ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1722 วิหารอวี๋ฮุ่น
เมื่อคิดถึงความแข็งแกร่งในอดีตและจำนวนที่กำจัดสิ่งมีชีวิตในแต่ละยุคแล้ว เสี่ยวเสียไม่เคยกลัวใครจนกระทั่งได้เจอกับสำนักคังเฉียงโดยเฉพาะการได้เจอกับเจ้าสำนัก ตอนนั้นเองที่ชีวิตที่น่าอนาถก็เริ่มต้นขึ้น ตอนแรกมันโดนเซียนกระบี่พเนจรรังแก ก่อนจะมีพวกศิษย์จากสาขาต่างๆ
นี่คือชีวิตที่น่าสิ้นหวัง
มันไม่ง่ายเลยที่จะยกฐานะของตัวเองขึ้นมา การที่มันขึ้นมาเป็นบาปแห่งความว่างเปล่านั้นมันก็คิดว่ามันจะสลัดความทุกข์นี้ได้ สุดท้ายมันก็ต้องผูกจิตไว้กับจางหยู มันไม่อาจจะหนีจากชะตากรรมอันบัดซบนี้ได้ สถานการณ์ตอนนี้ทำให้มันกังวลมากกว่าเดิมเสียอีก
เสี่ยวเสียรู้ตัว มันอยากจะเปลี่ยนชะตากรรมตัวเอง มันต้องแข็งแกร่งขึ้น มันต้องเป็นจิตปฐมบทโกลาหลที่แข็งแกร่งที่สุดและเหนือกว่าผู้ควบคุมขั้นที่ 9 มันอยากจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง มันไม่อยากจะกลัวผู้ควบคุมขั้นที่ 9 แบบนี้ต่อไป !
พาหนะมิติได้เดินหน้าอย่างรวดเร็ว แค่สองเดือนมันก็เข้ามาในส่วนลึกของเขตใต้ตอนบน พวกเขาเข้าไปยังโลกขั้นที่ 9 ใบหนึ่ง ก่อนจะใช้ค่ายกลเดินทางไปยังโลกที่อยู่เขตใต้ตอนล่างแล้วเดินทางต่อ
ระหว่างทางจางหยูได้เจอกับพวกโจรจำนวนมาก แต่เพราะพวกเขาเดินทางได้อย่างรวดเร็วจึงทำให้พวกโจรไม่เห็น พวกเขาผ่านพื้นที่ที่พวกโจรอยู่ได้ทุกครั้ง
หลังจากเดินทางเกือบจะครึ่งค่อนโกลาหล สุดท้ายพวกเขาก็มาถึงที่หมายของการเดินทาง โลกอวี๋ฮุ่นในตำนาน มันคือโลกที่เจริญและรุ่งเรืองที่สุดที่นี่
โลกอวี๋ฮุ่นประกอบไปด้วยมิตินับไม่ถ้วน แต่ละมิตินั้นเป็นโลก แม้แต่ในมิติย่อยเหล่านั้นก็ยังมีมิติย่อยลงไปอีก ทำให้พื้นที่ของโลกนี้ใหญ่กว่าขนาดภายนอกที่เห็น มันราวกับว่ามิติทั้งหมดกำลังทับซ้อนอยู่ในโลกอวี๋ฮุ่น เดาว่าขนาดของโลกนี้คงทัดเทียมกับเขตย่อยของโกลาหลได้ด้วยซ้ำ
ตำนานบอกว่าโลกนี้มีมาแต่โบราณและคงอยู่จนถึงตอนนี้
โลกส่วนใหญ่ในโลกอวี๋ฮุ่นแห่งนี้เป็นโลกเปิด มันมีโลกหลายใบที่เป็นโลกปิดที่สามารถป้องกันการรับรู้ได้ แม้แต่จางหยูและจ้าวแห่งโลกพันเขตก็ไม่อาจจะตรวจสอบสถานการณ์ของโลกเหล่านั้นได้
โลกปิดเหล่านี้คงสำคัญต่อวิหารอวี๋ฮุ่นอย่างมาก
เมื่อเดินทางผ่านชั้นมิติไม่นานทั้งสองก็ได้มายังสำนักงานใหญ่ของวิหารอวี๋ฮุ่น
ทั้งมิตินี้ไม่ได้ด้อยกว่าโลกสวรรค์ร้างเลยแต่ที่นี่กลับเป็นของวิหารอวี๋ฮุ่นแต่เพียงผู้เดียว !
