ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 87 บ่อน้ำโบราณแห่งทิเบต
สุดท้าย อันหลินก็ยอมศิโรราบให้กับอิทธิพลชั่วร้าย
บิ๊กบอสระดับแปลงจิตสี่คนเอาแต่วิงวอนร้องขอ คงปล่อยให้เป็นเช่นนี้ตลอดไปไม่ได้
เมื่อเห็นเข็มฉีดทิ่มลงในแขน เขาก็ปวดใจขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นเลือดสีแดงสดค่อยๆ ไหลเข้าไปในกระบอกฉีดยา เขารู้สึกหายใจลำบาก จึงรีบเบือนหน้าหนีไม่มองมันอีก
เมื่อดูดเลือดเสร็จแล้ว เจ้าสำนักทั้งสี่ก็เริ่มทำการวิจัยทันที
พวกเขาใช้ค่ายกลตรวจสอบโครงสร้างของเลือด ใช้พลังเซียนตรวจสอบลักษณะพิเศษของเลือด และใช้สัตว์ทำการทดลองร่วมด้วย
ยิ่งพวกเขาตรวจสอบมากเท่าใด ก็ยิ่งงุนงงและหน้านิ่วคิ้วขมวดมากเท่านั้น
เพราะเลือดของเขา…
ปกติมากเหลือเกิน!
แม้แต่สัตว์ที่ดื่มเลือดอันหลินเข้าไป ก็กระปรี้กระเปร่าเช่นกัน!
“นี่เป็นเลือดของเจ้าแห่งพิษจริงเหรอ ฉันสงสัยว่าเป็นเลือดปลอม”
ปรมาจารย์จางเจ้าสำนักหลงหู่ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก
“หรือเราจะดูดอีกกระบอกดีไหม” นักพรตโหยวมู่เจ้าสำนักซ่างชิงแนะนำ
อันหลินจะแจ้งตำรวจแล้ว
ดูดอีกกระบอกงั้นเหรอ
คนพวกนี้น่ากลัวกว่าผีดูดเลือดเสียอีก!
“พวกนายทำให้เจ้าแห่งพิษกลัวแล้ว” นักพรตซวีอวิ๋นแห่งสำนักอู่ตังโบกมือเป็นพัลวัน สีหน้าอ่อนโยนมีเมตตา “เลือดนี่ไม่เป็นพิษภัยต่อสิ่งมีชีวิตทั่วไป เกรงว่าในเลือดจะมีพลังลึกลับแฝงเร้นอยู่ เป็นพิษร้ายแรงเฉพาะกับเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด”
ต่อมา เขาก็มองอันหลิน ใบหน้าเจือความเว้าวอน “สหายเจ้าแห่งพิษ ฉันมีเรื่องอยากขอร้อง…”
อันหลินหวั่นวิตก รีบพูดเป็นพัลวันว่า “ผมขอปฏิเสธ!”
“เอ่อ…” นักพรตซวีอวิ๋นทำหน้ากระอักกระอ่วน
เขายังไม่ทันได้พูดอะไรเลย ทำไมถึงปฏิเสธแล้วล่ะ เขาน่ากลัวขนาดนั้นจริงเหรอ
เมื่อสือหลิงจื่อเจ้าสำนักคุนหลุนเห็นปฏิกิริยาของอันหลิน จึงพูดความคิดของเขาที่ตนสันนิษฐานออกมาคร่าวๆ “ปฏิบัติการสังหารจักรพรรดิปีศาจครั้งนี้ เป็นเรื่องใหญ่ของวงการบำเพ็ญเซียน ตามที่ฉันรู้มา จักรพรรดิปีศาจกับเจ้าแห่งผีดูดเลือดมักมีนิสัยชอบพกแหวนมิติ ขอแค่นายยอมบริจาคเลือดให้พวกเรา เพื่อสร้างอาวุธพิษร้ายแรง เมื่อได้แหวนมิติของพวกมันมา พวกเราจะให้แหวนวงหนึ่งดีไหม!”
เมื่ออันหลินได้ยินคำว่า ‘อาวุธพิษร้ายแรง’ ก็รู้สึกว่ามีเลือดตีขึ้นมาที่คอ
แต่ทว่า ไม่พูดไม่ได้ว่า หากเขายอมบริจาคเลือดให้ ก็จะได้แหวนมิติวงหนึ่ง…
ข้อเสนอนี้เย้ายวนใจชะมัด!
