ระบบอัจฉริยะที่ไม่มีใครเสมอเหมือน - ตอนที่ 153 เวลาที่แสนสวยงามในอดีต
เสี่ยวหลัวและ หลี่ จื่อหมิง นั่งลงในพื้นที่ต้อนรับของร้านและสั่งชาร้อนมาดื่ม
หลังจากที่ให้บริการลูกค้าเสร็จสิ้น ซุน เจียนอัน ก็เดินเข้ามาอย่างกระตือรือร้นและถามด้วยรอยยิ้มที่สุภาพว่า:“ประธานเสี่ยว คุณมีคำแนะนำอะไรที่ดีๆสำหรับร้านค้าของเราบ้างไหม?”
เมื่อก่อนเขาอาจจะไม่เชื่อเสี่ยวหลัว แต่ตอนนี้เขาเชื่อมั่นในความเป็นผู้นำของเสี่ยวหลัว 100% หาก เสี่ยวหลัว ไม่มีทักษะ บริษัท หลัวฝาง ก็คงจะไม่สามารถกลับมายืนได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ แม้กระทั่งประธานของ Taste Buds ฝาง ฉงเหล่ ก็พ่ายแพ้ให้กับเสี่ยวหลัว ความสามารถของชายหนุ่มคนนี้ มันทำให้เขารู้สึกราวกับว่า เสี่ยวหลัว เขาเป็นเหมือนกับเทพที่ยืนอยู่เหนือมนุษย์
“ฉันมีเพียงคำแนะนำเดียว”
เสี่ยวหลัวยิ้มแล้วหันหน้าไปมอง หลี่ จื่อเมิ่ง ที่นั่งอยู่ข้างๆเขา“และมันก็จะเป็นข้อกำหนดสำหรับผู้จัดการร้านค้าทุกคนของเรา”
หลี่ จื่อเมิ่ง ดึงกระดาษและปากกาออกมาอย่างรวดเร็ว เพื่อบันทึกคำพูดของ เสี่ยวหลัว อย่างรอบคอบ เพื่อที่เธอจะสามารถนำมันไปแพร่กระจายให้กับเหล่าผู้จัดการร้านค้าทั้งหมดได้
“ผู้จัดการร้านค้าทุกคน ควรจะเรียนรู้การใช้ทฤษฎี 5S เพื่อจัดการกับร้านค้าของพวกเขา” เสี่ยวหลัว กล่าว
ทฤษฎี 5S?
ซุน เจียนอัน มองไปที่เสี่ยวหลัวด้วยความตกตะลึง และเขาก็มองไปที่ หลี่ จื่อเมิ่ง ด้วยความสับสน
เสี่ยวหลัว หัวเราะออกมา และพูดว่า:“ทฤษฎี 5S มี การจัดองค์ประกอบ,แนวปฏิบัติ,ความสะอาด,ความเหมือนกันและผลสัมฤทธิ์ การจัดองค์ประกอบหมายถึงการจัดระเบียบขนมอบให้ชัดเจนตามอายุและเก็บรักษาพวกมันไว้อย่างดี และสิ่งที่สำคัญคือขนมที่กำลังจะหมดอายุจะต้องไม่ถูกวางไว้บนชั้นวางผลิตภัณฑ์และจะต้องถูกกำจัดโดยเร็วที่สุด แนวปฏิบัติหมายถึงการจัดเก็บทุกอย่างไว้ในร้านค้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและติดป้ายชื่อและสต็อคสิ้นให้ค้าเหมาะสม ความสะอาดหมายถึงการทำความสะอาดเก็บสิ่งสกปรกและฝุ่นละอองทั้งหมดเพื่อป้องกันการปนเปื้อนใดๆ …”
ในขณะที่เสี่ยวหลัวกำลังเล่าเรื่องทฤษฎี 5S ให้แก่ ซุนเจียนอัน และ หลี่ จื่อเหมิง ฟัง แต่ทันใดนั้นเองมันก็มีผู้หญิงสองคนกำลังเดินทางมาที่ร้านเพื่อซื้อเค้กและขนมปัง
พวกเธอแต่งตัวทันสมัยและมีรูปร่างที่ดี หนึ่งในนั้นมีผมที่ลอนเล็กน้อยและดูมีสปิริตสูง ในขณะที่อีกคนหนึ่งดูมีสีหน้าที่หมองม่นและมีผิวสีขาวซีด แต่ลักษณะที่อ่อนหวานของเธอมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เด็กผู้ชายจำนวนมากหลงไหล
“เหมิ่งชี แผลผ่าตัดของเธอยังไม่หายดีเลยนะ หมอบอกว่าเธอต้องระวังเป็นพิเศษ” หญิงสาวที่มีผมลอนเล็กน้อยเตือนผู้หญิงที่มีผิวขาวซีด
พวกเธอคือ หม่า หลินเจ๋อ และ จ้าว เหมิ่งชี!
