ระบบอัจฉริยะที่ไม่มีใครเสมอเหมือน - ตอนที่ 125 กล้ำกลืน
แม้ว่าสวนสาธารณะนี้มันจะหนาวเย็นและไม่มีชีวิตชีวา แต่มันก็เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับเสี่ยวหลัวกับซุนยู้ แล้วที่จะมากินมันหวานเผาที่นี้
มันหวานเผานั้นกรอบนอกนุ่มในและมีรสชาติที่อร่อยมาก ถึงแม้ว่า ซุนยู้ จะไม่ใส่ใจกับรูปร่างหน้าตาของตัวเองมากนัก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเธออยู่ต่อหน้าเสี่ยวหลัวเธอก็มักจะคุมพฤติกรรมของตัวเองมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีมันเผาของชอบที่แสนอร่อยอยู่ตรงหน้า เธอก็ไม่สามารควบคุมตัวเองได้ เธอกัดลงไปที่มันเผาคำใหญ่ในทันที
เธอยิ้มอย่างอายๆขณะมองไปที่เสี่ยวหลัวพร้อมกับถามว่า“ฉันดูน่าเกลียดไหม?”
เสี่ยวหลัวส่ายหัว ความตรงไปตรงมาของซุนยู้ คือสิ่งที่เขาคิดว่ามันน่าสนใจมากที่สุดเกี่ยวกับตัวเธอ เขากล่าวว่า“”การกินมันหวานเผามันไม่จำเป็นที่จะต้องมาสนใจรูปลักษณ์รูปภายนอกนักหรอก เมื่อตอนที่ฉันเป็นเด็กฉันก็กินแบบคุณนี่แหละ ”
ดวงตาของซุนยู้สว่างขึ้น: “ตอนเด็กพี่เคยกินมันหวานเผาด้วยเหรอ?”
“ทุกคนที่มาจากชนบทก็ควรที่จะเคยกินนะ” เสี่ยวหลัวหัวเราะเบาๆ
ซุนยู้พยักหน้าแล้วถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า: “ตอนที่พี่ยังเด็กพี่ทำมันหวานเผากินยังไง มันเหมือนกับฉันไหม ที่สร้างเตาเผาด้วยก้อนหินและนำพวกมันไปอบหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ เมื่อตอนที่ฉันเป็นเด็กฉันมักจะแอบนำมันหวานไปวางไว้ที่เตา เมื่อตอนที่พวกผู้ใหญ่ทำอาหาร โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว”
“ทำไมพี่ถึงไม่บอกให้พวกเขารู้หละ”
“ครอบครัวของฉัน คิดว่ามันหวานนั้นไม่ดีหลังจากที่เผามัน พวกเขาคิดว่าฉันเป็น” คนที่มีร่างหยาง“มากกว่า พวกเขาจึงคิดว่ามันเป็นอันตรายต่อร่างกายของฉัน ดังนั้นพวกผู้ใหญ่จึงห้ามไม่ให้ฉันกินมัน มันมีหลายครั้งที่มันหวานของฉัน ถูกเผาจนไหม้ไปหมด เพราะฉันไม่สามารถเอาพวกมันออกมาได้ทันเวลา เพราะว่ามีพวกผู้ใหญ่คอยจับตามองอยู่ ”เสี่ยวหลัว เล่าถึงตอนที่เขายังเด็กอยู่และเขาก็พบว่าชีวิตในวัยเด็กมันช่างสนุกและมีความสุขมากจริงๆ
ซุนยู้หัวเราะออกมาและถามว่า“ดูเหมือนว่าพี่จะสูญเสียมันหวานไปเยอะมากเลยสินะตอนที่พี่ยังเด็ก”
