ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1680 ผู้นำในตำนาน
ชายหนุ่มหวงชีวิตตัวเองขึ้นมา เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าสำนัก เขาได้ค่อยๆได้สติกลับมา
“ ข้า…ข้าเข้าใจแล้ว ” ชายหนุ่มก้มหน้าและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
เจ้าสำนักพยักหน้าด้วยความพอใจก่อนจะพลิกฝ่ามือพร้อมกับส่งเกลดันและชายหนุ่มผ่านรูหนอนนั้นไป ต่อมาทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในสุสานอีกครั้ง
ทั้งสองคนได้สร้างโล่พลังขึ้นมาเพื่อต้านทานปราณสุสานเอาไว้
จางหยูแผ่จิตผู้สร้างออกไปช่วยเพิ่มพลังให้กับโล่พลังของเกลดัน ก่อนจะมองไปที่ชายหนุ่ม
หลินเป่ยชานตกใจ เขามองไปที่ชายหนุ่มคนนั้นและกลัวว่าชายหนุ่มจะทำการโจมตีอีกครั้ง เขารีบพูดขึ้นทันที “ ระวังตัว ! ” จางหยูยิ้มออกมาและโบกมือให้กับหลินเป่ยชาน “ ไม่ต้องกังวล เขาได้สติกลับมาแล้ว เขาจะไม่โจมตีเราหรอก ”
เมื่อเห็นจางหยูมีใบหน้าเหมือนกับเจ้าสำนัก ชายหนุ่มก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที “ ข้าไม่คิดจะทำให้ท่านไม่พอใจ ยกโทษให้ข้าด้วย ! ”
ฉากนี้ทำให้หลินเป่ยชานต้องสับสนอย่างมาก
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?
เขาโดนปราณสุสานครอบงำไปโดยสมบูรณ์แล้วแต่ยังได้สติกลับมาอีกรึ ? นี่มันไม่แปลกไปหน่อยรึไง ?
สิ่งที่ทำให้หลินเป่ยชานสับสนยิ่งกว่านั้นคือทำไมชายหนุ่มถึงได้เคารพจางหยูแบบนี้ สายตาของเขาถึงกับแฝงไปด้วยความกลัว ?
นี่มันเกิดบ้าอะไรกับชายหนุ่มและเกลดัน ตอนที่ทั้งสองหายไปนั้นเกิดอะไรขึ้นกัน ?
ทำไมพวกนี้ถึงกลับมาพร้อมกับท่าทีที่เปลี่ยนไปแบบนี้ ? “ ไม่ต้องกังวล ” จางหยูพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ สบายใจได้ ข้าไม่ถือโทษเจ้าหรอก ”
ชายหนุ่มปากกระตุก ตะกี้นี้จางหยูเพิ่งผ่าเขาออกเป็นสองส่วนกว่า 18 ครั้ง ประสบการณ์นั้นยังตราตรึงใจเขาอยู่
หลินเป่ยชานมองไปที่ชายหนุ่มด้วยความลังเลและถามขึ้นมา “เจ้าได้สติกลับมาแล้วจริงๆรึ ?”
