ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1669 เกลดัน
ถึงจะเห็นว่าทุกคนแสดงสีหน้าสงสัยออกมาแต่จางหยูก็ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ
เขาไม่ได้สนใจสุสานขั้น 9 เลย
สำหรับคนอื่นแล้วผู้ควบคุมขั้น 9 คือยอดฝีมือสูงสุดแต่สำหรับจางหยูแล้วการเป็นผู้ควบคุมขั้น 9 นั้น มันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
ไม่นานเขาก็ต้องขึ้นเป็นผู้ควบคุมขั้น 9 อยู่ดี แล้วเขาจะสนใจสุสานขั้น 9 ทำไมกัน ?
“ น่าเสียดายจริงๆ ” อู๋ยงแสดงท่าทีเสียดายออกมา “ สุสานขั้น 9 มีสมบัติอยู่นับไม่ถ้วน มันมีทั้งพาหนะมิติระดับสูง, หินแห่งการสร้างระดับสูงรวมไปถึงสมบัติที่ทรงพลังต่างๆด้วย…”
“ พาหนะมิติระดับสูงรึ ? ” จางหยูยักคิ้ว
เขาไม่ได้สนใจสมบัติอื่นๆแต่สำหรับพาหนะมิติแล้วเขาสนใจอย่างมาก
อู๋ยงพยักหน้าและพูดขึ้น “ โดยทั่วไปแล้วสุสานขั้น 9 นั้นจะทำให้ผู้ควบคุมขั้น 8 นับไม่ถ้วนสนใจ แม้แต่พวกที่ไม่มีสิทธิ์เข้าไปในสุสานก็ด้วย หากรู้พิกัดของสุสานขั้น 9 และมีกุญแจในการเข้าไปในสุสานแล้ว งั้นท่านก็สามารถเข้าไปในสุสานขั้น 9 ได้ แม้ว่ามันจะอันตรายแต่ยิ่งอันตรายเท่าไหร่ก็หมายถึงผลประโยชน์ที่มากเท่านั้น.. จ้าวสิงเคยบอกเรื่องนี้เอาไว้ ข้าเกรงว่าเขาน่าจะมีกุญแจเข้าสู่สุสานขั้น 9 ”
จ้าวสิงตายไปแล้ว กุญแจจะมีอยู่รึไม่นั้นก็ไม่อาจจะรู้ได้
“ คนตายไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดถึง ” แม้ว่าจางหยูจะสนใจในพาหนะมิติระดับสูงแต่ก็แค่สนใจนิดๆ เขาไม่ได้รู้สึกผิดกับการฆ่า จ้าวสิง
เมื่อได้ยินคำพูดของจางหยู ทุกคนก็ไม่พูดถึงสุสานขั้น 9 อีก
“ เมื่อจ้าวสิงตายไป สำนักต้าหยู่ก็รอดพ้น พวกเจ้าสองคนจะอยู่ในโลกนี้ต่อรึไปที่โลกป่าก็ตามแต่ใจพวกเจ้า ” จางหยูมองไปที่ซางอี๋ว์และอู๋ยง แม้ว่าสองคนนี้จะดูภักดีต่อเขาแต่พวกนี้ก็มีความคิดของตัวเอง “ พวกเจ้าเลือกได้เลย ข้าจะไม่บังคับ ”
“ นายท่าน ข้า…” อู๋ยงอยากจะบอกความคิดของตัวเองออกมา
จางหยูโบกมือและพูดขึ้น “ ไม่ต้องรีบเลือก ข้าบอกแล้วว่าไม่ว่าเจ้าจะเลือกอะไรข้าก็จะไม่บังคับ แต่เมื่อตัดสินใจไปแล้ว มันก็ไม่มีทางจะหันหลังกลับได้ เจ้าควรคิดให้ดีก่อนจะตัดสินใจ “ จากนั้นจางหยูก็พูดขึ้นต่อ “ ข้าจะให้พิกัดโลกป่ากับพวกเจ้าเอาไว้ เจ้าค่อยๆคิด หากพวกเจ้าอยากจะไปที่โลกป่า งั้นก็เดินทางไปที่นั่น หากไม่อยากไปที่นั่น ข้าก็ไม่คิดบังคับ เอาล่ะ ข้าพูดในสิ่งที่ต้องการจะพูดหมดแล้ว “
เมื่อพูดจบจางหยูก็ไม่รอให้ซางอี๋ว์และอู๋ยงได้ตอบกลับ เขาได้เดินทางออกไปจากโลกทันที
“ ลุงอู๋..” ซางอี๋ว์มองไปที่อู๋ยง
“ ออกจากที่นี่กันก่อน ” อู๋ยงเงียบไปสักพักและพูดขึ้น “ เราไม่ควรอยู่ที่นี่นานนัก ” เมื่อได้ยินแบบนั้นซางอี๋ว์ก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา นี่คือโลกและสำนักที่พ่อของนางสร้างขึ้นมา สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีที่สำหรับนาง มันช่างปวดใจจริงๆ
แต่อู๋ยงก็พูดถูก สำนักต้าหยู่ตอนนี้กำลังแบ่งแยกกันเป็นส่วนๆ มันวุ่นวายอย่างมาก หากพวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะเกิดอันตรายขึ้นกับตัวเอง
ใครจะไปรู้ว่าพวกผู้ควบคุมขั้น 6 คนอื่นๆจะคิดยังไงในตอนนี้ ?
