ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1673 พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา
“นี่…เราจะไปที่นั่นรึไม่ ? ” เกลดันถามขึ้นมา
หากมีแผนการอะไรเกี่ยวกับที่นี่ งั้นแม้ว่าพวกเขาจะหลีกเลี่ยงอันตรายไปได้และเข้าไปในเขตหลักได้ แต่ก็อาจจะไม่ได้อะไรกลับมา
ผลลัพธ์สุดท้ายพวกเขาอาจจะต้องกลับมามือเปล่าก็เป็นได้
จางหยูยิ้มออกมา “ ทำไมจะไม่ไป ? ”
เขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องปราณสุสาน หากเกิดอันตรายขึ้นเขาก็แค่กลับไปที่โลกตันเถียนก็เท่านั้น
เกลดันมั่นใจในตัวจางหยูเป็นอย่างมาก ในสายตาของเขาแล้วจางหยูคือผู้ควบคุมขั้น 9 อันตรายใดๆสามารถเป็นภัยต่อผู้ควบคุมขั้น 9 ได้ด้วยรึ ?
เมื่อเห็นท่าทีของเกลดัน จางหยูก็รู้สึกว่าจำเป็นต้องบอกออกมา “ เจ้าอย่าคาดหวังกับข้ามากเกินไป ในร่างนี้ข้ามีความแข็งแกร่งเพียงผู้ควบคุมขั้น 8 ระดับสูงที่อาจจะทัดเทียมกับเบเกิลได้รึอาจจะแข็งกร่งกว่าเล็กน้อย” แต่จะเหนือกว่าเบเกิลรึไม่นั้น จางหยูก็ไม่มั่นใจ ยังไงซะนี่ก็แค่การคาดเดาของเขา
เมื่อได้ยินคำพูดของจางหยู เกลดันก็ได้สติกลับมา
เขาเกือบลืมไปว่าคนที่เขาเห็นมาในโลกขั้น 9 ตะกี้น่าจะเป็นผู้ควบคุมขั้น 9 คนตรงหน้าเขาอาจจะเป็นแค่ร่างแยกก็ได้
เป็นแค่ร่างแยกแต่มีความสามารถทัดเทียมกับเบเกิลได้รึอาจจะเหนือกว่าเบเกิลด้วยซ้ำ !
“ เพราะเหตุผลบางอย่างจึงเป็นข้าที่จะไปยังสุสานแห่งนั้นกับพวกเจ้า ” จางหยูพูดขึ้น “แน่นอนว่าหากมีอันตรายใดๆรึมีปราณสุสานโจมตี ข้าจะส่งเจ้าไปยังโลกขั้น 9 ก่อนหน้านี้เพื่อป้องกันปราณสุสาน เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องภัยจากปราณสุสาน ”
สิ่งที่พวกเขาต้องกังวลในตอนนี้คืออันตรายอื่นๆ
เมื่อได้ยินแบนนั้นเกลดันก็ไม่กังวลอะไรอีก
อะไรคืออันตรายในสุสานขั้น 9 ?
มันคือจิตของสุสาน !
เมื่อภัยถึงชีวิตได้ถูกตัดทิ้งไปแล้ว งั้นอันตรายอื่นๆ เกลดันเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขาแล้วน่าจะพอรับมือไหว
แน่นอนว่าสุสานนี้ต่างจากสุสานขั้น 9 อื่นๆ มันอาจจะมีอันตรายอื่นๆแฝงอยู่อีก เกลดันจึงไม่คิดที่จะประมาท
“ ใช่สิ สุสานแห่งนี้อยู่ไกลรึไม่” จางหยูถามขึ้นมา
อัลเวอร์เป็นผู้ควบคุมขั้น 9 ของเขตตะวันออกตอนเหนือและยังเป็นผู้สร้างโลกสวรรค์ร้างด้วย มันจึงเป็นธรรมดาที่สุสานของเขาต้องอยู่ไม่ห่างจากโลกสวรรค์ร้าง
เกลดันพยักหน้าและพูดขึ้น “ตำแหน่งของสุสานนั้นอยู่ใกล้กับที่นี่ เดินทางจากที่นี่ไม่กี่ปีก็ถึง”
เขาตัดสินจากความแข็งแกร่งของตัวเองที่ใช้เวลาไม่กี่ปีก็เดินทางไปถึงที่นั่นได้ หากเปลี่ยนเป็นผู้ควบคุมระดับต่ำคนอื่นแล้ว เดาว่าอาจจะต้องใช้เวลาหลายสิบปีรึร้อยปีกว่าจะไปถึงได้
“ งั้นก็ดี ” จางหยูกลัวว่าระยะทางจะไกลเกินไปและเสียเวลา การเสียเวลาแค่ 2-3 ปีอยู่ในระยะเวลาที่เขายังพอรับไหว