ชายหนุ่มมองไปที่หลินเป่ยชานก่อนจะพยักหน้า
“ เจ้าสำนักลงมือด้วยตัวเอง ทำไมต้องกลัวปราณสุสานด้วย ? ” เกลดันเคารพและชื่นชมจางหยูยิ่งกว่าเดิม เขาราวกับเป็นสาวกของจางหยูไปแล้ว
หลินเป่ยชานมองไปที่จางหยู, ชายหนุ่มและเกลดันด้วยความสับสน
เขารู้สึกว่าจางหยูน่ะปิดบังบางอย่างกับเขาอยู่แต่เขาไม่อาจจะเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร “ บอกข้ามาว่าเจ้าเป็นใครและมาทำอะไรที่นี่ มันเกิดบ้าอะไรที่นี่กัน ?” จางหยูมองไปที่ชายหนุ่ม “ เจ้าควรจะรู้ว่าข้าช่วยเจ้าเอาไว้ไม่ใช่เพราะข้ามีเมตตา แต่เจ้าน่ะมีข้อมูลที่มีประโยชน์ ข้าอยากรู้ความลับ หากไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ งั้นข้าจะช่วยเจ้าทำไมกัน ? ”
ชายหนุ่มโค้งให้และพูดขึ้น “ ข้าน้อยชื่อว่าจ้านเทียนเกอข้าเป็นคนของเขตตะวันออกตอนเหนือ ”
“ จ้านเทียนเกอ! ” หลินเป่ยชานและเกลดันพากันอุทานออกมา
“ ชายคนนี้โด่งดังรึ ? ” จางหยูถามขึ้นมา
“ โด่งดังอย่างมาก !” หลินเป่ยชานตะลึง “ ประมาณ 3,000 ปีก่อนเขาได้โด่งดังขึ้นมา เขาบ่มเพาะแค่ไม่กี่ปีก็ขึ้นเป็นผู้ควบคุมขั้น 8 ระดับสูงได้และได้ขึ้นเป็นผู้นำ ! เขาถือว่ายิ่งใหญ่ในความโกลาหล แม้แต่ผู้นำคนอื่นๆก็ยังด้อยกว่าเขา ! ”
เกลดันตอบกลับ “ เขาคืออัจฉริยะที่น่าทึ่งในห้าพันปีนี้ ในหมู่ผู้ควบคุมขั้น 8 แล้วเขาถือว่าไร้เทียมทาน ! เขาคือคนที่ใกล้เคียงขั้น 9 มากที่สุด ! ทุกคนเชื่อว่าตราบใดที่เขาไม่ตาย ไม่นานเขาก็จะขึ้นไปถึงขั้นที่ 9 ได้ ! แต่จู่ๆเขาก็หายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน ไม่มีใครรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่รึไม่ มีแค่ตำนานของเขาที่เผยแพร่ความยิ่งใหญ่ของเขาจนถึงทุกวันนี้…”
“ นี่คือที่มาของ จ้านเทียนเกอ! ”
“ ผู้นำในตำนาน ! ”
“ ตำนานของเขาโด่งดังกว่าผู้ควบคุมขั้น 9 เสียอีก ! ”
เกลดันมองไปที่จ้านเทียนเกอด้วยความชื่นชมและเคารพรวมถึงตะลึงด้วย
ชายที่เป็นต้นแบบของผู้คนมากมายนี้กลับปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา !
“ ท่านจ้านเทียนเกอถือว่าเป็นคนที่น่าเคารพที่สุดในหมู่ผู้ควบคุมขั้น 8 !” หลินเป่ยชานเคารพจ้านเทียนเกออย่างมาก “ ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่ว ไม่มีใครเทียบกับท่านจ้านเทียนเกอได้ ตัวตนของเขาคือบุตรแห่งสวรรค์ เขาคือผู้นำในตำนาน ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมานี้เขาคือผู้นำเพียงคนเดียวในเขตของเรา”
ชื่อเสียงของจ้านเทียนเกอโด่งดังไปทั่วจริงๆ เรื่องนี้ถูกเล่าต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น แม้แต่ผู้ควบคุมขั้น 9 ก็ยังโด่งดังไม่เท่ากับเขา !
“ ในความโกลาหลแห่งนี้เขาคือสุดยอด มันน่าเศร้ากับที่ไม่ได้เกิดมาในยุคเดียวกับเขา น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของเขา !” หลินเป่ยชานอุทานออกมา “ ผู้ควบคุมขั้น 8 อย่างข้าได้มาพบกับเขา ถึงตายข้าก็ไม่เสียดาย ”
จ้านเทียนเกอถ่อมตัวทันที “ เจ้าพูดเกินไป อันที่จริงแล้วข้าก็พอมีพรสวรรค์อยู่บ้าง ข้าแค่พยายามในการบ่มเพาะ ข้าไม่ได้ยิ่งใหญ่แบบที่เจ้าคิดหรอก ”
เขาไม่คิดว่าเขาหายตัวไปหลายพันปีแต่ยังมีคนจำเขาได้และยังยกย่องเขาด้วย
เขามองไปที่จางหยูแล้วถ่อมตัวอีกครั้ง “หากเทียบกับท่านผู้นี้แล้ว ข้าจะมีความหมายอะไร ? ”
“ ทำไมท่านถึงถ่อมตัวเช่นนั้น ?” หลินเป่ยชานยกย่องจ้านเทียนเกออย่างมาก “ ความแข็งแกร่งของน้องจางนั้นอย่างมากก็แค่ทัดเทียมกับท่านได้…” เมื่อพูดเช่นนั้นหลินเป่ยชานก็ชะงักไป ตอนนั้นเขาถึงได้สติ เขาเรียกจางหยูว่าน้องชาย ทั้งๆที่จางหยูทัดเทียมกับจ้านเทียนเกอได้
มีแค่ผู้นำไม่ใช่รึไงที่ทัดเทียมกับจ้านเทียนเกอได้?