“ ท่านจางให้เราเลือกแต่ไม่ได้สนใจเรื่องความแข็งแกร่งของเรารึฐานะของเราในอดีต มันเป็นไม่ได้แล้วที่เราจะอยู่ในสำนักต้าหยู่ต่อ..” อู๋ยงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ ตอนนี้เราไปที่ไหนไม่ได้นอกจากโลกป่า ”
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีที่ไป แต่เพราะไม่มีที่ไหนดีสำหรับพวกเขามากกว่าโลกป่า
….
ในความโกลาหล จางหยูได้ควบคุมพาหนะมิติเดินทางออกไปยังโลกสวรรค์ร้าง
หากนับดูจากเวลาแล้ว เกลดันคงเกือบจะไปถึงโลกสวรรค์ร้างแล้ว รึไม่ก็อาจจะอยู่ที่นั่นแล้วก็ได้
“ ทาสขั้น 8 …” เมื่อคิดแบบนั้นจางหยูก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
เขาคิดไม่ถึงจริงๆเลยว่าเกลดันจะยอมเป็นทาส ด้วยตัวตนระดับนี้แล้วก็ทำให้เขาเชื่อมั่นในตัวเกลดันมากกว่าเดิม เขาถึงกับคิดให้เกลดันมาเป็นกองกำลังของเขา แน่นอนว่าเกลดันต้องมีความสามารถที่เขายอมรับได้ ไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งแต่รวมไปถึงนิสัยด้วย
มันไม่ได้มีการไหลของเวลาในความโกลาหล จางหยูไม่อาจจะรับรู้ถึงเวลาที่ผ่านไปได้ ดังนั้นตอนที่เขาเดินทางกลับมาถึงโลกสวรรค์ร้างนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว
มันใช้เวลากว่า 10 ปีกว่าที่จะเดินทางจากสำนักต้าหยู่ไปยังโลกสวรรค์ร้าง
“ ถึงแล้ว ” จางหยูเก็บพาหนะมิติลงก่อนจะเดินทางเข้าไปในกระแสเวลาของโลกสวรรค์ร้างและเข้าไปในโลกได้ แม้ว่าจะเคยมาทีนี่แล้วแต่เมื่อพบกับดินแดนอันกว้างใหญ่ของที่นี่อีกครั้ง ก็ทำให้จางหยูอดไม่ได้ที่จะตะลึงกับความกว้างใหญ่ของที่นี่
มันใหญ่โตจริงๆ !
หากเทียบกับโลกสวรรค์ร้างแล้ว โลกต้าหยู่นั้นอาจจะมีพื้นที่แค่ 1 ในหมื่นของที่นี่เท่านั้น
มีแค่การรับรู้ถึงความกว้างใหญ่ของที่นี่ด้วยตัวเองถึงจะเข้าใจได้ว่ามันใหญ่โตแค่ไหน
ด้วยการเดินทางในพาหนะมิติมาหลายวัน จางหยูก็ได้มุ่งหน้าไปยังกลุ่มอาทิตย์อุทัยทันที
ตอนนั้นเองเขาก็รับรู้ได้ถึง…คลื่นพลังของผู้ควบคุมขั้น 8 !
