ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1682 อาราม
เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยชานและเกลดันไม่เลือกจะถอนตัว จ้านเทียนเกอก็แปลกใจ เขาไม่คิดเลยว่าทั้งสองจะมีความกล้าเดินหน้าต่อ ความกล้านี้สมควรได้รับความชื่นชม
ต่อมาพวกเขาก็เดินหน้ากันต่อ
จางหยูและจ้านเทียนเกอเดินนำหน้าโดยมีหลินเป่ยชานและเกลดันเดินตามหลังมา
พวกเขาตื่นตัวกันตลอดเวลา มันอาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ในสุสาน พวกเขาต้องต้านทานปราณสุสานไปด้วยตลอดเวลา
“ เจ้ารับรู้อะไรได้รึไม่ ?” จางหยูแสดงสีหน้าหนักใจและมองไปที่จ้านเทียนเกอ
จ้านเทียนเกอพยักหน้าและพูดขึ้น “ปราณสุสาน…มันแกร่งขึ้นกว่าเดิม !”
ปราณสุสานมันแกร่งกว่าเขตนอก
“ มันผิดปกติ ” จางหยูพึมพำออกมา
ภายใต้สถานการณ์ปกติแล้ว ปราณสุสานนั้นมีจำกัด มันจะรวมตัวกันที่เขตกลางสุสาน สุสานขั้น 9 ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
แต่ที่นี่มีปราณสุสานอยู่ทั่วทุกที่และยังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ นี่แหละคือส่วนที่แปลก
ตอนนั้นเกลดันก็ไม่อาจจะรับไหว “ เจ้าสำนัก ข้าเกรงว่าข้าไม่อาจจะทนไหวแล้ว ”
แม้ว่าจะมีจางหยูคอยช่วยแต่เกลดันก็ไม่อาจจะรับไหวได้อีก ปราณสุสานนี้เกินกว่าที่เขาจะรับได้ไหวแล้ว
แม้แต่หลินเป่ยชานก็ยังหน้าซีด การเดินแต่ละก้าวนั้นยากลำบากอย่ามาก
“ เจ้ากลับไปก่อน ตอนเราเสร็จธุระในสุสานนี้ ข้าจะไปรับเจ้า ” จางหยูไม่ได้บังคับให้เกลดันให้อยู่ต่อ
ด้วยความแข็งแกร่งของเกลดันตอนนี้แล้ว หากต้องเดินหน้าต่อก็มีแต่ถ่วงทุกคน
ไม่นานจางหยูก็ส่งเกลดันไปที่โลกตันเถียน เมื่อส่งเกลดันไปแล้ว จางหยูก็มองไปที่หลินเป่ยชาน “ พี่หลิน เจ้ายังไหวรึไม่ ? ” “ ข้ายังไหวอยู่ ” หลินเป่ยชานและผู้นำขั้น 8 นั้นยังมีความแตกต่างกันอยู่แต่เขาก็ยังเหนือกว่าผู้ควบคุมขั้น 8 ทั่วไป
จางหยูพยักหน้าและพูดขึ้น “ งั้นก็เดินหน้าต่อ หากเจ้าไม่ไหวก็บอกข้า ข้าจะพาเจ้าไปที่อื่น ”
เมื่อเห็นทักษะที่พิเศษของจางหยู หลินเป่ยชานก็ไม่คิดสงสัยในความสามารถของจางหยู เขาได้พยักหน้าตอบรับ “ได้”
ทั้งสามพากันเดินหน้าต่อ สุดท้ายฉากตรงหน้าพวกเขาก็เปลี่ยนไป มันมีอารามปรากฏขึ้นมาตรงหน้าพวกเขา ที่นี่รายล้อมไปด้วยปราณสุสานที่น่ากลัวกว่าเดิม หลินเป่ยชานอาจจะโดนปราณสุสานครอบงำตอนไหนก็ได้
“ นี่คือเขตกลางของสุสานงั้นรึ ?” จ้านเทียนเกอมองไปที่อารามตรงหน้า “ มันเป็นอารามแบบไหนกัน ?”
หลินเป่ยชานกัดฟันแน่นเพื่อต้านทาน เมื่อเห็นอารามตรงหน้า เขาจะหนีกลับออกไปได้ยังไง ?
