ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1691 ฉิงหยาง
ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่เมือง คนเหล่านี้ต่างก็สนใจการต่อสู้นี้และพากันส่งเสียงเชียร์ให้กับเจิ้งหลิว
แน่นอนว่าพวกที่กล้าเข้าไปดูใกล้ๆก็มีแค่ผู้ควบคุมขั้น 7 ต่ำกว่านั้นไม่กล้าเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะไม่รู้ความแข็งแกร่งของหลินเป่ยชาน แต่ความแข็งแกร่งของเจิ้งหลิวนั้นพวกเขาเข้าใจดี หากต้องสู้กันจริงๆแล้วเมื่อเจิ้งหลิวเอาจริง งั้นผู้ควบคุมที่ต่ำกว่าขั้น 7 ก็คงไม่อาจจะรับมือไหว
“ เจ้ารู้จักชายคนนี้รึไม่ ?”
“ ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อน”
“ เขาน่าจะมาเขตใต้เป็นครั้งแรก”
“ เพิ่งมาเป็นครั้งแรกแต่ก็กล้าไม่ใช่น้อย เขากล้ายอมรับคำท้าของท่านเจิ้งหลิว”
มีผู้ควบคุมขั้น 8 หลายคนที่ยืนอยู่ในฝูงชน ทุกคนพากันมองไปที่หลินเป่ยชานด้วยสีหน้าสงสาร
เจิ้งหลิวน่ะคือคนที่บ้าการต่อสู้ แม้แต่คนในเขตใต้ก็ยังต้องกลัวเขา นี่ไม่ต้องนับคนนอกเลย
ในร้านอาหาร จางหยูยังคงสนใจแต่อาหารตรงหน้า เขาไม่ได้สนใจเจิ้งหลิวกับหลินเป่ยชานเลย เกลดันที่แม้ว่าจะสงสัย แต่เขาก็ดูผ่อนคลายกว่าเดิม เขาไม่ได้กังวลว่าหลินเป่ยชานจะพ่ายแพ้
มันเป็นเสี่ยวเสียต่างหากที่อยากไปดูการต่อสู้ ยังไงซะมันก็เคยเห็นแค่จ้านเทียนเกอลงมือ แต่ยังไม่เคยเห็นการต่อสู้ของผู้ควบคุมขั้น 8
“ นายท่าน ข้าไปดูได้รึไม่ ?” เสี่ยวเสียถามขึ้นมา
จางหยูมองไปที่เสี่ยวเสียและพูดขึ้น “ หากเจ้าอยากไปก็ไปเอง”
เสี่ยวเสียยินดีขึ้นมาทันทีก่อนที่จะหายตัวไปจากร้านอาหารและเข้าแฝงตัวในหมู่ผู้คน
“ แปลก ทำไมข้าถึงรู้สึกเย็นๆขึ้นมา ?” ผู้ควบคุมขั้น 7 คนหนึ่งขนลุกและอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
พวกเขาไม่อาจจะรับรู้ตัวตนของเสี่ยวเสียได้ แต่ด้วยการที่บ่มเพาะมาถึงระดับนี้ก็ทำให้สัญชาตญาณรับรู้ได้เป็นอย่างดี
น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะตรวจสอบแค่ไหนก็ไม่อาจจะรับรู้ตัวตนของเสี่ยวเสียได้ นั่นทำให้เสี่ยวเสียแฝงตัวในหมู่ผู้คนเพื่อดูการต่อสู้ได้
“ ลงมือ” หลินเป่ยชานพูดขึ้น “ อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า”
เจิ้งหลิวยักคิ้ว “ เจ้านี่บ้าจริงๆ !”
หลินเป่ยชานพูดขึ้น “ ข้าบ้ารึไม่นั้นไม่ใช่เจ้าที่ตัดสินได้ !”
“ เบเกิลยังไม่กล้าพูดเช่นนี้ “ เจิ้งหลิวพูดขึ้น “ เจ้าคิดว่าตัวเองเหนือกว่าเบเกิลรึ ?”