หลินเป่ยชานมองไปที่จางหยูพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยท่าทีตะกุกตะกัก “ น้องชาย เจ้าเป็นผู้นำจริงๆเหรอ ! “
หากไม่ใช่ผู้นำแต่ยังสามารถสู้กับจ้านเทียนเกอได้อย่างสูสี แสดงว่าเขาไม่ได้ด้อยกว่าผู้นำระดับสูงเลย !
“ อาจจะ ” จางหยูยิ้มออกมาก่อนจะมองไปที่จ้านเทียนเกอ “ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นผู้นำที่โด่งดัง ” ในความโกลาหลแห่งนี้แม้ว่าผู้นำจะมีไม่มากนักแต่การที่ถูกเรียกว่าผู้นำในตำนานนั้นมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
ตัวตนของจ้านเทียนเกอพิเศษกว่าที่เขาคิดเอาไว้
“ ชื่อเสียงของข้าน่าตลก การที่ถูกเรียกว่าผู้นำโดยผู้ควบคุมขั้น 9 นี่น่าอายจริงๆ ” จ้านเทียนเกอรู้สึกละอายใจอย่างมาก
“ เลิกไร้สาระกันก่อน ข้าอยากรู้ว่าทำไมเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่ ? มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่? ทำไมเจ้าถึงโดนปราณสุสานครอบงำ ?” จางหยูหุบยิ้มและแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา เขาสนใจความลับของที่นี่มากกว่าตัวตนของจ้านเทียนเกอ
หลินเป่ยชานและเกลดันพากันมองไปที่จ้านเทียนเกอด้วยความสงสัย
จ้านเทียนเกอเงียบไปชั่วครู่และพูดขึ้นมา “ ตอนนั้นข้าอยู่ระดับสูงสุดของขั้น 8 มานาน ข้าได้หาโอกาสทั่วทุกที่เพื่อจะทะลวงผ่าน บังเอิญว่าข้าได้รับพิกัดของสุสานแห่งนี้มารวมถึงหยกที่เป็นกุญแจด้วย ”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นจางหยูและหลินเป่ยชานก็พากันมองไปที่เกลดัน
ประสบการณ์ของจ้านเทียนเกอนั้นเหมือนกับเกลดัน ยกเว้นแต่กว่าเกลดันนั้นอ่อนแอกว่าจ้านเทียนเกออย่างมาก
“ ข้าเคยไปสุสานมานับไม่ถ้วน สุสานขั้น 9 ไม่น้อยกว่า 3 แห่ง ” จ้านเทียนเกอพูดขึ้นมา “ ตอนนั้นข้าก้าวหน้าขึ้นมาเล็กน้อย สุสานขั้น 9 ทำให้ข้าสนใจ บางทีมันอาจจะมีโอกาสที่จะทะลวงผ่านได้ ดังนั้นข้าจึงมุ่งหน้ามาที่นี่เพียงลำพัง ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้จ้านเทียนเกอก็แสดงสีหน้าหม่นออกมา “ ข้าไม่คิดเลยว่าสุสานแห่งนี้ต่างจากสุสานขั้น 9 อีกสามแห่งที่ข้าเคยไปมา ตอนที่ข้าเพิ่งจะเข้ามา ข้าก็โดนปราณสุสานเล่นงาน หากไม่ใช่ว่าข้าแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว ข้ากลัวว่าข้าอาจจะติดเชื้อเพราะ
ปราณสุสานไปแล้ว ”
ชัดแล้วว่าเขาไม่ได้โดนปราณสุสานครอบงำทันทีที่เข้ามา มันต้องมีเรื่องอื่นเกิดขึ้นที่นี่อีก