เสี่ยวหลัวส่ายหัวแล้วพูดว่า“ฉันไม่ได้ทำพวกมันเสียเปล่า เมื่อตอนที่ฉันยังเด็กฉันไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก ดังนั้นฉันจึงเอามันเผาที่ไหม้ไปล้าง และนำพวกมันมากินทั้งที่รสชาติแย่ๆ”
“ฮะ? ปากของพี่มันคงจะเปลี่ยนไปเป็นสีดำทั้งหมดแน่ๆเลยในตอนนั้น”
“ฉันไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ในเวลานั้น”
“นั่นก็จริง ทุกคนคิดว่าการเผามันหวานแสนอร่อยในตอนเด็กมันเป็นเรื่องที่สนุกมาก ดังนั้นตอนที่พวกเรายังเด็กพวกเราก็เลยไม่เคยคิดถึงเรื่องที่จะตามมาเลย”
……
พวกเขาทั้งสองคุยกันเกี่ยวกับการกินมันหวานในวัยเด็กของพวกเขา พวกเขาคุยกันจนเพลินจนเวลาผ่านไปโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
เมื่อพวกเขาไปถึงหน้าทางเข้าของโรงพยาบาลมันก็เป็นเวลาตี 4 แล้ว เมื่อพวกเขาแยกทางกันดวงตาของซุนยู้ ก็มองไปที่รถของเสี่ยวหลัวที่กำลังขับออกไปไกล เธอไม่ละสายตาไปจากมันเลยจนกระทั่งรถของเสี่ยวหลัวหายลับสายตาไป เธอจึงหันกลับมาและเดินกลับเข้าไปที่โรงพยาบาล
สำหรับเสี่ยวหลัวแล้วการพบกันครั้งที่สองของเขากับซุนยู้ มันทำให้เขารู้สึกประจับใจในตัวเธอมากขึ้น
แน่นอนว่าเสี่ยวหลัวไม่รู้ว่าซุนยู้จะเป็นโชคชะตาของเขาหรือเปล่า แต่เขาก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น หญิงสาวที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้นั้นหายากมากในปัจจุบัน อีกอย่างเขากับเธอก็เข้ากันได้ง่าย และเธอก็เป็นคนที่เหมาะสมที่เขาจะใช้ชีวิตที่เหลือกับเธอด้วย
******
อากาศบริสุทธิ์ลอยผ่านเข้ามาทางหน้าต่างพร้อมกับแสงสีทอง ของรุ่งอรุณรุ่งที่มาถึง
ในที่สุดพวกเขาก็ตื่นขึ้นมา แต่พวกเขาก็ยังอ่อนแอและอ่อนแรงอยู่มาก เมื่อเสี่ยวหลัวเดินออกมาจากห้องนอน พวกเขาทั้งห้าคนก็ลุกขึ้นกล่าวขอบคุณเสี่ยวหลัวในทันที
“นอนลงไปเถอะ อย่าขยับเยอะ ไม่เช่นนั้นบาดแผลของพวกคุณอาจจะเปิดขึ้นมาอีกครั้ง”เสี่ยวหลัวกล่าวขณะที่ติดกระดุมแขนเสื้อของเขา
“พี่ใหญ่เสี่ยวขอบคุณ จากนี้ไปพี่จะเป็นพี่ใหญ่ของฉัน”
ในหัวใจของ เฟิง อู๋ฮั่น นั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมต่อ เสี่ยวหลัว เขาตะโกนใส่คนอื่นๆและให้พวกเขาเรียกเสี่ยวหลัวว่า“พี่ใหญ่”
“พี่ใหญ่!” เสี่ยวอู๋และชายทั้งสามคนตะโกนผสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง
ใบหน้าของเสี่ยวหลัว มีเส้นสีดำปรากฏขึ้นมา พี่ใหญ่? พวกนี้มันคิดว่าเขาเป็นพวกนักเลงหรือไง!