หลินเป่ยชานพูดขึ้นอย่างใจเย็น “ รีบลงมือ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด” เจิ้งหลิวหงุดหงิดขึ้นมา เขาท้าทายยอดฝีมือมานับไม่ถ้วนและเกิดความหยิ่งทะนงในตัว เมื่อได้ยินที่หลินเป่ยชานพูดมา เขาก็ไม่มัวไร้สาระและลงมือทันที
“ ตัดแม่น้ำ !” เจิ้งหลิวพูดขึ้นพร้อมกับมีดสีเงินที่ปรากฏขึ้นในมือเขา จากนั้นเขาได้ฟันออกไปในทันที มิติในส่วนปลายมีดเกิดรอยร้าวขึ้นก่อนจะมีคลื่นปกคลุมมีดนั้นเอาไว้ มันราวกับพลังของทะเล การโจมตีนี้ได้พุ่งเข้าใส่หลินเป่ยชาน ราวกับมังกรน้ำที่พุ่งออกมาจากมหาสมุทร
คลื่นพลังของเจิ้งหลิวปะทุออกมา เมื่อรับรู้ถึงคลื่นพลังนี้หลินเป่ยชานก็เพิ่มความระวังทันที
“ มันไม่ได้อ่อนแอเลย” หลินเป่ยชานพยักหน้า “ น่าจะแกร่งกว่าเกลดันเล็กน้อย”
คลื่นพลังของคนสามารถตัดสินความแข็งแกร่งได้ คลื่นพลังของเจิ้งหลิวนั้นไม่ได้ด้อยกว่าเกลดันเลย ยังไงซะก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเหมือนกับจางหยู ที่มีพลังสร้างที่น่ากลัวจนความเข้าใจไม่อาจจะตามทันได้ พลังของเจิ้งหลิวน่ะบอกได้ว่าอยู่ระดับสูงสุดของขั้น 8 ก็ว่าได้
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าหลินเป่ยชานไม่ได้คิดผิด การโจมตีของเจิ้งหลิวน่ะเหนือกว่าเกลดันจริงๆ พลังสร้างนี้ก็เหนือกว่าเกลดัน แต่ช่องว่างไม่ได้มากนัก หากต้องสู้กันจริงๆแล้วเมื่อเจิ้งหลิวพลาดท่าก็อาจจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ได้
“ สู้กับเจ้าแค่ดาบเดียวก็พอแล้ว” หลินเป่ยชานยิ้มออกมาก่อนที่ในมือเขาจะมีดาบสีฟ้าปรากฏขึ้น ไอน้ำโดยรอบจับตัวกันเป็นดาบนับไม่ถ้วน มันได้คำรามออกมาดั่งมังกร เมื่อหลินเป่ยชานฟันดาบออกไป ดาบน้ำแข็งนับไม่ถ้วนก็ได้พุ่งออกไปราวกับคลื่นยักษ์
ตูม….
ดาบน้ำแข็งนับไม่ถ้วนได้เข้าปะทะกับคลื่นน้ำจากการโจมตีของเจิ้งหลิว พร้อมพลังอันแข็งแกร่งที่ระเบิดออกมา
ตอนที่ดาบน้ำแข็งและคลื่นน้ำปะทะกันนั้นท้องฟ้าก็สั่นไหวอย่างรุนแรง มิติใกล้ๆเกือบจะพังลง เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมาแต่อยู่ๆเสียงนั้นกลับหายไปราวกับว่าเสียงทั้งหมดโดนลบออกไป
“ แค่นี้รึ ?” เจิ้งหลิวเยาะเย้ยออกมาแต่ต่อมาดาบน้ำแข็งกลับรวมตัวกันในพริบตากลายเป็นดาบน้ำแข็งเล่มใหญ่ราวกับขุนเขา จนทำให้ทุกคนรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันน่ากลัวจนแทบหายใจไม่ออก
ดาบน้ำแข็งนั้นได้ตัดท้องฟ้าและฟันเข้าใส่เจิ้งหลิว
สีหน้าของเจิ้งหลิวเปลี่ยนไปทันที เขารู้สึกกดดันอย่างมาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดาบน้ำแข็งนี้มันก็ทำให้เขาแทบหายใจไม่ได้ เมื่อรับรู้อันตรายถึงความตาย มันก็สายเกินไปที่จะทำอะไรได้ ที่เจิ้งหลิวทำได้ตอนนี้ก็แค่ต้องปล่อยจิตผู้สร้างทั้งหมดของตัวเองออกมาเพื่อต้านทานการโจมตีนี้เอาไว้ เขาสร้างโล่พลังเพื่อรับมือกับการโจมตีนี้เอาไว้
หลินเป่ยชานมองดูเจิ้งหลิวอย่างสบายใจและควบคุมดาบน้ำแข็งฟันไปที่อีกฝ่าย มันทำให้มิติพังตัวลงพร้อมเผยให้เห็นกำแพงโลก ดาบน้ำแข็งและมิตที่แตกร้าวรวมตัวกันเผยให้เห็นฉากอันงดงาม
ต่อมาดาบน้ำแข็งก็ได้ทำลายโล่พลังของเจิ้งหลิว แต่หยุดห่างจากหัวของเจิ้งหลิวแค่เพียงนิ้วเดียวเท่านั้น
“ เจ้าแพ้แล้ว” หลินเป่ยชานสะบัดมือทำให้ดาบน้ำแข็งสลายไป
เจิ้งหลิวมองไปที่หลินเป่ยชานด้วยความสับสน มันผ่านมากี่ปีแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกถึงความพ่ายแพ้และความสิ้นหวังเหมือนที่เคยรู้สึกจากเบเกิล นี่เป็นครั้งที่สองที่เขารู้สึกแบบนี้
ผู้คนจากเขตใต้พากันมองดูฉากนี้ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ในใจของพวกเขาราวกับถูกบางอย่างทิ่มแทง
“ ท่านเจิ้งหลิว…แพ้รึ ?”