เขาอยู่ในโกลาหลมานานจนจางหยูยอมรับหลักการเรื่องเวลาไปแล้ว การรับรู้เวลาของเขาเหมือนจะกว้างกว่าเดิม เวลาหลักสิบรึพันปีดูเหมือนไม่ได้มากมายอะไร หากเป็นแต่ก่อนแล้วจางหยูคงไม่คิดแบบนี้
สรุปแล้วคือเพราะความโกลาหลนี้กว้างใหญ่และด้วยความแข็งแกร่งของจางหยูตอนนี้แล้ว การเดินทางในระยะทางสั้นๆก็ยังใช้เวลาหลายปี
แม้ว่าจะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายมากมายในโลกขั้น 9 ต่างๆแต่มันก็ช่วยลดระยะเวลาแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น
“ พวกเจ้าสองคนไปที่โลกป่ากันก่อน ” จางหยูมองไปที่ซานเหอและเหยียนอู้ “ สุสานขั้น 9 แห่งนี้มีอันตรายนับไม่ถ้วน เดาว่าพวกเจ้าอาจจะรู้อยู่แล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเจ้าตอนนี้การไปที่นั่นก็เท่ากับเดินไปหาความตาย…” หากพบกับอันตรายจริงๆเขามั่นใจว่าเอาตัวรอดได้ แต่เขาไม่มีพลังมากพอที่จะช่วยผู้ควบคุมขั้น 6 ทั้งสองคน
“ ขอรับ !” ซานเหอและเหยียนอู้พากันทำความเคารพ
จางหยูได้ให้พิกัดโลกป่ากับทั้งสองก่อนจะสร้างรูหนอนเชื่อมต่อกับโลกตันเถียนแล้วส่งทั้งสองเข้าไป
ที่นั่นมีเจ้าสำนักอยู่เพื่อคอยพาพวกนั้นไปที่โลกป่าเพื่อไม่ให้พวกนั้นต้องเสียเวลา
ท่าทีของจางหยูต่อพวกนี้ต่างจากซางอี๋ว์และอู๋ยง เพราะฐานะของทั้งสองคนนี้ที่เป็นทาสของเขาจึงทำให้จางหยูสั่งการได้โดยตรง ส่วนซางอี๋ว์และอู๋ยงนั้นเขาไม่มีสิทธิ์จะสั่งการทั้งสองคน
หลังจากที่ส่งทั้งสองไปแล้ว จางหยูก็ไม่ได้ออกเดินทางทันที เขาพาเกลดันไปหาหลินเป่ยชานก่อน
เบเกิลมีทีมของตัวเอง จางหยูก็รู้สึกว่าเขาก็ควรตั้งทีมของตัวเองขึ้นมาเช่นกัน ตอนนี้เขามีเกลดันอยู่แล้ว หากได้หลินเป่ยชานมาด้วย งั้นโอกาสสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก กองกำลังแบบนี้เทียบได้กับทีมของเบเกิลก็ว่าได้
ที่สันเขาเทียน
หลังจากหลินเป่ยชานและจางหยูได้ทำการแลกเปลี่ยนหินแห่งการสร้างกัน หลินเป่ยชานก็ได้กลับมาบ่มเพาะที่นี่เพื่อทำความเข้าใจการสร้างในหิน เขารู้สึกว่าการสร้างในหินนี้ลึกลับราวกับมีพลังไม่รู้จบ
แค่สิบปีเขาก็ก้าวหน้ามากกว่าที่เขาเคยบ่มเพาะมาในอดีตอย่างมาก !
“นอกจากเป็นคนที่ระวังตัวสูง มีพลังฟื้นฟูที่แข็งแกร่งและชอบทำตัวอ่อนแอแล้ว จางหยูคนนั้นก็ไม่ได้แย่” ความแข็งแกร่งของหลินเป่ยชานก้าวหน้าขึ้นมาไม่ใช่น้อย จึงเริ่มนึกถึงจางหยูขึ้นมา ” ความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้บางทีอาจจะด้อยกว่าเขาไม่มากนัก บางทีเบเกิลอาจจะเอาชนะข้าไม่ได้ ”
หินแห่งการสร้างที่แลกเปลี่ยนกับจางหยูนั้นเป็นเพียงหินแห่งการสร้างระดับสวรรค์ แต่ตนกลับได้หินแห่งการสร้างระดับเทพกลับมา นี่แหละที่ทำให้เขารู้สึกว่าได้เปรียบ !