เมื่อเห็นอารามนี้จางหยูก็คิดในใจ “ ดูเหมือนว่ามันจะคล้ายอารามของพวกศาสนา ”
“ อัลเวอร์สร้างลัทธิหรือศาสนาของตัวเองขึ้นมาเหรอ ?” จางหยูถามจ้านเทียนเกอ
“ ไม่น่าจะเป็นไปได้ อัลเวอร์นั้นลึกลับอย่างมาก แม้แต่ในยุคสมัยของข้าแล้วก็แทบไม่ได้ยินเรื่องของเขา ข้าไม่คิดว่าเขาจะสร้างลัทธิหรือศาสนาอะไรขึ้นมา ยังไงซะ อัลเวอร์กับข้าก็อยู่คนละช่วงเวลาต่างกันตั้งหลายพันปี หากเขาสร้างลัทธิหรือศาสนาขึ้นมาจริงๆ มันก็น่าจะมีเบาะแสอยู่บ้าง ”
จางหยูแปลกใจ “ เมื่อไม่ได้สร้างลัทธิหรือศาสนาขึ้นมา ทำไมถึงได้มีอารามอยู่ที่นี่ด้วย ?”
“ บางทีอาจจะมีความเป็นไปได้อื่นอยู่ ” หลินเป่ยชานพยายามพูดขึ้นมา
จางหยูกับจ้านเทียนเกอพามองไปที่หลินเป่ยชาน “ บางทีเขาอาจจะเป็นสาวกก็ได้ ? ถึงความเป็นไปได้นี้จะต่ำแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ” หลินเป่ยชานพูดขึ้น
สาวกรึ ?
ผู้ควบคุมขั้น 9 เป็นสาวกรึ ?
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้จางหยูก็ใจสั่นขึ้นมา
หากอัลเวอร์เป็นสาวกจริงๆ งั้นลัทธิก็น่ากลัวอย่างมาก ต้องรู้ก่อนว่าผู้ควบคุมขั้น 9 คือจุดสิ้นสุดของการบ่มเพาะ แต่ละคนถือว่าอยู่จุดสูงสุด
มันเป็นไปได้รึไงที่คนระดับนี้จะกลายเป็นสาวกของคนอื่น ?
“ สถานการณ์เป็นแบบไหนเราเข้าไปดูอาจจะได้อะไรกลับมาบ้าง ” จางหยูพูดขึ้น
จ้านเทียนเกอพยักหน้า “ พูดโดยทั่วไปแล้ว ทุกลัทธิหรือศาสนาจะต้องมีรูปปั้นของศาสดา หากศาสดาในอารามนี้เป็นอัลเวอร์ งั้นมันก็หมายความว่าลัทธินั้นถูกสร้างขึ้นโดยอัลเวอร์ แต่หากเป็นคนอื่น…”
พวกเขาพากันแสดงสีหน้าคาดหวังออกมา พวกเขารู้สึกว่าอาจจะได้พบความลับที่น่าทึ่งเข้าแล้ว
“ เจ้าทนไหวรึไม่ ?” จางหยูเห็นสภาพของหลินเป่ยชานจึงได้ถามขึ้นมา
“ มาถึงที่นี่แล้วข้าจะไม่เข้าไปดูได้ยังไง ?” หลินเป่ยชานกัดฟันแน่น “ ไม่ว่ายังไงก็ต้องลองดู หากทนไม่ไหวจริงๆงั้นก็ต้องรบกวนเจ้าช่วยข้าด้วย”
จางหยูพยักหน้าและพูดขึ้น “ ได้ งั้นก็ไปกันเถอะ ”
อันที่จริงตอนนี้จางหยูและจ้านเทียนเกอก็รู้สึกกดดันนิดๆ มันเห็นได้ว่าปราณสุสานที่นี่น่ากลัวแค่ไหน ถ้าไม่เป็นแบบนั้นจางหยูคงไม่ถามออกมา
ทั้งสามเดินหน้าไปที่อารามต่อ ทันทีที่มาถึงหน้าอาราม ปราณสุสานก็เข้มข้นจนถึงขีดสุด มันแฝงไปด้วยพลังขั้น 9 ด้วย ราวกับว่ามีผู้ควบคุมขั้น 9 ที่ยังมีชีวิตอยู่ที่นี่ด้วย แม้แต่จางหยูและจ้านเทียนเกอก็ยังรู้สึกกดดัน พวกเขาต้องระวังตัวและใช้พลังเต็มที่ ไม่งั้นแล้วปราณสุสานอาจจะรุกล้ำเข้ามาในตัวได้
ตอนนั้นหลินเป่ยชานก็เหมือนจะทนไม่ไหว
จางหยูสูดหายใจเข้าลึกๆและแผ่จิตผู้สร้างเพื่อสร้างรูหนอนขึ้นมา
แทบจะทันทีที่รูหนอนถูกสร้างขึ้นมา โล่พลังของหลินเป่ยชานก็พังลง
หลินเป่ยชานได้พุ่งเข้าไปในรูหนอนโดยไม่สนว่าอีกด้านจะเป็นยังไง
เมื่อส่งหลินเป่ยชานแล้ว จางหยูก็มองไปที่อารามตรงหน้าก่อนจะพูดขึ้น “ หากนี่คือเขตหลักของสุสาน ก็น่าจะเป็นที่ที่อันตรายที่สุด นอกจากปราณที่น่ากลัวแล้ว มันอาจจะมีอันตรายอย่างอื่นอยู่อีก ” เขารู้สึกได้ว่าปราณสุสานนี้ไม่ใช่ภาพลวงตาและอาจจะมีตัวตนแปลกประหลาดอยู่จริงๆ “ หากมีแค่คนเดียว บางทีข้าอาจจะกลับไป ” จ้านเทียนเกอพูดขึ้น “ แต่เมื่อมีท่านอยู่ด้วย ข้าจะไปกลัวอะไร ?”
