ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1718 ปิดด่านหมื่นป
“ หมายความว่ายังไง ?” จางหยูไม่เข้าใจ
จุดจบของโกลาหลนี้หมายความว่าโกลาหลจะถูกทำลายจริงๆเหรอ ?
สวรรค์พังทลายหมายถึงอะไร ? หรือว่าวิถีสวรรค์พังทลาย? แล้วมันสำคัญตรงไหน ? รึว่าเป็นชื่อของบางอย่าง?
ความโกลาหลแห้งเหี่ยวนั้นพอเข้าใจได้ มันอาจจะหมายถึงความถดถอยของโกลาหล ชีวิตที่โรยรา?
“ ยุคแห่งจุดจบกับใต้หล้าล้วนมลายน่าจะเกี่ยวข้องกัน”
จางหยูไม่เข้าใจว่ายุคแห่งจุดจบจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ มันหมายถึงความตายงั้นเหรอ ?
หากมันเป็นความจริงงั้นมันก็เป็นความจริงที่โหดร้าย !
โกลาหลกำลังจะตายจริงๆรึ ?
นี่คือช่วงเวลาก่อนที่มันจะโดนทำลายไปรึ !
นี่คือจุดจบรึไง ?
จางหยูหนักใจเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าตอนที่ราชาตะวันออกรู้เรื่องนี้อาจจะรู้สึกหนักใจเหมือนกันกับเขา
รู้ว่าโกลาหลอาจจะพินาศแต่ไม่อาจจะหยุดยั้งมันได้ มันก็ถือว่าเป็นความจริงที่โหดร้าย
ความจริงแบบนี้หากรั่วไหลออกไปแล้วอาจจะทำให้ทั้งโกลาหลตกอยู่ในความวุ่นวาย ผู้ควบคุมขั้น 9 คงไม่อาจจะอยู่นิ่งเฉยได้
จางหยูส่ายหน้าด้วยความหนักใจ เขายังคงดูคัมภีร์ต่อไปก่อนที่เนื้อหาในคัมภีร์จะเข้ามาในตัวเขา
“ ความโกลาหลยืนยาว วันเวลาไร้ที่สิ้นสุด ดินแดนสวรรค์ร่วงหล่น แย่งชิงการสร้างเหล่าสรรพสัตว์ จุดจบยังคงดำเนินต่อ ถวายแด่สรวงสวรรค์ วันแห่งความพินาศตื่นขึ้น …”
“ ความตายเป็นอนิจจัง กาลเวลาไม่แน่นอน ดินแดนแห่งความไม่จีรัง ความไม่แน่นอนของมนุษย์ ชีวิตคือความตาย ความตายคือชีวิต ”
“ ความโกลาหลไม่จีรัง ขึ้นอยู่กับสวรรค์กำหนด หากสวรรค์ล่ม ความโกลาหลก็มลาย หากสวรรค์เปิด ความโกลาหลรอด หากสวรรค์ยินดี ความโกลาหลรุ่งเรือง หากสวรรค์แห้งเหี่ยว ความโกลาหลเงียบงัน…”
เมื่อเห็นเนื้อหาด้านใน จางหยูก็หนักใจยิ่งกว่าเดิม
เมื่อดูเนื้อหาส่วนแรกจางหยูยังไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร แต่เมื่อดูเนื้อหาส่วนหลังแล้วจางหยูก็มั่นใจว่าโกลาหลกำลังจะพินาศไปจริงๆ
ที่ที่เรียกว่าดินแดนสวรรค์ร่วงหล่นน่าจะเป็นสุสานสวรรค์รึดินแดนแห่งการร่วงหล่น
สำหรับสวรรค์ที่ย้ำอยู่ซ้ำๆนั้นจางหยูเดาไม่ออกเลยว่ามันหมายถึงอะไร
“ วิถีโกลาหล ? จ้าวโกลาหล? รึว่ากฎสูงสุด ?W จางหยูได้แต่นึกถึงหลักการเหล่านี้ มันคงจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างจ้าวโกลาหลรึพระเจ้าของโกลาหลแห่งนี้รึอาจจะเป็นกฎสูงสุด ตัวตนที่จางหยูคาดไม่ถึง
หลักการเรื่องสวรรค์ยังพร่ามัวแต่แน่นอนว่าต้องสำคัญต่อโกลาหล
หากไม่มีมันแล้ว โกลาหลก็จะเริ่มพินาศจนสุดท้ายก็จะหายไป
แต่ประโยคที่ว่า “ดินแดนสวรรค์ร่วงหล่น แย่งชิงการสร้างเหล่าสรรพสัตว์ จุดจบยังคงดำเนินต่อ ถวายแด่สรวงสวรรค์ วันแห่งความพินาศตื่นขึ้น ” มันทำให้จางหยูได้ความคิดใหม่ สิ่งที่เรียกกันว่าดินแดนสวรรค์ร่วงหล่น อาจจะเป็นวิหารเหล่านั้น บางทีมันอาจจะเป็นการฟื้นคืนชีพของสิ่งที่เรียกว่า ‘สวรรค์’?