มันเป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน
หลินเป่ยชานบอกไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้
“ ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกัน หากข้าได้ประมือกับเขาอีกครั้ง ” หลินเป่ยชานฟื้นฟูความมั่นใจกลับมา “ แม้ว่าเขาจะไร้เทียมทานแต่ข้าคงไม่แพ้หมดรูปแบบเดิม ”
ตอนที่หลินเป่ยชานคิดแบบนั้น เสียงของจางหยูก็ดังขึ้นในหูเขา “ พี่หลิน ข้าจางหยูมาเยี่ยม ข้าอยากจะพบกับเจ้าสักหน่อย ” เมื่อได้ยินเสียงนั้นหลินเป่ยชานก็ตัวสั่นและรีบส่ายหน้า “ เขาทิ้งแผลไว้ในใจจนข้าต้องหลอนเช่นนี้เลยรึ ?”
“ พี่หลิน หากเจ้าไม่ออกมา ข้าจะเข้าไปนะ” จางหยูพูดขึ้นอีกครั้ง
“ ข้าไม่ได้คิดไปเอง !” สีหน้าของหลินเป่ยชานเปลี่ยนไป “ เขามาหาข้าถึงที่จริงๆ !”
เขาคิดว่าจะประมือกับจางหยูอีกครั้งแต่เมื่อจางหยูมาที่นี่จริงๆ มันก็มีเสียงในใจบอกเขาว่าไม่อาจจะสู้กับชายคนนี้ได้ ไม่งั้นแล้วคงเป็นเขาที่ต้องตกอยู่ในสภาพน่าอนาถอีกครั้ง
มันคือแผลในใจที่จางหยูสร้างไว้ให้กับเขา
“ รอก่อน ข้ากำลังจะออกไป ” หลินเป่ยชานสูดหายใจเข้าลึกๆและรวบรวมความกล้า หากต้องสู้ตอนนี้เขาอาจจะไม่แพ้ก็ได้แต่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าในคำพูดของเขาแฝงไปด้วยความเคารพที่มีต่อจางหยู
หลินหลางเองตื่นขึ้นเพราะเสียงของจางหยูและมุ่งหน้าไปที่นั่น
“ ไปเถอะ ” หลินเป่ยชานแสดงสีหน้าใจเย็นก่อนที่พ่อลูกจะเดินออกมาจากประตูน้ำแข็ง
ทันทีที่ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นมาก็พบกับจางหยูพร้อมกับเกลดันที่ยืนอยู่ข้างกาย
“ เกลดันรึ ?” หลินเป่ยชานมองไปที่เกลดันด้วยความแปลกใจ หลังจากที่รู้สึกว่าคลื่นพลังของเกลดันฟื้นฟูขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “ จะ เจ้า…ลบปราณสุสานไปได้แล้วรึ ?”
เขาตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เกลดันยิ้มออกมา “ ต้องขอบคุณเจ้าสำนักที่ช่วยข้า ปราณสุสานในตัวข้านั้นได้ถูกลบไปหมดแล้วไม่เหลือแม้แต่นิด” ระหว่างนั้นเกลดันก็มองจางหยูด้วยความเคารพ
“ เจ้าสำนักรึ ?” หลินเป่ยชานมองไปที่จางหยู ชัดแล้วว่าเจ้าสำนักที่เกลดันพูดถึงนั้นหมายถึงจางหยู “ น้องชาย..เจ้าทำได้จริงๆรึ ?”
“ บังอาจ !” เกลดันแสดงสายตาเย็นชาออกมา “ เจ้าดูหมิ่นเจ้าสำนักได้ยังไง เจ้าเรียกเขาเช่นนั้นยังไง ! “ คลื่นพลังของเขาระเบิดออกมา นี่คือคลื่นพลังของผู้ควบคุมขั้น 8 ระดับสูง หากเทียบกับหลินเป่ยชานแล้วแม้ว่าจะด้อยกว่าแต่ก็พอทัดเทียมกันได้ “ขอโทษซะ ไม่งั้นแล้วแม้ว่าข้าจะต้องตายแต่ข้าก็ต้องรักษาความยิ่งใหญ่ของเจ้าสำนักเอาไว้ ! ความยิ่งใหญ่ของเจ้าสำนักนั้นไม่อาจจะมีใครดูหมิ่นได้ !”
เขาเหมือนจะเปลี่ยนเป็นทาสไปแล้วจริงๆ
หลินเป่ยชานมองไปที่เกลดันและพูดขึ้น “ เกลดัน เจ้าบ้าไปแล้วรึ !”
แค่เรียกจางหยูว่าน้องชายก็เท่ากับเป็นการดูหมิ่นแล้วรึ ?
ชายคนนี้คิดว่าตัวเองเป็นทาสและคิดจะประจบจางหยูรึไง ?