ใจกลางโลกนี้มีวังขนาดใหญ่หลังหนึ่ง วังนี้ยาวไปหลายสิบล้านกิโลเมตร ด้านในและนอกวังมีผู้คนเดินเข้าออกนับไม่ถ้วน แต่คนเหล่านี้ไม่ได้มาเพื่อเข้ารับการทดสอบแต่พวกเขาเป็นสมาชิกของวิหาร
พวกเขามาจากโลกขั้น 9 อื่นๆรึไม่ก็จะเดินทางไปยังโลกอื่นต่อ
คำสั่งต่างๆถูกส่งต่อจากที่นี่ก่อนจะกระจายไปทั่ววิหารอวี๋ฮุ่นสาขา
ที่นี่คืออำนาจสูงสุดของวิหารอวี๋ฮุ่น คำสั่งของที่นี่ส่งผลต่อวิหารอวี๋ฮุ่นทุกแห่ง ทุกคนที่ออกจากที่นี่ล้วนแต่มีอำนาจอย่างมากในโลกอื่นๆ พวกเขาจะส่งผลต่อการเติบโตและล่มสลายของโลกเหล่านั้นได้
วิหารอวี๋ฮุ่นนั้นตรวจสอบข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เครือข่ายข้อมูลพวกนี้กว้างขวาง การที่จางหยูได้ขึ้นมาถึงขั้นที่ 9 นั้นวิหารอวี๋ฮุ่นก็รู้ ทั้งๆที่แทบไม่มีใครรู้เลย
แม้ว่าผู้นำวิหารนี้จะเป็นผู้ควบคุมขั้นที่ 9 และรู้จักกันในนามคนที่แกร่งที่สุดในโกลาหล แต่คนที่ได้พบกับผู้นำนั้นมีน้อยนิด แม้แต่สมาชิกหลายคนที่เข้าออกวิหารแห่งนี้ประจำก็ยังไม่เคยพบกับผู้นำ เพราะฐานะของผู้นำนั้นสูงส่งเกินไป หากไม่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น งั้นเขาก็ไม่มีทางปรากฏตัวออกมา สำหรับเรื่องเล็กน้อยแล้วก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ดูแลและผู้อาวุโสจัดการ
การได้พบกับผู้ควบคุมขั้น 9 นั้นถือว่าเป็นประสบการณ์ที่พิเศษสำหรับสมาชิกเหล่านี้
“ ท่านจางหยู” เมื่อมาถึงชั้นที่สองของวังก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ เชิญท่านจางหยูและท่านจ้าวแห่งโลกพันเขตไปยังชั้นที่สองของวิหาร นายท่านรออยู่ที่นั่น”
จางหยูเดินเข้าไปในวิหารทันที เดินไปไม่กี่ก้าวพวกเขาก็ขึ้นมาถึงชั้นที่สองของวังได้
ชั้นที่สองของวังนี้ว่างเปล่า มันราวกับโลกที่เงียบงัน ใจกลางชั้นมีโต๊ะ, ชั้นหนังสือและเก้าอี้ ซึ่งจ้าววิหารนั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นและมองมายังจางหยูและจ้าวแห่งโลกพันเขต จ้าววิหารลุกขึ้นทันทีและต้อนรับทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม “ ยินดีต้อนรับท่านจางหยู ยินดีต้อนรับจ้าวแห่งโลกพันเขต “
เขามองไปที่จ้าวแห่งโลกพันเขตด้วยสายตาแปลกใจ เขาเหมือนไม่คิดว่าจ้าวแห่งโลกพันเขตจะมากับจางหยูด้วย