ต้องรู้ว่าจักรพรรดิปีศาจและเจ้าแห่งผีดูดเลือดเป็นถึงยอดฝีมือระดับแปลงจิต แหวนมิติเป็นสถานที่เก็บของล้ำค่าของพวกเขา
ได้คลังสมบัติทั้งหมดของยอดฝีมือระดับแปลงจิตมาครอง มันไม่ดึงดูดใจงั้นเหรอ!
ด้วยเหตุนี้ อันหลินตกอยู่ในภวังค์ความคิด
หนึ่งนาทีผ่านไป…
อันหลินที่ปากบอกว่าไม่เอา กลับนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงอย่างว่าง่าย…
มาเลย! เพื่อความรักและสันติภาพของโลกใบนี้ เขายินยอมถวายเลือด ยอมถวายกาย!
อะแฮ่ม…คิดไปไกลแล้ว
อย่างไรเสีย สุดท้าย อันหลินก็ถูกดูดเลือดไปห้าร้อยมิลลิลิตร
สามารถจิตนาการถึงสงครามนับจากนี้
ภาพที่เหล่านักพรตมนุษย์ใช้คมกระบี่ที่เปื้อนเลือดอันหลิน ต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด
สุดท้าย บิ๊กบอสแห่งวงการบำเพ็ญเซียนทั้งสี่ก็กลับไปด้วยความซาบซึ้งและความพอใจ เริ่มสาละวนอยู่กับการตระเตรียมสงครามครั้งต่อไป
แต่อันหลินกลับนอนแอ้งแม้งไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียงประหนึ่งปลาเค็มตัวหนึ่ง
เขาในตอนนี้ ไม่สามารถใช้คำว่าร่างกายว่างเปล่ามานิยามแล้ว แต่เป็นร่างกายแห้งเหือดแล้ว!
โลกช่างน่ากลัว อยากกลับสรวงสวรรค์จังเลย…
เซวียนหยวนเฉิงยังเฮฮาอยู่ใต้ทะเล
สวีเสี่ยวหลานสนุกสนานอยู่บนท้องฟ้า
ก่อนเซียนกระบี่ชิงเหอกลับไป ให้ยาอายุวัฒนะมากมายกับอันหลิน ถึงเป็นสิ่งตอบแทนที่ช่วยเหลือเขา
อันหลินมองเม็ดยาเหล่านี้
มีทั้งสรรพคุณบำรุงพลังปราณฉุกเฉิน เพิ่มอานุภาพพลังเซียนในเวลาอันสั้น ทำให้จิตใจสงบ เพิ่มความแข็งแกร่ง เสริมแคลเซียม…แต่ไม่มียาบำรุงเลือดเลย!
“เหนื่อยกับการมีชีวิตเหลือเกิน”
อันหลินนอนคร่ำครวญอยู่บนเตียง
สงครามต่อไปของนักพรตมนุษย์ ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว สรวงสวรรค์น่าจะส่งเซียนพสุธามาจัดการ
เพราะเซียนพสุธามีพลังแก่กล้า การข้ามมิติผ่านประตูสวรรค์ทักษิณจะทำให้มิติสั่นคลอน ฉะนั้นจำต้องใช้เวลาเตรียมตัวหลายวัน
อันหลินลองคำนวณเวลาคร่าวๆ คงอีกวันสองวัน ก็จะได้เจอเซียนพสุธาจากสรวงสวรรค์แล้ว
เขาเปิดมือถือดูบทสนทนาในกลุ่มนักพรต ทุกคนต่างก็กำลังถกกันเรื่องบ่อน้ำโบราณในทิเบต
ว่ากันว่าเมื่อคืน ในบริเวณบ่อน้ำโบราณแห่งทิเบต เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สายรุ้งห้าสีทอดข้ามนภา และมีเสียงดังรอบๆ บ่อน้ำ ได้รับความสนใจจากนักพรตอย่างล้นหลาม
มีคนคาดเดาว่า ปรากฏการณ์ที่บ่อน้ำโบราณแห่งทิเบต เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จักรพรรดิปีศาจและเจ้าแห่งผีดูดเลือดจะทำในลำดับต่อไป
นักพรตมากมายมุ่งหน้าไปที่บ่อน้ำโบราณแล้ว แต่จวบจนตอนนี้ ยังไม่มีอะไรคืบหน้า
ปรมาจารย์หลินอี้ที่ร่วมมือกับเถียนหลิงหลิงจะไปปราบผีในตอนแรก ขอถอนตัวกะทันหันเพราะต้องไปตรวจสอบเหตุการณ์ในทิเบต
ตอนนี้ไร้ข่าวคราวของปรมาจารย์ท่านนั้น
ปึงๆๆ
จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
มีคนกลับโรงแรมงั้นเหรอ ไม่สิ พวกเซวียนหยวนเฉิงยังอยู่ข้างนอกไม่ใช่เหรอ
แม้อันหลินจะฉงนใจ แต่ก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ลากสังขารไปเปิดประตู
“นักพรตจอมปลอม!”