จ้าว เหมิ่งชี ส่ายหัวของเธอ“ไม่ต้องกังวล ฉันรู้สึกหิวเมื่อฉันได้กลิ่นของขนมปังที่สดใหม่จากเตาอบ เข้าไปดูข้างในกันดีกว่า”
หม่า หลินเจ๋อ ขบริมฝีปากของเธอลง:“เธอไม่สามารถกินมันได้ ถึงแม้ว่าเธอจะอยากมันมากก็ตาม ตอนนี้เธอสามารถกินได้แต่โจ๊กข้าวอ่อนเท่านั้น”
“ถ้าฉันไม่สามารถกินมันได้ ฉันก็จะเข้าไปและดมกลิ่นของมัน ฉันพอใจแล้วที่ได้ดมกลิ่น” จ้าว เหมิ่งชี หัวเราะ
“ฉัน…เห้อ…ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้วจริงๆ”
หม่า หลินเจ๋อ ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยอมรับ“แต่เธอทำได้แค่ดมกลิ่นมันเท่านั้นนะ!”
“ตกลง….”
จ้าว เหมิ่งชี พยักหน้า
ทั้งสองเดินเข้าไปในร้าน และทั้งสองก็ได้รับการต้อนรับด้วยฉากที่เต็มไปด้วยขนมปังและขนมอบที่ไม่เหมือนใคร ขนมปังฝรั่งเศสนุ่มๆ เค้กก้อนเล็กๆ ขนมปังฝอยพุดดิ้งม้วนสวิส ฯลฯ ทุกอย่างในร้าน มันทำให้เกิดความอยากอาหารและนั่นมันก็ทำให้ หม่า หลินเจ๋อ ผู้ซึ่งไม่หิวก่อนหน้านี้กลืนน้ำลายของเธอลงไปอึกใหญ่
“ถ้าเธออยากกินก็แค่ซื้อมัน!” จ้าว เหมิ่งชี พูดยุยง
หม่า หลินเจ๋อ โบกมือแล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า:“ฉันทำไม่ได้ เพื่อที่จะรักษาร่างกายของฉันในตอนนี้ ฉันไม่สามารถที่จะกินอาหารที่มีแคลอรีสูงเช่นนี้ได้”
“เมื่อก่อนฉันก็กินพวกนี้ตลอด ฉันไม่เห็นจะอ้วนขึ้นเลย” จ้าว เหมิ่งชี กล่าว
เมื่อพูดจบแสงบนใบหน้าของเธอก็จางลงไปในทันที ที่เมื่อก่อนเธอได้กินขนมปังอยู่บ่อยครั้ง มันก็เป็นเพราะว่าเสี่ยวหลัวซื้อให้เธอ เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าครั้งหนึ่งที่เธอไปร้านเบเกอรี่ หลัวฝาง กับเสี่ยวหลัว เมื่อไปถึงก็พบว่าตัวเองมีเงินอยู่เพียงไม่กี่หยวน และมันก็สามารถซื้อได้เพียงแต่ขนมปังชิ้นเล็กๆเท่านั้น
เวลานั้นมันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมและสนุกจริงๆ!
อย่างไรก็ตามเธอได้ทำลายอดีตที่ยอดเยี่ยมด้วยมือของเธอเองไปหมดแล้ว …
“เหมิ่งชี เกิดอะไรขึ้น” หม่า หลินเจ๋อ ถามด้วยความกังวล
จ้าว เหมิ่งชี สูดหายใจเข้าลึก และยิ้มให้:“ไม่…ไม่มีอะไร ว่าแต่ว่า หม่า หลินเจ๋อ เธอไปเอาเงิน $ 100,000 หยวน สำหรับการรักษาของฉันมาจากไหน?”
เธอจำได้อย่างคลุ่มเครือว่าเธอเห็น เสี่ยวหลัว เมื่อตอนที่เธอกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น อยู่บนเตียงในโรงพยาบาล และเมื่อตอนที่เธอฟื้นขึ้นมา เธอก็ได้ยืนยันความสงสัยของเธอกับ หม่า หลินเจ๋อ แต่ หม่า หลินเจ๋อ ก็บอกแค่ว่าเธอนั้นฝันไปเอง
“ฉันไม่ได้บอกเธอไปแล้วหรอกเหรอ? ว่าฉันได้รับมันมาจากครอบครัวของฉัน” หม่า หลินเจ๋อ พูดพร้อมกับหลบสายตาไปด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อยจากการโกหก
“โอ้.”
จ้าว เหมิ่งชี จ้องมองไปที่ หม่า หลินเจ๋อ ด้วยความผิดหวังเล็กน้อยแล้วพูดว่า“ฉันจะจ่ายเงินคืนให้กับเธอเอง”
“ไม่ต้องกังวลหรอก ครอบครัวของฉันไม่ต้องการเงิน…”
เสียงของ หม่า หลินเจ๋อ เบาลงเรื่อยๆ เธอพูดออกมาอย่างขาดความมั่นใจ เธอรู้สึกว่าเธอไม่อาจที่จะซ่อนความจริงได้อีกต่อไป เธอไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งและมองไปที่ จ้าว เหมิ่งชี แต่หลังจากความคิดบางอย่างเธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะลองดูอารมณ์ของ จ้าว เหมิ่งชี ก่อน และจากนั้นเธอก็เปลี่ยนหัวข้อเรื่องอย่างรวดเร็ว
“เรื่องเงิน ค่อยพูดคุยกันหลังจากที่เธอหายดีแล้ว ในฐานะพี่สาวฉันต้องดุเธอจริงๆแล้ว เธอไปคบกับ ฮัว ไห่เฟิง เป็นแฟนได้อย่างไร เขาเป็นคนรุ่นที่สองที่ร่ำรวยและไม่มีความสามารถอะไรเลย เขาแค่มีพ่อที่ร่ำรวย เขาไม่แม้แต่จะมาพบเธอตอนที่เธอป่วย เขามันเป็นแค่ไอขยะ! โอ้ไม่สิ แม้แต่เรียกเขาว่าขยะก็ยังใจดีเกินไป เขามันเป็นแค่ก้อนหินใต้หลุมลึกที่เหม็นเน่า!”