“ ผู้เยาว์อันดับสองของโลกนภาใต้กับพ่ายแพ้ !” “ ชายคนนั้นเป็นใครกัน ? แม้แต่คนรุ่นแก่กว่าก็มีไม่กี่คนที่เอาชนะท่านเจิ้งหลิวได้ ชายคนนี้เป็นผู้อาวุโสรึ ?”
คนของเขตใต้พากันอึดอัดใจ พวกเขาอยากเห็นเจิ้งหลิวเอาชนะหลินเป่ยชาน แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้ามกับที่พวกเขาคิดเอาไว้ ดังนั้นผู้คนจึงไม่อาจจะรับได้
“ เป็นผู้อาวุโสกว่าแต่กลับรังแกผู้เยาว์ มันไม่เหมาะสมไม่ใช่รึไง ?” เสียงแหบๆดังขึ้นมา
ทุกคนพากันมองตามเสียงนั้น เจิ้งหลิวเองก็แสดงสีหน้ายินดีออกมา “ พี่ฉิงหยาง เจ้ามาแล้ว”
ชายแก่ที่ชื่อฉิงหยางได้ปรากฏตัวตรงหน้าหลินเป่ยชาน “ หลินเป่ยชาน รุ่นกลาง ราชาดาบที่โด่งดัง ในเขตตะวันออกนั้นยากจะมีใครเทียบได้ แม้แต่คนรุ่นเก่ากว่าก็ยากจะมีใครทัดเทียมเจ้าได้ ข้าพูดถูกรึไม่ ?”
หลินเป่ยชานมองไปที่ชายแก่ด้วยความแปลกใจ “ เจ้ารู้จักข้ารึ ?” “ ในอดีตข้าได้เดินทางไปยังเขตตะวันออกตอนเหนือและได้ท้าทายยอดฝีมือที่นั่น มีบางคนพูดถึงเจ้า” ฉิงหยางพูดขึ้นมา “ โชคร้ายที่ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน ถึงข้าอยากจะประมือกับเจ้าแต่ก็ไม่อาจจะหาเจ้าพบ สุดท้ายข้าก็ต้องกลับมาด้วยความเสียดาย แต่ไม่คิดเลยว่าคนที่ข้าอยากจะสู้ด้วยกลับปรากฏตัวขึ้นที่นี่”
หลินเป่ยชานยักคิ้ว “ งั้นรึ ? น่าเสียดายที่ข้าปล่อยให้เจ้ารอนาน”
ฉิงหยางพูดขึ้น “ ตอนที่เบเกิลกดดันผู้เยาว์เขตใต้ ข้าเองก็อยากสู้กับเขาแต่เพราะอายุต่างกันมากนัก มันจึงไม่เหมาะ แม้ว่าจะชนะแต่ก็ไม่อาจจะเรียกว่าชัยชนะที่แท้จริงได้ แต่เจ้ากับข้าอายุพอๆกัน หากข้าชนะเจ้าได้ มันก็ไม่มีใครว่าอะไรข้า”
“ ชนะรึ ?” หลินเป่ยชานยิ้มออกมา “ ข้าขอถามอะไรเจ้าได้รึไม่ ?”
“ ว่ามา”
“เจ้าเป็นผู้นำรึไม่ ?” “ ไม่” ฉิงหยางคิ้วขมวดและพูดขึ้น “ หากข้าเป็นผู้นำ ข้าคงไม่คิดจะสู้กับเจ้า”
“ เมื่อเจ้าไม่ใช่ผู้นำ…” หลินเป่ยชานสะบัดมือเรียกดาบน้ำแข็งขึ้นมาอีกครั้ง “ งั้นข้ากลัวว่าเจ้าคงไม่อาจจะเอาชนะข้าได้”