“ ข่าวลือเป็นความจริงรึ ?” จ้าววิหารคิดในใจ
วิหารอวี๋ฮุ่นพอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับราชาตะวันออกมาบ้างรวมไปถึงเรื่องของจ้าวแห่งโลกพันเขตด้วย
เขาเห็นว่าจ้าวแห่งโลกพันเขตยืนอยู่ด้านหลังจางหยู มันหมายความว่าฐานะของจางหยูน่ะสูงกว่าจ้าวแห่งโลกพันเขต
มันทำให้จ้าววิหารมั่นใจในความคิดของตัวเองมากกว่าเดิม
สำหรับเสี่ยวเสียแล้ว เขาไม่ได้ใส่ใจ คนระดับเขานั้นยากจะสนใจจิตปฐมบทโกลาหลเช่นนี้
“ ข้าสงสัยว่าทำไมเจ้าถึงเรียกข้ามา ? ” จางหยูถามขึ้นมาตรงๆ
“ ฮ่าฮ่า เมื่อเจ้าสำนักจางถามมาเช่นนี้ ข้าก็ไม่คิดจะอ้อมค้อม ” จ้าววิหารพูดขึ้น “ พูดกันตามตรง ที่เชิญเจ้าสำนักจางมานั้นเพราะมีธุระ 3 เรื่อง ก่อนอื่นเลยต้องยินดีกับท่านที่ขึ้นมาถึงขั้นที่ 9 ได้”
จางหยูโบกมือและพูดขึ้นมา “ บอกธุระเจ้ามาเถอะ”
จ้าววิหารไม่ได้ไม่พอใจและยิ้มออกมา “ อย่างแรกคือเราเตรียมตราขั้นที่ 9 ให้กับเจ้าแล้ว ข้าขอให้เจ้าเข้าใจด้วย “ ระหว่างที่พูดนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือ ก่อนจะมีตราปรากฏขึ้นมาพร้อมเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ มันต่างจากตราขั้นที่ 9 ทั่วไป มันมีรูปร่างเป็นจันทร์ครึ่งเสี้ยวพร้อมกับดาว 9 ดวงที่เชื่อมต่อกับดวงจันทร์ มันมีแสงส่องประกายออกมาอย่างต่อเนื่องเผยให้เห็นถึงความสูงส่งของตรานี่
ไม่แปลกเลยที่ตราขั้น 9 จะเป็นแบบนี้
จางหยูรับตรามาและถามขึ้น “ แล้วอีกสองเรื่องล่ะ ?”
“ เรื่องที่สอง ในนามของวิหารอวี๋ฮุ่นข้าขอเชิญเจ้าสำนักจางเข้าร่วมกับวิหารของเรา ตราบใดที่เจ้าตกลง เราจะให้ทรัพยากรกับเจ้า สำหรับการบ่มเพาะต่อจากนี้เราจะดูแลเอง ข้าไม่อาจรับรองได้ว่าจะราบรื่นไร้อุปสรรค แต่ข้ามั่นใจว่าเจ้าสำนักจางจะขึ้นไประดับ 100 เท่าได้แน่ ”
เพราะเป็นวิหารอวี๋ฮุ่นถึงได้กล้าพูดแบบนี้ออกมา หากเปลี่ยนเป็นกองกำลังอื่น ใครบ้างที่จะรับรองเรื่องแบบนี้ได้ ?
จางหยูถามขึ้นมา “รึว่าผู้ควบคุมขั้นที่ 9 ทุกคนจะได้รับคำเชิญและมีเงื่อนไขเช่นนี้ด้วย ?”
จ้าววิหารหัวเราะออกมาและพูดขึ้น “ เจ้าสำนักจางคิดว่าวิหารอวี๋ฮุ่นจะสนใจขั้นที่ 9 ธรรมดาทุกคนอย่างนั้นหรือ?”
คนที่กล้าพูดว่าขั้นที่ 9 ธรรมดาคงมีแค่วิหารอวี๋ฮุ่นเท่านั้นที่กล้าพูดแบบนี้