สุสานแห่งนี้อันตรายกว่าโลกของจางหยูรึ ?
จางหยูไม่ได้สนใจจะอธิบายอะไร เขาได้พูดขึ้น “ ข้ารับรองได้ว่าปราณสุสานจะไม่รุกล้ำเข้ามาในตัวเจ้า แม้ว่าเจ้าจะโดนครอบงำแต่ข้าก็ลบมันออกไปได้ แต่สำหรับอันตรายอื่นๆแล้ว ข้าไม่อาจจะรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ ”
อารามแห่งนี้เหมือนจะมีพลังลึกลับคอยปกป้องเอาไว้ การรับรู้ของจางหยูไม่อาจจะใช้งานได้
“ ไม่เป็นอะไร” จ้านเทียนเกอพูดขึ้นมา “ เพื่อชีวิตนิรันดร์แต่กลับต้องเป็นหุ่นเชิด แม้ว่าข้าจะตายที่นี่แต่ข้าก็ยอมรับได้”
จ้านเทียนเกอสูดหายใจเข้าลึกๆและเดินเข้าไปในประตูอาราม เขาวางมือลงบนประตูก่อนจะผลักเข้าไป เมื่อประตูเปิดออกจางหยูกับจ้านเทียนเกอก็เดินเข้าไป พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะสู้และระวังตัวกันอย่างมาก สายตาพวกเขามองเข้าไปด้านในและคอยจับตาดูทุกการเคลื่อนไหว
ต่อมาพวกเขาก็ได้เห็นฉากด้านในอาราม ปราณสุสานราวกับจะกลายเป็นเงาโปร่งใส ใจกลางอารามแห่งนี้มีรูปปั้นขนาดใหญ่ รูปปั้นนี้แปลกประหลาด มันไม่มีใบหน้า มันราวกับว่ารูปนี่คือรูปปั้นของทุกคน แขนกับขามีแค่ครึ่งเดียว มันดูแปลกและทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจ
“ รูปปั้นรูปร่างมนุษย์…ใครกัน ?” จางหยูหรี่ตามองรูปปั้น “ อัลเวอร์รึ ?”
“ รูปปั้นมนุษย์รึ ?” จ้านเทียนเกอพูดขึ้น “ ไม่ใช่ว่าเป็นมีดที่ยังสร้างไม่เสร็จรึ ?”
“มีดรึ ?” จางหยูถามขึ้นมา
จ้านเทียนเกอได้สติกลับมา “ รูปปั้นเหมือนกันแต่เรากลับเห็นไม่เหมือนกัน ! ” ภาพลวงตารึ ?
แต่จางหยูไม่ได้รับรู้ถึงร่องรอยของภาพลวงตาเลย
ตอนที่ทั้งสองสงสัยอยู่นั้น ปราณสุสานก็เหมือนจะทำงาน มันรุนแรงกว่าเดิม ในเวลาเดียวกันก็มีรูปปั้นหลายตัวก่อตัวขึ้นมา พวกมันโค้งให้กับรูปปั้นใจกลางอาราม ทุกตัวมีแต่ตาที่ขาวโพลนราวกับร่างไร้วิญญาณ
“ ไปซะ !! ”
อยู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นในหัวของจางหยูและจ้านเทียนเกอ