จาง ซูซาน ผู้ซึ่งเพิ่งจะทิ้งระเบิดทางชีวภาพในห้องน้ำผลักประตูห้องน้ำเปิดออกมา เขาพูดในขณะที่รูดซิปกางเกงของเขาว่า“พี่ใหญ่อะไร เสี่ยวหลัวเป็นประธานของ บริษัท ไม่ใช่พวกหัวหน้าแก๊งอะไรพวกนั้น พวกคุณไม่รู้สึกอึดอัดใจหรือไงที่เรียกเขาว่า ‘พี่ใหญ่’ และนอกจากนี้ไอคำว่า พี่ใหญ่ มันช่างเป็นคำพูดที่ล้าสมัยจริงๆ”
เฟิง อู๋ฮั่น ขมวดคิ้ว พร้อมกับพูดว่า“มันก็จริง ฉันคิดว่าพวกเราเปลี่ยนไปเรียกว่า”พี่ชายเสี่ยว” ดีกว่า มันฟังดูจริงใจมากกว่า”
“เรียกเขาว่า พี่เสี่ยว หรือ คุณเสี่ยว ดีกว่านะ” จาง ซูซาน พูดพร้อมกับตบไปที่ไหล่ของ เฟิง อู๋ฮั่น
“ซูซาน เนื่องจากแก กำลังพักอยู่ ดังนั้นฉันจะทิ้งพวกเขาไว้กับแก ฉันไปบริษัทก่อนนะ” หลังจาก เสี่ยวหลัว พูดเสร็จเขาก็เดินออกไปที่ประตู หลังจากนั้นเขาก็หยุดเท้าและหันกลับมา“อ่า ใช่แล้ว” เขากล่าวเสริมว่า“พวกเขาเสียเลือดไปมาก ดังนั้นแกควรไปซื้ออาหารเพื่อสุขภาพ มาให้พวกเขากิน แกเองก็ควรจะกินเช่นกัน ฉันคิดว่าแกควรจะทำอะไรกับใบหน้าอ้วนๆกับร่างผอมๆของแกได้แล้ว คนอื่นๆที่มองแกจากในระยะไกลมักจะคิดว่าหัวของแกถูก ตัดต่อ เข้ามาใส่ร่างกายของแก”
จาง ซูซาน เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวหลัว อารมณ์ของเขาก็พุ่งขึ้นสูงในทันที แค่บอกให้เขาไปซื้ออาหารเพื่อสุขภาพมาก็พอแล้ว ’ทำไมเสี่ยวหลัวจะต้องมาล้อเล่นกับใบหน้าของเขาด้วย? มันช่างเป็นอะไรที่น่าโมโหจริงๆ!
อย่างไรก็ตามตอนนี้เสี่ยวหลัวเขาได้หนีหายไปแล้ว แม้ว่าเขาจะต้องการระเบิดอารมณ์แต่เขาก็ไม่มีใครที่เขาจะสามารถระเบิดอารมณ์ด้วยได้
“พี่จาง พวกเราไม่ได้กินอะไรดีๆมาหลายวันแล้ว ได้โปรดซื้อเนื้อมาให้พวกเราด้วย” เฟิง อู๋ฮั่น พูดพร้อมกับน้ำลายไหล
เชี้..ยเอ้ย นี่คืออะไร?
นี่เป็นวิธีที่คุณพูดคุยกับคนที่คุณเพิ่งรู้จักกันงั้นเหรอห่ะ!
จาง ซูซาน ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าเขานั้นรู้สึกแย่แค่ไหน การเป็นพี่เลี้ยงสำหรับผู้ชายห้าคนที่ตัวโตอย่างกับควายแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับตกลงนรกอย่างแท้จริง
จาง ซูซาน พูดถามอย่างเย็นชาว่า“พวกคุณเอากะโปกหมูด้วยเลยไหมหละ?”
“เเน่นอน! พ่อของฉันบอกว่ากระโปกหมูเป็นส่วนที่มีคุณค่าทางโภชนาการของสัตว์มากที่สุด”
“ถ้าพี่ได้กระโปกช้างมา นั้นมันจะดีมากเลย พวกเราจะกลายเป็นเสือคึกหลังจากที่ได้กินมันเข้าไป!”
เสี่ยวอู๋ และคนอื่นๆตื่นเต้นมาก พวกเขาเคยได้ยินมาว่าอวัยวะเพศของสัตว์นั้นอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ แต่พวกเขาก็ไม่เคยลิ้มลองมันมาก่อนเลย และมันก็มีรสชาติที่แรงและฉาวโฉ่มาก แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดาในปัจจุบันของพวกเขา พวกเขาสามารถกินอะไรก็ได้ที่มันมีคุณค่าทางโภชนาการโดยไม่สนใจในเรื่องของรสชาติ
เฟิง อู๋ฮั่น รู้สึกยินดีมากยิ่งขึ้นเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เขาพูดกับ จาง ซูซูซาน ด้วยรอยยิ้ม“พวกเราหวังเพิ่ง พี่จาง อยู่นะ”
เรื่องนี้มันคือ เชี้..ย ไรว่ะเนี้ยยยย!