สังหารผู้ควบคุมนับไม่ถ้วน ทำให้ผู้นำขั้น 8 และผู้ควบคุมขั้น 9 กลายเป็นทาส ไม่ใช่ว่าเป็นการแย่งชิงการสร้างของเหล่าสรรพสัตว์รึ?
การทำเช่นนี้ อาจจะเป็นการยืดเวลาให้ความโกลาหล หรือแม้กระทั่งฟื้นคืนชีพ “สวรรค์”?
สุสานสวรรค์ทั้งหมดมีเป้าหมายแบบนั้นรึไง ?
แล้วสวรรค์คืออะไร ?
ใครอยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ ? จิตสุสานสวรรค์เป็นเช่นไร ? มันมีฐานะแบบไหนกัน ?
ยิ่งเขารู้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเขามองข้ามทุกอย่างเท่านั้น เขาอยากรู้ความจริงยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ได้อาจจะมองข้ามการตายของโกลาหลได้ เขาเป็นห่วงโลกป่า โลกป่าคือโลกของเขา โลกป่าช่วยเขาไว้มาก เขาไม่อาจจะมองดูโลกป่าพบกับจุดจบได้
ด้วยความสามารถของเขาแล้ว มันไม่มีทางที่จะย้ายโลกป่าเข้าไปในโลกตันเถียนได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือค้นหาความจริงเกี่ยวกับสุสานสวรรค์และพยายามหาทางผ่านพ้นวิกฤตนี้ไป
“ แม้ว่าความจริงจะน่ากลัวแต่มันก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย ” จางหยูปลอบใจตัวเอง
จางหยูเก็บคัมภีร์ไปและครุ่นคิดทันที
เขาคิดถึงวิหารที่ได้เห็นในสุสานสวรรค์ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่วิหารแต่เป็นเหมือน….ลานบูชามากกว่า
ผู้นำและผู้ควบคุมขั้น 9 ที่โดนครอบงำไม่ได้เป็นหุ่นเชิดแต่มีไว้เพื่อบูชายัญให้กับ “สวรรค์”
พวกเขาอาจจะต้องใช้พลังสร้างรึแม้แต่ชีวิตของพวกเขา
เมื่อคิดแบบนั้นจางหยูก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า “ ข้อมูลนี้ตอนนี้ไม่อาจจะให้ใครรู้ได้…หากมันรั่วไหลออกไป ทั้งโกลาหลคงตกอยู่ในความวุ่นวาย”
ที่สำคัญที่สุดคือข้อมูลนี้อาจจะไม่ใช่ความจริง บางทีอาจจะมีคนขอให้ราชาตะวันออกรับมันไว้และจงใจเขียนเรื่องที่น่ากลัวเอาไว้ แต่มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจริง
ในโกลาหลที่กว้างใหญ่นี้ เราควรระวังตัวเอาไว้จากทุกอย่าง !