จ้าว เหมิ่งชี มีรอยยิ้มที่เศร้าโศกอยู่บนใบหน้าของเธอ: “หลินเจ๋อ ไม่ต้องไปพูดถึงเขาแล้ว ตอนนี้ฉันจะไม่โทษใครเลย ฉันจะโทษเพียงตัวเอง เพราะฉันมันโง่ และไม่สามารถต้านทานการล่อลวงของเงินได้”
“อย่างพูดแบบนั้นเลย มีผู้หญิงเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถยับยั้งการล่อลวงของเงินได้ ยกตัวอย่างเช่น หากมีเด็กรวยบางคนขว้างเงินสองสามแสนหยวนมาให้ฉัน ฉันก็อาจจะเดินไปกับเขาได้โดยไม่ลังเลเลย”
หม่า หลินเจ๋อ เปลี่ยนหัวข้อไปอย่างเชี่ยวชาญ แล้วเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของเสี่ยวหลัว“เอาละเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก เหมิ่งชี ใครคือเสี่ยวหลัว ที่เธอพึมพัมออกมา ตอนที่เธอกำลังตกอยู่ในอาการโคม่างั้นเหรอ?”
จ้าว เหมิ่งชี ตกตะลึงและรู้สึกลำบากใจ: ฉันเรียกชื่อของเขา หลังจากที่ฉันตกอยู่ในอาการโคม่างั้นเหรอ?
“เขาเป็นแฟนเก่าของฉัน และรักครั้งแรกของฉัน เราสองคนเป็นรักครั้งแรกของกันและกัน พวกเราไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับความรักเลยในตอนแรก พวกเราทำตัวโง่ในความรักออกมาตั้งมากมาย และมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในชีวิตของฉัน แต่ตอนนี้ที่ฉันจำได้ ทุกอย่างมันเต็มไปด้วยความหวาน”
เธอยิ้มออกมาอย่างสดใส เมื่อใดก็ตามที่เธอนึกถึงเสี่ยวหลัว จ้าว เหมิ่งชี ก็จะรู้สึกมีความสุข
ภาพความทรงจำเก่าๆในใจของเธอผุดขึ้นมา เมื่อตอนที่เธอไม่ได้นำร่มมา และทำได้เพียงยืนอยู่ด้านหลังป้ายรถเมล์เพื่อรอให้ฝนหยุดตก ด้วยรองเท้าส้นสูงของเธอมันทำให้เธอเจ็บปวดมากจนไม่สามารถเดินได้ แต่เสี่ยวหลัวเขาก็พาเธอขี่หลังกลับไปที่หอพักโดยที่ไม่ได้พูดอะไร เธอจำไม่ได้ว่าเหตุผลมันคืออะไร ที่พวกเธอทะเลาะกันใต้ต้นไม้เมื่อตอนนั้น
“เธอยังรักเขาอยู่ใช่ไหม” หม่า หลินเจ๋อ ถาม
ร่างกายของ จ้าว เหมิ่งชี สั่นเทาเล็กน้อย ความทรงจำทั้งหมดในใจเธอจะยังคงเป็นความทรงจำตลอดไป เธอหัวเราะให้กับตัวเองแล้วส่ายหัว:“ฉันไม่สมควรที่จะรักเขาอีกแล้ว”
“อย่าพูดแบบนั้น บางทีพวกเธอสองคนก็อาจจะสามารถกลับมาอยู่ด้วยกันได้”
หม่า หลินเจ๋อ จับมือของเธอแล้วพูดอย่างกระตือรือร้น:“ไปหาเขากันเถอะ บางทีเขาอาจจะยังรักเธออยู่ก็ได้!”
“ไม่!”
จ้าว เหมิ่งชี สูญเสียการควบคุมอารมณ์ของเธอและตะโกนใส่ หม่า หลินเจ๋อ เมื่อเธอเห็นว่าเพื่อนของเธอยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ สีหน้าของเธอก็เริ่มแสดงถึงความขอโทษออกมา“ฉันขอโทษฉัน…” เธอหลับตาลงแล้วพูดออกมาอย่างเจ็บปวดว่า“ฉันเป็นคนที่ทิ้งเขาไปตั้งแต่แรก ฉันไม่มีหน้าที่จะไปพบเขาอีกแล้ว”