จาง ซูซาน อยากจะบ้าตาย เขาคิดว่า: พวกมันไม่รู้หรือไงว่าฉันพูดประชด กระโปกช้างงั้นเหรอ ทำไมพวกแกไม่สั่งให้ฉันไปซื้อกระโปกคนจริงๆมาให้พวกแกทำซุปศักดิ์สิทธิ์ซะเลยหวะห่ะ!
“พวกคุณมันไร้ยางอายยิ่งกว่าฉันซะอีก!”
จาง ซูซาน พูดประโยคที่รุนแรงออกไป และเดินออกไปซื้ออาหารหลังจากที่แต่งตัวเสร็จ เนื่องจากเสี่ยวหลัวขอให้เขาดูแลคนเหล่านี้ให้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่ละเลยพวกเขา
*******
“ประธานเสี่ยว ฉันได้ยินมาว่าคุณขอให้ คุณหลี่ ฟ้องนักข่าว เฉิน เจียนไป่ ที่เขียนข่าวของหลัวฝางงั้นเหรอ” สวี่ กว่างซ่ง เดินเข้ามาในห้องทำงานของเสี่ยวหลัว แล้วถามคำถามกับเขา
“ใช่แล้ว!” เสี่ยวหลัววางงานที่อยู่ในมือของเขาลง แล้วเงยหน้าขึ้นมามองเขาพร้อมกับถามว่า “คุณมีปัญหากับเรื่องนี้งั้นเหรอ?”
“ไม่แน่นอน หากเราชนะคดีความนี้ ชื่อเสียงของ หลัวฝาง จะกลับคืนมาอีกครั้งและลูกค้ารายเก่าของเราก็จะกลับมา” สวี่ กว่างซ่ง กล่าวอย่างจริงจังต่อว่า “แต่ถ้าเราแพ้คดี ชื่อเสียงของเราก็จะตกต่ำลงเช่นกัน ผมได้ยินมาว่า เฉิน เจียนไป่ กำลังระดมกองทัพนักข่าวทั้งหมดมารุมโจมตีพวกเรา ถ้าพวกเราแพ้คดี”
เสี่ยวหลัวยิ้มและพูดว่า“ดูเหมือนว่าเขาจะมั่นใจมาก”
“แน่นอน เขาว่าเขามั่นใจเช่นนี้ก็เพราะว่าเขามี Taste Buds เป็นที่พึ่ง ประธานเสี่ยว ผมคิดว่าเราควรปล่อยมันไปจะดีกว่า บริษัท หลัวฝาง ของเราไม่สามารถทนได้อีกแน่ถ้าเราพ่ายแพ้ดคี แม้ว่าเราจะยังคงสูญเสียเงินและลูกค้ารายใหม่ไปในทุกๆวัน แต่เราก็ยังมีลูกค้าเก่าของเราหลายคนที่สั่งขนมไหว้พระจันทร์ไว้สำหรับพนักงาน ตราบใดที่เรายังยึดมั่น เราก็จะผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน”
“ผ่านมันไปได้ ยังไง?”
เสี่ยวหลัวไม่เห็นด้วยกับมุมมองของ สวี่ กว่างซ่ง เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “เรามีคนงานกว่า 500 คน ที่อยู่ภายใต้ หลัวฝาง เราต้องจัดหาอาหารเครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัยและการรับส่งสำหรับคนงานกว่า 500 คน และเราก็มีเงินเหลืออยู่เพียงแค่ 4 ล้าน เท่านั้น ถ้าเราดำเนินการเช่นนี้ต่อไป ภายในสองเดือนบริษัทของเราจะต้องปิดตัวลงไปอย่างแน่นอน มันมีเพียงแค่สองเส้นทางเท่านั้น นั่นคือบริษัทของเราจะมีชีวิตอยู่ต่อหรือตายไป! “