ตราบใดที่ไม่พบต้นตอของเรื่องนี้หรือไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามันคือความจริง งั้นก็ไม่อาจจะเชื่อคำพูดนี้ได้เต็มที่นัก
จางหยูอยากจะเข้าไปในสุสานสวรรค์แต่เมื่อคิดไปสักพักเขาก็สลัดความคิดนี้ออกจากหัว เขาตั้งใจจะทบทวนการสร้างใหม่ หากมีพลังมากพอ เขาค่อยคิดเข้าไปสำรวจที่นั่น….
“ แม้แต่ราชาตะวันออกก็ยังตกอยู่ในสภาพนั้น สุสานสวรรค์อันตรายกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ “ จางหยูไม่ชอบเรื่องที่ไม่แน่นอน คนที่ระวังตัวมากอาจจะพลาดโอกาสมากมายแต่บางครั้งก็รับรองความปลอดภัยของตัวเองได้ “ หากข้าเข้าไปในสุสานตอนนี้ ข้าอาจจะหนีออกมาไม่ได้ “
ตอนที่เขาเป็นผู้ควบคุมขั้น 8 สุสานสวรรค์อาจจะเป็นภัยต่อเขา แต่เมื่อเขาขึ้นมาถึงขั้นที่ 9 แล้ว ในทางกลับกันมันก็ไม่ง่ายเลยที่จะเข้าไปในสุสาน
ในบรรพกาล จางหยูนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆต้นบรรพกาล เขาหลับตาลงเพื่อทบทวนการสร้าง
ในโลกป่าผ่านไปหลายปี ทั้งโลกเติบโตยิ่งกว่าเดิม ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างก็มุ่งหน้ามาที่นี่รวมไปถึงผู้ควบคุมขั้น 7 และ 8 ก็ยังมาตั้งรกรากที่นี่ด้วย ตอนที่จางหยูทะลวงผ่านขั้นที่ 9 โลกป่าก็ได้ขยายออกไปอีก มันถึงกับกลายเป็นศูนย์กลางของโลกโดยรอบ
บางทีโลกป่าอาจจะเทียบกับโลกสวรรค์ร้างรึโลกนภาใต้ไม่ได้ แต่ทว่าความสามารถในการเติบโตก็ไม่ได้ต่างกันมากเลย
จ้านเทียนเกอ, เบเกิลและคนอื่นๆไม่ได้ออกจากโลกป่าไป เมื่อพวกเขาได้หินแห่งการสร้างมา พวกเขาก็ไปหาที่ที่ไม่ค่อยมีผู้คนและทำการเพ่งสมาธิไปกับการสร้าง หลินเป่ยชาน, เกลดัน, จงหรานและคนอื่นๆก้าวหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาขึ้นมาเป็นผู้นำได้ จ้านเทียนเกอและเบเกิลเองแม้ว่าความแข็งแกร่งจะไม่ได้พัฒนาขึ้นมามากนักแต่ความเข้าใจการสร้างก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
.ในพริบตาก็ผ่านไปกว่าหมื่นปี
โลกป่าได้เติบโตขึ้นอย่างมาก มันใหญ่กว่าโลกนิรันดร์ของเบเกิลแล้ว หลายกองกำลังได้มุ่งหน้ามาที่โลกป่ารวมไปถึงคนที่จางหยูคุ้นเคยอย่างกลุ่มอาทิตย์อุทัย
ความแข็งแกร่งของศิษย์และอาจารย์ในสำนักเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก
ทั้งสำนักคังเฉียงเริ่มโดดเด่นขึ้นมาในโกลาหล !
เหล่ากุยหยวนที่ทุกคนมองข้าม บัดนี้ศิษย์และอาจารย์ของสำนักได้กลายเป็นกองกำลังที่ทุกฝ่ายไม่กล้าจะมองข้าม ส่วนมากเป็นผู้ควบคุมระดับ 6-7 ศิษย์ของจางหยูรวมไปถึงผานกู่และคนอื่นๆได้ขึ้นมาถึงขั้นที่ 8 ความแข็งแกร่งแบบนี้หากมองทั้งโกลาหลแล้วก็ไม่อาจจะเป็นรองกองกำลังไหนได้ !
