ระบบอัจฉริยะที่ไม่มีใครเสมอเหมือน - ตอนที่ 101 พายุที่พัดกระหน่ำเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
เสี่ยวหลัวรู้สึกขบขัน ชายที่สวมโซ่ทองคำนี่มันเป็นอันธพาลมาตั้งแต่เด็กจริงๆ
ชายที่มีรอยแผลเป็น มองไปที่ชายที่สวมโซ่ทองคำ และกลุ่มคนที่.พูดคุยและหัวเราะ กันราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาคุยโม้กันในเรื่องประวัติศาสตร์แสนโรแมนติกในวัยเด็กของพวกเขา ตอนนี้ชายที่มีแผลเป็น รู้สึกโกรธมาก เขาเป็นเหมือนกับวัวที่กำลังคลั่งที่มีดวงตาสีแดงฉาน พร้อมกับจมูกที่พ่นควัน ตอนนี้มันมีเส้นเลือดสีน้ำเงินที่ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา
ในที่สุดเขาก็คำรามและตวาดเสียงดังว่า “ไปฆ่าพวกมานนน!”
ชายเจ็ดแปดคนตะโกนเสียงดังใส่ชายที่สวมโซ่ทองคำในทันที
รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า ของชายทั้งห้าเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาในทันที พวกเขาเป็นเช่นเดียวกับพยัคฆ์ร้ายห้าตัว ที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง โดยไม่มีความเกรงกลัวในดวงตาของพวกเขา พวกเขามีแต่ความตื่นเต้น ราวกับว่าพวกเขาเป็นสัตว์ป่ากระหายเลือดที่เพิ่งจะเห็นเหยื่อของตัวเอง!
“เข้ามา บิดาจะอัดพวกแกเอง!” ชายที่สวมโซ่ทองคำ พูดอย่างเย็นชา
จากนั้นเขาจึงหลบท่อเหล็กที่พุ่งเข้ามาด้านหน้าของเขา และยกเท้าขวาของเขาขึ้นมากระแทกไปที่อกของคนที่วิ่งเข้ามาข้างหน้า อย่างแรงในทันที
“อ๊ากก!”
คนที่ถูกถีบส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาในทันที ตัวของเขากระเดนถอยหลังกลับไปสองสามเมตร ตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่แรงที่จะจับท่อเหล็กที่ถืออยู่ในมือให้มั่นคงได้เลย
แข็งแกร่ง!
เสี่ยวหลัว รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าชายร่างใหญ่ที่สวมโซ่ทองคำ คนนี้ที่ดูติ๊งต๊องจะระเบิดพลังได้มากขนาดนี้ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง
นอกจากชายร่างใหญ่ที่สวมโซ่ทองคำแล้ว อีกสี่คนที่เหลือเองก็ดุร้ายเช่นกัน หากเปรียบเทียบกลุ่มชายที่มีแผลเป็นเจ็ดแปดคนเป็นเหมือนกับหมาป่า นี่มันก็จะแสดงได้ว่ากลุ่มของชายร่างใหญ่ที่สวมโซ่ทองคำ นั้นเป็นเหมือนกับสิงโต! พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน แม้ว่าทีมของชายที่มีแผลเป็นจะมีคนที่แข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเผชิญหน้ากับทีมของชายร่างใหญ่ที่สวมโซ่ทองคำได้เลย
ใช้เวลาเพียงไม่ถึงห้านาที กลุ่มของชายที่มีแผลเป็นก็ล้มลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นด้วยความเจ็บปวดกันจนหมด
“ผู้คนในเมืองนี้ ช่างมีรูปร่างที่อ่อนแอซะจริง พี่น้องของฉันและฉันเพิ่งจะเริ่มต้นการอุ่นเครื่องเอง แต่พวกแกทุกคนกลับหมดท่าไปซะล่ะ *” ชายร่างใหญ่ที่สวมโซ่ทองคำ พูดพร้อมกับเขย่าคอของชายที่มีแผลเป็นอย่างไม่หยุดยั้ง
ชายที่มีแผลเป็นจ้องมองไปที่เขาอย่างดุเดือดและพูดว่า“แกกล้าที่จะรุกรานแก๊งมังกรของเรา! ฉันสัญญาเลยว่า แกจะได้ตายอย่างน่าสังเวชแน่!”