“ เขามาแล้วรึ ? ” จางหยูตาเป็นประกายขึ้นมาก่อนจะพุ่งไปที่ตลาดทาสของกลุ่มอาทิตย์อุทัยทันที ซานเหอและเหยียนอู้ตามมาติดๆ จางหยูรู้ว่าทั้งสองไม่อาจจะตามเขาได้ทันจึงชะลอความเร็วลงเพื่อที่ทั้งสองจะได้เดินทางไม่ลำบากนัก
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ จางหยูและทาสของเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นในตลาดทาส
ตอนนั้นมีคนมากมายยืนอยู่ที่นั่น ฮั่วลี่ได้ยืนอยู่ตรงข้ามกับชายแก่ ชายแก่คนนี้หน้าซีด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เขาดูอ่อนแออย่างมาก ราวกับเปลวไฟท่ามกลางพายุที่จะดับลงตอนไหนก็ได้ แต่ท่าทีของฮั่วลี่ต่อชายแก่คนนี้กลับดูเคารพอย่างมาก แม้ว่าฐานะของชายแก่คนนี้จะเป็นทาสก็ตาม !
ชายแก่คนนี้คือเกลดัน คนที่ทัดเทียมกับเบเกิลและหลินเป่ยชาน อีกทั้งยังเด็กกว่าอีกด้วยแต่รูปลักษณ์ของเขาตอนนี้กลับดูแก่กว่าหลินเป่ยชานอย่างมาก เขาผอมแห้งและสีหน้าดูอิดโรย
เมื่อรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังของเหยียนอู้และซานเหอ เกลดันก็ลืมตามองจางหยูและคนอื่นๆก่อนที่สุดท้ายจะมองไปที่จางหยูแล้วพูดขึ้น “ คนที่เรียกข้ามาคือเจ้างั้นรึ ? ” น้ำเสียงเขาดูอ่อนแรงและสายตาดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
ฮั่วลี่รีบทำความเคารพจางหยูและพูดขึ้น “ ท่านจาง !”
จางหยูพยักหน้าตอบรับก่อนจะมองไปที่เกลดัน “ คลื่นพลังของเจ้าแกร่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้สียอีก ”
แม้ว่าพลังชีวิตของเกลดันจะดูอ่อนแอแต่คลื่นพลังนั้นแข็งแกร่งกว่าที่จางหยูคาดเอาไว้ เขาถึงกับสงสัยว่าระดับการบ่มเพาะของเกลดันอาจจะอยู่ระดับสูงในหมู่ผู้ควบคุมขั้น 8 บางทีอาจจะเทียบได้กับหลินเป่ยชานด้วยซ้ำรึไม่ก็ต่างกันเพียงเล็กน้อยไม่น่าจะอ่อนแอกว่ามาก
“ เจ้ารับรู้ได้ด้วยรึ ?” เกลดันแปลกใจนิดๆ “แม้แต่เบเกิลก็ไม่อาจจะมองความแข็งแกร่งของเขาออกได้ ”
ตอนแรกเขาไม่ได้คาดหวังอะไรแต่ตอนนี้กลับมีความหวังก่อตัวขึ้นมา จางหยูกลับมองระดับของเขาออก บางทีจางหยูอาจจะมีหนทางช่วยเขาได้จริงๆ
“ การรับรู้ของข้าเหนือกว่าคนทั่วไป ” จางหยูยิ้มออกมา มันจริงที่ว่าการรับรู้ของเขาเหนือกว่าคนทั่วไป เบเกิลทำได้แค่รับรู้แค่ว่าเกลดันนั้นอ่อนแอ แต่เขารับรู้ถึงคลื่นพลังของเกลดันได้
เกลดันรีบพูดขึ้น “ อันที่จริงก่อนที่จะเข้าไปในสุสานนั้นความแข็งแกร่งของข้าถือว่าอยู่อันดับต้นๆของผู้ควบคุมขั้น 8 ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนั้นข้าคงไม่อาจจะต้านทานปราณสุสานได้และสยบมันมาหลายปีเพื่อเข้าไปเอาพาหนะมิติขั้น 8 ข้ากลัวว่าอีกไม่นานข้าจะไม่อาจควบคุมปราณสุสานได้อีก” เมื่อพูดแบบนั้นสายตาเขาก็หม่นลง “ น่าเสียดายที่อย่างมากข้าก็ทำได้แค่สยบมันไว้แต่ไม่อาจจะเอามันออกจากร่างกายได้ ”