ตอนนั้นเองเนี่ยเวิ่นบุตรบุญธรรมของจางหยูก็หายตัวไป
จางเฮ่าหลันกังวลที่เนี่ยเวิ่นหายตัวไปนานโดยไร้เหตุผลแบบนี้
จางเฮ่าหลันได้ส่งคนไปตามหาเนี่ยเวิ่นและถึงกับส่งคนไปยังโลกวิญญาณ แต่ก็ไม่พบ เขาได้ส่งคนไปหาเนี่ยอู่ซวงบิดาแท้ๆของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้เบาะแสใดๆ
ในฝั่งโลกป่า จางเฮ่าหลันได้ใช้อำนาจของสำนักคังเฉียงในการหาตัวเนี่ยเวิ่น แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลใดๆกลับมา
ไม่มีใครรู้ว่าเนี่ยเวิ่นไปที่ใด เขาเดินทางออกไปเองรึถูกนำตัวไป อย่างเดียวที่ยืนยันได้คือการที่หยกวิญญาณของเขายังอยู่ดีซึ่งแปลว่าเขายังมีชีวิตอยู่
ที่บรรพกาลในโลกตันเถียน
จางหยูนั่งอยู่ที่นั่นกว่าหมื่นปีแล้ว เขาไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อยราวกับเป็นรูปปั้น ตั้งแต่เกิดใหม่มาสามรอบ นี่คือระยะเวลาที่เขาบ่มเพาะนานสุดแล้ว ก่อนหน้านี้กินเวลาแค่ไม่กี่เดือนรึไม่กี่ปี แต่ตอนนี้เขากลับบ่มเพาะนานกว่าหมื่นปี เขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน
หมื่นปีในภายนอกเท่ากับล้านปีด้านในรึอาจจะนานกว่านั้น จางหยูไม่รู้เลยว่าเวลาได้ผ่านไปนานแค่ไหน เขาจมอยู่กับการทำความเข้าใจการสร้าง เขาแค่อยากยกระดับความเข้าใจให้ได้มากที่สุด ใครจะไปรู้ว่าการสร้างนั้นมีมากมาย เขาขึ้นมาเป็นผู้ควบคุมขั้นที่ 9 ได้แม้ว่าจะใช้เวลาไม่น้อย แต่เวลาที่ฝึกฝนจริงๆนั้นเกรงว่าน่าจะไม่เกิน 2,000 ปี คนอื่นๆได้ใช้เวลามากกว่าหลายเท่าตัว สุดท้ายแล้วจางหยูใช้เวลาเป็นหมื่นปีก่อนจะยกระดับความเข้าใจไปถึงขีดสุดและไม่มีท่าทีว่าจะพัฒนาต่อได้อีก
แน่นอนถึงจะเป็นแบบนั้นแต่เวลาที่จางหยูและผู้ควบคุมขั้นที่ 9 คนอื่นๆใช้ก็ไม่อาจจะเทียบกันได้
ยังไงซะหลายล้านปีก็ไม่ใช่เวลาน้อยๆ
พวกผู้ควบคุมขั้นที่ 9 อาจจะใช้เวลาบ่มเพาะอยู่หลายยุคกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้
คนอย่างราชาตะวันออกอาจจะใช้เวลาหลายหมื่นรึหลายแสนยุค …
“ ไม่รู้ว่าความเข้าใจการสร้างของข้าเหนือกว่าราชาตะวันออกรึยัง ?” จางหยูยิ้มออกมา
ในทางทฤษฎีแล้ว พลังสร้างในตัวเขาไม่ได้ด้อยว่าใครเลย เพราะเขาได้เพิ่มพลังสร้างจนถึงขีดสุด มันคือขีดจำกัดของผู้ควบคุม แม้แต่ราชาตะวันออกก็ทำได้ดีสุดแค่ทัดเทียมกับเขาแต่ไม่อาจจะก้าวข้ามเขาได้ แน่นอนว่าความเข้าใจการสร้างของราชาตะวันออกอาจจะเหนือกว่าเขาก็ได้