“เปี๊ยะ!”
ชายร่างใหญ่ที่สวมโซ่ทองคำ ตบไปที่ชายที่มีแผลเป็นแล้วตวาดเสียงดังว่า “พูดภาษามนุษย์ หน่อยสิวะ!”
กลิ่นของคาวเลือดลอยคละคลุ้งอยู่ในปากของเขา ขณะที่แก้มด้านในของเขามีเลือดไหลออกมา ชายที่มีแผลเป็นตื่นตระหนกและโกรธมาก เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้พบคนที่โหดเหี้ยมแบบนี้
“พวกแกทั้งห้าควรรีบหนีออกไปจากเจียงเฉิง ไม่เช่นนั้นแก็งมังกรของเราจะ … ”
“เปี้ยะ!”
ชายร่างใหญ่ที่สวมโซ่ทองคำ ตบไปที่หน้าของชายที่มีแผลเป็นอีกครั้ง มันทำให้ฟันของชายที่มีแผลเป็นหนึ่งซี่บินออกจากปากของเขา เหงือกของเขามีเลือดออกและปากของเขาก็เต็มไปด้วยเลือด
“ฉันบอกให้แกพูดภาษาคน แกไม่เข้าใจเหรอ?” ชายร่างใหญ่ที่สวมโซ่ทองคำ คำรามราวกับว่าเขาเป็นพยัคฆ์ร้าย
ชายที่มีแผลเป็นอดที่จะตัวสั่นเทาไม่ได้ มันเจ็บปวดเกินไปแล้ว น้ำตาที่ไม่มีการควบคุมของเขาเริ่มไหลออกมา เขารู้สึกว่าใบหน้าของเขามันกำลังบวมขึ้นอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวหลัว ยกคิ้วขึ้นและนั่งลงดูด้วยความสนใจ เขาคิดว่าชายที่สวมโซ่ทองคำ คนนี้น่าสนใจมากๆ
“ถ้าแกยังไม่ยอมแพ้ พี่เฟิงคนนี้จะทุบตีแกจนกว่าแกจะตาย” ชายที่สวมโซ่ทองคำพูดติดตลกเยาะเย้ยชายที่มีแผลเป็น
ชายที่มีแผลเป็นไม่สามารถที่จะพูดได้เนื่องจากความเจ็บปวดที่เขารู้สึก เขาจำนนต่อความเจ็บปวดนี้แล้ว เขาถูกทุบตีอย่างรุนแรง แต่เขายังต้องขอความเมตตา แต่สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือการร้องไห้ เมื่อมองไปที่ชายร่างใหญ่ที่สวมโซ่ทองคำ กำลังยกมือขึ้นเขาก็กลัวจนฉี่แทบจะราด และพูดอ้อนวอนออกมาว่า:“ฉันยอมแพ้ – หยุด – หยุดตีฉันได้แล้ว…”
ความโกรธของชายร่างใหญ่ที่สวมโซ่ทองคำ กลายเป็นรอยยิ้ม มือที่แข็งกระด้างที่ยกขึ้นมาสำหรับไว้ตบ กลายไปเป็นสัมผัสที่นุ่มนวลและอ่อนโยน เขาตบไปที่ใบหน้าของชายที่มีแผลเป็น ด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ในที่สุด พูดคำพูดแกก็เป็นภาษามนุษย์ซะที โอเคเพราะแกพูดภาษามนุษย์เหมือนกัน ฉันก็จะไม่ตีแกอีกต่อไป ออกไปซะ.”
