือถือลงอย่างเศร้าสร้อย หยิบตะเกียบขึ้นอีกครั้ง ก้มหน้าสูดน้ำมูก ขยี้ตาแล้วพึมพำว่า “ทำไมบะหมี่นี่เผ็ดขนาดนี้ล่ะ เผ็ดขึ้นจมูกขึ้นตาแล้ว…”
อันหลินมองแผ่นหลังที่ก้มหน้ากินบะหมี่ต่อ ก็ขยี้ตาเช่นกัน เช่นเดียวกับที่เขาถูมือก่อนกินบะหมี่แบบพ่อ ท่าทางยังคงสื่อถึงกันเช่นวันวาน
ตลอดหนึ่งปีมานี้ เขามักจะพร่ำบ่นว่าพ่อทำร้ายเขา
หากไม่ใช่เพราะพ่อสารเลวคนนี้ เขาคงไม่ถูกบีบคั้นให้ลาออก ถูกจับตัวไปทรมาน
แต่ว่า เขากลับมองข้ามไปว่าเมื่อก่อนพ่อดูแลเขาอย่างไร
และเขาก็ไม่เห็นภาพว่าพ่อสงบเสงี่ยม ถึงขั้นทิ้งศักดิ์ศรีไปยืมเงินอย่างไร
ซ้ำร้ายเขาไม่รู้สาเหตุที่พ่อมีผมหงอกไปกว่าครึ่งภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปีเลย
เกรงว่าสิ่งเดียวที่อันหลินรู้ คงจะเป็นเรื่องที่พ่อไปที่บริษัทก่อสร้างหงต๋ามหาชนจำกัดบ่อยครั้ง เพื่อขอร้องให้ประธานจางปล่อยลูกชายของเขา
แม้ในใจของพ่ออาจจะรู้ดีว่า ลูกชายของเขาไม่อยู่ที่นั่นนานแล้วก็ตาม…
…
ใช่ ข้อเสียของพ่อที่ติดพนันคนนี้เลวทรามมากจริงๆ
แต่อันหลินในฐานะลูกชาย เคยทำอะไรเพื่อพ่อบ้าง
เหมือนว่าจวบจนตอนนี้ ยังไม่เคยทำอะไรเพื่อพ่อเลยสักอย่าง
ภาระทั้งหมด แรงกดดันทั้งหลาย จะมีเพียงพ่อของเขาคนเดียวที่แบกรับไว้…
…
ก๊อกๆ
อันหมิงชวนได้ยินเสียงเคาะประตู จึงลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าไปเปิดประตู
เมื่อเปิดประตู สิ่งที่ปรากฏสู่คลองจักษุเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างยิ่ง
เขานิ่งงัน มือจับลูกบิดประตูไว้แน่น เริ่มสั่นเทิ้มขึ้นมา
“หลิน…หลินจื่อ มาแล้วเหรอ”
ยามอันหมิงชวนพูด ริมฝีปากสั่นระริก จ้องชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
นัยน์ตาของอันหลินแดงก่ำ เค้นรอยยิ้มออกมา ใช้กำปั้นทุบหน้าอกของชายคนนั้นเบาๆ “เจ้าผีพนัน หาเจอสักทีนะ! ทำไม ยืนขวางประตูไม่ให้ผมเข้าไปหรือไง”
“รีบเข้ามา รีบเข้ามาเร็วเข้า!” อันหมิงชวนกลัวอันหลินจะหนี จึงจับมือเขาไว้ หาเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางข้างตัว
พอเห็นอันหลินนั่งลง อันหมิงชวนก็นั่งลงข้างๆ อย่างตื้นตันใจ
เขามองอันหลิน ราวกับกำลังมองสาวสวยอย่างไรอย่างนั้น จ้องไม่วางตา
“หลินจื่อ หิวหรือเปล่า พ่อทำบะหมี่ให้ดีไหม” อันหมิงชวนเอ่ยปากอย่างคาดหวัง
“ดีเลย ผมยังไม่ได้กินข้าวเย็นพอดีเลย” อันหลินพยักหน้า
อันหมิงชวนได้ฟังก็ปรี่เข้าห้องครัวอย่างดีใจ เริ่มยุ่งมือเป็นระวิงขึ้นมา