ทันใดนั้นร่างเล็กกะทัดรัดก็โผล่มา โถมเข้าใส่อันหลิน เกือบผลักเขาล้ม!
“เถียนหลิงหลิง อ่อนโยนหน่อย!” อันหลินตะโกนลั่น
ตอนนี้ร่างกายของเขาอ่อนเพลียมาก บัดนี้ถูกโลลิพุ่งชน เขารับไม่ค่อยไหว
แต่เถียนหลิงหลิงไม่สนใจ ใช้จมูกสูดตามตัวเขาไม่หยุด ราวกับเป็นวัตถุล้ำค่าหายาก ปากก็พึมพำว่า “ไม่มีเหตุผลเลย ลูบแล้วจับแล้วดมแล้วก็ปกติ ไม่เหมือนร่างกายที่มีพิษเลยนี่นา…”
อันหลิน “…”
“เอาล่ะๆ หลิงหลิง หยุดได้แล้ว ไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้สภาพของอันหลินย่ำแย่”
ขณะนั้นเอง เสียงนุ่มนวลน่าฟังก็ดังขึ้น
อันหลินมองออกไปนอกประตู พบตงฟางเสวี่ยหญิงงามดุจภาพวาดคนนั้น
เธอยืนอยู่นอกประตูเงียบๆ ใบหน้าแต้มรอยยิ้ม
“อ้าว! เซียนหญิงจิ้งซิน สวัสดีตอนบ่าย!”
เนื่องด้วยจิตสำนึกของแฟนคลับตัวยง อันหลินกลับมาสดชื่นเล็กน้อย รีบกล่าวคำทักทายเป็นพัลวัน
ตงฟางเสวี่ยชูถุงอาหารในมือ พูดยิ้มๆ ว่า “อันหลิน กับเรื่องที่นายได้พบเจอ ฉันกับหลินหลินเห็นใจมาก วันนี้ก็เลยจะมาทำอาหารมาให้นายได้ลิ้มลองฝีมือของฉัน!”
โอ้พระเจ้า!
เมื่ออันหลินได้ยินประโยคนี้ น้ำตาก็รื้นขอบตาทันที
นี่เป็นความรู้สึกปลาบปลื้มใจที่สุด ไอดอลทำอาหารให้เขากับมือเชียวนะ!
ในโลกย่อมมีรักแท้!
อันหลินกวักมือเรียกตงฟางเสวี่ยกับเถียนหลิงหลิงเข้ามา
ในห้องเพรสซิเด้นท์สวีทมีครัวแยก เถียนหลิงหลิงกับตงฟางเสวี่ยทำอาหารอยู่ในครัว ส่วนอันหลินนอนพักอยู่บนเตียงเช่นเดิม
ภายในครัว ตงฟางเสวี่ยฮัมเพลงอันไพเราะ ควงมีดทำครัว เมื่อขยับมีด ก็หั่นวัตถุดิบอย่างซี่โครง พริกหยวก แครอทและอื่นๆ จนเสร็จสรรพ
ด้านเถียนหลิงหลิงก็จัดวางวัตถุดิบ ปรุงรส ยุ่งมือเป็นระวิง
…
อันหลินนอนฟังตงฟางเสวี่ยฮัมเพลงเบาๆ ดมกลิ่นหอมยั่วน้ำลายที่โชยมาจากครัว หลับตาพริ้มอย่างพออกพอใจ
…
บริเวณชานเมืองหรงเฉิง ภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายของอารามเมฆขาว พลันก็สาดแสงสีขาวสว่างไสว
หญิงขาเรียวสวมถุงน่องสีดำ รูปร่างสูงระหงเยื้องย่างออกมา
มือซ้ายกอดตำราสีน้ำตาล สวมแว่นตากรอบสีแดง แลดูทันสมัย
ชายวัยกลางคนสวมชุดขาวโบกพลิ้ว กระบี่เหน็บข้างเอวเดินหาวหวอดๆ ตามออกมา
“เยว่อิ่ง ต่อไปพวกเราจะไปไหนกันก่อน” ชายคนนั้นถาม
“อืม…ไปหาตัวแทนวิชาผู้น่ารักของฉันก่อนแล้วกัน”
เซียนพสุธาเยว่อิ่งหัวเราะเบาๆ ใบหน้าเปี่ยมด้วยความคาดหวัง
…………………………………..