เขาปล่อยและทิ้งร่างของชายที่มีแผลเป็นลงไปที่พื้น
ชายที่มีแผลเป็นไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก ในขณะที่เขาพยายามลุกขึ้น เขาก็โบกมือให้ลูกน้องของเขา รีบออกไปจากที่นี้ในทันที
“เฮ้ แกไม่ต้องการสิ่งของเหล่านี้แล้วเหรอ?” ชายร่างใหญ่ที่สวมโซ่ทอง ตะโกนใส่ชายที่มีแผลเป็น และชี้ไปที่ท่อเหล็กและไม้หน้าสามที่กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
เมื่อได้ยินเสียงตะโกน ชายที่มีแผลเป็นและแก๊งของเขา ก็กลัวเหมือนกับกระต่ายตื่นตูม พวกเขาออกแรงวิ่งเร็วยิ่งขึ้น ในพริบตาแม้แต่เงาของพวกเขาก็มองไม่เห็น
“เชี้…ยเอ้ย พวกมันขี้อายยิ่งกว่าหนูซะอีก!” ชายร่างใหญ่ที่สวมโซ่ทองคำ อุทานและตบไปที่ด้านหลังศีรษะของเขา การแสดงออกของเขาแสดงให้เห็นถึงความรังเกลียดที่มีต่อชายที่มีแผลเป็น
“ว้าว พี่เฟิง พี่ใช้สำนวนจริงๆด้วย!”
“นั่นเป็นเพราะว่าฉันเป็นคนที่มีวัฒนธรรม ฉันแตกต่างจากคนอื่นๆ ที่ไร้มารยาท มิฉะนั้นฉันจะเป็นลูกพี่ของพวกแกได้อย่างไร” ชายที่สวมโซ่ทองคำพูดโอ้อวดอย่างภาคภูมิใจ
พวกเขาทั้งสี่พยักหน้าเหมือนกับไก่ที่จิกข้าว
“พี่เฟิงของฉัน พี่ยอดเยี่ยมมาก!”
“เอาล่ะ หยุดพูดคำเยินยอได้แล้ว” ชายร่างใหญ่ที่สวมโซ่ทองคำพูดพร้อมกับโบกมือ จากนั้นเขาก็หันกลับมา แลเดินไปที่เสี่ยวหลัวและพูดว่า“น้องชายนี่หยาบคายจริงๆ ฉันช่วยน้องชายไว้ แต่น้องชายกลับไม่ได้พูดขอบคุณพี่ใหญ่คนนี้เลยสักคำ และน้องชายยังจะมานั่งอยู่ที่นี่เหมือนพระพุทธเจ้าที่กำลังดูละครอีก พี่ใหญ่คนนี้หรือแม้แต่ประธานเหมา ก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงกับน้องชายได้เลย พี่ใหญ่คนนี้รู้สึกเคารพน้องชายจริงๆ!”
เสี่ยวหลัวยิ้มและลุกขึ้นพร้อมกับพูดว่า“ตอนนี้มันยังไม่สายที่จะพูดใช่มั้ย ขอบคุณ.”
“ไม่มีอะไรน่าพูดถึง มันเป็นเพียงแค่การต่อสู้เล็กๆน้อยๆ การช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือตามถนน นับว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วที่ผู้ชายควรกระทำ”
ชายร่างใหญ่ที่สวมโซ่ทองคำ ตบไปที่หน้าอกของตัวเอง เขายิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า “พี่ใหญ่คนนี้ชื่อว่า เฟิง อู่ฮั่น แต่น้องชายจะเรียกฉันว่า พี่เฟิง ก็ได้นะ”
เสี่ยวหลัวยื่นมือออกไปจับแล้วแนะนำตัวเองอย่างอบอุ่นว่า“ผม เสี่ยวหลัว!”
เสี่ยวหลัว?
เมื่อได้ยินชื่อ ใบหน้าของชายทั้งสี่และ เฟิง อู่ฮั่น ก็แปลกไป
“น้องชาย พูดว่าชื่อของน้องชายคืออะไรนะ” เฟิง อู่ฮั่น ถามด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เสี่ยวหลัวเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านี้ ทำไมพวกเขาถึงมีปฏิกิริยาแปลกๆ เมื่อได้ยินชื่อของเขา เขาพูดชื่อของเขาย้ำอีกครั้ง:“เสี่ยวหลัว!”