มองแผ่นหลังที่กำลังสาละวนอยู่ในครัว รวมถึงกลิ่นหอมกรุ่น ใจของอันหลินก็ค่อยๆ สงบลง
ชั่วครู่เดียว บะหมี่ร้อนผ่าวก็ถูกยกออกมา
ในถ้วยของอันหมิงชวน ก็มีบะหมี่เพิ่มมาไม่น้อย พูดอย่างหน้าชื่นตาบานว่า “พ่อจะกินเป็นเพื่อน”
ทั้งคู่นั่งบนโต๊ะเดียวกัน เสียงสูดบะหมี่ดังซู้ดๆ พริกทำให้ดวงตาของทั้งสองแดงก่ำ
“หลินจื่อ พ่อขอโทษที่ทำให้ลูกต้องเจอกับเรื่องแบบนั้น…ลูก…กลับไปเรียนเถอะ! เรื่องอื่นพ่อจะหาทางแก้ไขเอง รับรองว่าจะไม่เสียการเรียนลูกแน่นอน!” จู่ๆ อันหมิงชวนก็โพล่งขึ้นมา
อันหลินเงยหน้าขึ้นมองพ่อตัวเองแวบหนึ่ง ความรู้สึกบางอย่างในใจถูกกระตุ้นอีกครั้ง
“พ่อ ไม่ได้ดูทีวีเหรอ ตอนนี้ผมเป็นนักร้องมีชื่อแล้วนะ ไม่ไปเรียนก็ไม่มีปัญหาหรอก” อันหลินตอบ
พออันหมิงชวนได้ฟังประโยคนี้ก็กระวนกระวาย “หลินจื่อ ฟังพ่อนะ เรียนให้จบ ตอนนี้ความรู้เท่านั้นที่สำคัญที่สุดมีความรู้ติดตัว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะอยู่รอด ดูพ่อสิ ต่อให้ไม่มีบริษัทแล้ว ก็ยังใช้ความสามารถหากินได้ มีพ่ออยู่ ลูกไม่ต้องไปร้องเพลงหาเงินร้อง ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีเงินใช้ กลับไปตั้งใจเรียนเถอะ!”
ขณะที่พูด ใบหน้ากร้านแดดของเขาก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น ภายในดวงตาฉายประกายแวววับ
มีพ่ออยู่…
นั่นสิ ความรู้สึกที่มีที่พึ่งแบบนี้ช่างดีเหลือเกิน…
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะมีคนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้า คอยกันลมบังแดดให้
นานแล้วที่ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้ หลังกลับจากการะหกระเหินเร่ร่อนนับปี
มองพ่อที่ใบหน้าแก่ชราพูดคำนี้ ความอบอุ่นที่อธิบายไม่ได้ค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วทั้งใจ
อันหลินยิ้ม น้ำตาคลอเบ้า กลับไหลลงมาอย่างอดกลั้นไม่ไหว
เขาคิดว่านี่แหละคือบ้าน นี่ต่างหากที่เป็นที่ของเขา
…
อันหลินเป็นนักพรต เขาสัมผัสได้ถึงสภานร่างกายของพ่อ
ทำงานหนักหน่วงทุกคืนวัน ทำให้ร่างกายของพ่อเหนื่อยล้าแทบทนไม่ไหว
ใบหน้าอิดโรย กับผมสีดอกเลา ล้วนเกิดจากความเหน็ดเหนื่อยเกินไปและแรงกดดันมหาศาล
หากเขายังปล่อยให้พ่อทำเช่นนี้ต่อไป งั้นเขาจะบำเพ็ญเซียนทำบ้าอะไรอีก!
อันหลินกุมมือพ่อไว้ พูดด้วยสีหน้าหนักแน่นว่า
“พ่อ ต่อไปผมจะดูแลพ่อเอง!”
…………………………………..