ผู้ชายคนหนึ่งที่มีผิวสีแทนเล็กน้อย และมีดวงตาที่เหมือนกับเสือดาว เขานำโทรศัพท์มือถือที่ล้าสมัยออกมาจากกระเป๋าของเขา เขามองดูเสี่ยวหลัวอย่างละเอียดราวกับว่าเขาต้องการที่จะตรวจสอบถึงตัวตนของเสี่ยวหลัว
หลังจากการยืนยันเขาก็พูดกับลูกพี่ของเขาว่า“พี่เฟิง เขาคือเสี่ยวหลัวที่เรากำลังตามหา!”
เฟิง อู่ฮั่น ตกใจมากและพูดว่า“อะไรนะ? เราเดินทางไปทั่วและพยายามค้นหาเขาอยากยากลำบาก แต่เขากลับอยู่ภายใต้จมูกของเรานี่เอง มันเป็นเวลาเกือบเดือนแล้วและในที่สุดเราก็พบเขา”
คนอื่นๆ ก็มีความสุขเช่นกัน พวกเขาเป็นเหมือนกับสัตว์ร้ายที่เห็นอาหารของพวกมันในที่สุด ดวงตาของพวกเขาตอนนี้ราวกับถูกเผาและเต็มไปด้วยความหลงใหล
“พวกคุณเป็นใคร?” เสี่ยวหลัว ถามในทันที เมื่อเขารู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่ผิดปกติ
“น้องชาย ไปทำอะไรให้พวกคนรวยขุ่นเคือง ทำไมเขาถึงได้จ่ายค่าหัวน้องชายสูงถึง 20,000 หยวน เพื่อทำลายมือของน้องชายได้?” เฟิง อู่ฮั่น พูด ปากของเขาเผยรอยยิ้มที่ขี้เล่น
สองหมื่นหยวน? มันเป็นจำนวนที่สูงแล้วงั้นเหรอ?
เสี่ยวหลัว นิ่งค้างไปอยู่ครู่หนึ่ง หากพวกนี้มาจากชนบทจริงๆ เงินจำนวน 20,000 หยวน มันก็เป็นเงินจำนวนที่มากจริงๆนั่นแหละ
นอกจากนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าใครต้องการทำให้มือของเขาพิการ และก็มองหาเขามาเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ฝแบบนี้
“น้องชาย ด้วยมิตรภาพของเรา ฉันจะอ่อนโยนเท่าที่ฉันสามารถทำได้ ฉันจะทำมันอย่างนุ่มนวล มันมีโรงพยาบาลอยู่ใกล้เคียงแถวๆนี้ ดังนั้นถ้าฉันหักมือข้างหนึ่งของน้องชายไป มันก็จะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของน้องชาย”เฟิง อู่ฮั่น พูดพลางหัวเราะคิกคัก
“นายจ้างของคุณคือใคร”
เสี่ยวหลัวถาม เขารู้สึกพูดไม่ออก เมื่ออันธพาลกลุ่มหนึ่งจากไป มันก็ยังจะมีอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังจะสร้างปัญหาขึ้นมาอีก
“สำหรับพวกเราที่ทำงานแบบนี้ ความน่าเชื่อถือ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด น้องชายคิดว่าฉันจะบอกน้องชายงั้นเหรอ?” เฟิง อู่ฮั่น พูดตอบ
“พี่เฟิง ไม่ต้องไปเสียเวลากับเขาแล้ว เงินรางวัลนั้นยังรอพวกเราไปรับอยู่ ค่าครองชีพในเมืองนี้สูงมาก หากไม่มีรายได้ใดๆ เราจะต้องนอนใต้สะพานลอยในไม่ช้านี้แน่” ชายที่ดูดุร้ายกำหมัดกำพร้อมกับตะโกนขึ้นมา