ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1830 จ้าวบรรพกาลคนที่ 4
ครืนนน…
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับโกลาหลนภาที่ถล่มลงไป ร่างของไห่อู่เซิงค่อยๆสลายไปอย่างช้าๆ
ต่อหน้าความแข็งแกร่งที่เหนือกว่านี้ ไห่อู่เซิงไม่อาจจะดิ้นรนได้เลย ร่างกาย, จิตผู้สร้าง, วิญญาณรวมถึงจิตต่างก็โดนกำจัด
ด้วยการตายของไห่อู่เซิง การล่มสลายของโกลาหลนภาก็ชัดเจนขึ้นตามมาด้วยคลื่นพลังในร่างจางหยูที่ระเบิดออกมา
หลังจากนั้นร่างของจางหยูก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่เขตหวงห้าม เขาอยู่ที่จุดเชื่อมต่อระหว่างโกลาหลนภากับโกลาหล
ในโกลาหล ปราณสุสานยังคงลอยล่องไปเรื่อยๆก่อนจะกระจายและหายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานโกลาหลก็กลับคืนสู่ความสงบ ตัวตนของปราณสุสานไม่มีเหลืออยู่ราวกับว่ามันไม่เคยมีมาก่อน
สุสานของผู้ควบคุมนับไม่ถ้วนได้กลายเป็นโลก โลกที่ไม่มีปราณสุสานอยู่ มันทำให้โลกยกระดับขึ้นมา
ซุนเหยียน, ซุนเมิ่ง, ซุนวู, เสี่ยวเสียและต้นไม้โกลาหลต่างก็รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโกลาหล พวกเขารับรู้ถึงปราณสุสานที่หายไป
“ ไห่อู่เซิงตายแล้วรึ ?” ซุนเหยียนถามขึ้นมาพร้อมสีหน้าที่ดูโล่งอก
ซุนวูเงยหน้าขึ้น เขาพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา “ ท่านปู่ ท่านเห็นรึไม่ ? ไห่อู่เซิงตายแล้ว !”
ซุนเมิ่งเองก็สะอื้นด้วยความยินดี
…
ที่เขตหวงห้าม
เสี่ยวเสียมองไปที่ต้นไม้โกลาหล “ เจ้ารู้สึกรึไม่ ?” ต้นไม้โกลาหลแผ่ตัวออกมาครอบคลุมไปทั่วทั้งเขตหวงห้าม ลำต้นของมันดูหนาขึ้นมา มันได้พูดขึ้น “ ข้ารู้สึกได้! สุสานสวรรค์โดนทำลายแล้ว จิตสุสานหายไป ทั้งโกลาหลกำลังฟื้นฟู !”
เหตุการณ์แบบนี้บอกเนี่ยเวิ่นได้ว่าไห่อู่เซิงได้ตายไปแล้ว !
ต้นกำเนิดของปราณสุสานได้ถูกลบออกไปแล้ว !
“ นายท่าน ท่านฆ่าไห่อู่เซิงจริงๆรึ ?” เสี่ยวเสียมองไปที่จางหยูด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“ เจ้าว่ายังไงนะ ?” จางหยูมองไปที่เสี่ยวเสีย
จางหยูส่ายหน้าและโบกมือให้กับต้นไม้โกลาหล “ ภัยได้ถูกลบไปแล้ว ข้าควรจะกลับไปได้แล้ว หากเจ้ามีคำถามอะไร เจ้าให้เนี่ยเวิ่นมาหาข้าที่สำนักคังเฉียงได้”
ทันทีที่พูดจบ จางหยูก็ได้กำคอเสี่ยวเสียแล้วหายไปภายใต้การดิ้นรนของเสี่ยวเสีย …
ที่โลกป่า
ตอนที่จางหยูกลับมาพร้อมกับเสี่ยวเสีย ทุกคนต่างก็รอเขาอยู่ที่สำนักคังเฉียงแล้ว
“ เจ้าสำนัก”
“ อาจารย์ ”
ทุกคนพากันแห่เข้ามาหาจางหยู
จางเฮ่าหลันอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “ ไห่อู่เซิงยังมีชีวิตอยู่รึไม่ ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตากังวลของทุกคน จางหยูก็พยักหน้า “ ไห่อู่เซิงตายแล้ว สุสานสวรรค์โดนทำลายโดยสมบูรณ์แล้ว จากนี้ไปเราไม่ต้องกังวลภัยจากไห่อู่เซิงอีก”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นทุกคนก็โห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น แรงกดดันในใจพวกเขาได้หายไปสักที
“ นายท่าน วางข้าลงก่อน” เสี่ยวเสียในมือจางหยูดิ้นไปมา จางหยูวางเสี่ยวเสียลงก่อนจะหันไปบอกกับทุกคน “ ภัยจากไห่อู่เซิงหายไป แต่ภัยจากภายนอกโกลาหลยังคงอยู่”
ทุกคนมองจางหยูด้วยสีหน้าสับสน
“ พวกเจ้ารู้รึไม่ว่าจ้าวโกลาหลตายได้ยังไง ?” จางหยูไม่รอให้ทุกคนตอบกลับ เขาได้พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ จ้าวโกลาหลโดนผึ้งต่อยตาย”
ตอนนั้นทุกคนต่างก็พากันฮือฮาขึ้นมา
“ ด้านนอกโกลาหลแห่งนี้ลึกลับอย่างมาก มันมีอันตรายอยู่มากมายซึ่งน่ากลัวและอันตรายยิ่งกว่าไห่อู่เซิง นี่ไม่ต้องพูดถึงพวกเจ้าเลย แม้แต่จ้าวโกลาหลก็ยังตกอยู่ในภัยที่อันตรายถึงชีวิต” จางหยูพูดขึ้น “ ผึ้ง, แมลงวันรึยุงก็อาจจะปลิดชีวิตพวกเจ้าได้ ดังนั้นพวกเจ้าไม่ควรเกียจคร้าน พวกเจ้าจงรีบยกระดับตัวเองขึ้นมาให้เร็วที่สุด ไม่งั้นแล้วหากพวกเจ้าพบตัวตนที่อันตรายเหล่านั้น ข้าก็ยากจะช่วยพวกเจ้าได้ มีแค่การพึ่งความแข็งแกร่งของตัวเองที่จะต้านทานอันตรายเหล่านั้นได้อย่างแท้จริง”
“ แม้แต่ผึ้งก็ยังต่อยจ้าวโกลาหลตายได้รึ ?” ทุกคนต่างก็ขนลุก
มันฟังดูน่ากลัว
ซุนเหยียนได้เดินไปหาจางหยู “เจ้าสำนัก ทำไมต้องหลอกพวกเขาด้วย ?”
จ้าวโกลาหลโดนผึ้งต่อยตายจริงๆแต่มันไม่ได้อยู่ในโกลาหล มันอยู่ในทะเลโกลาหลต่างหาก
เท่าที่ซุนเหยียนรู้มา มันไม่มีสิ่งมีชีวิตที่อันตรายแบบนั้นอยู่ในโกลาหล
“ หากพวกเขาไม่กดดัน พวกเขาจะขยันบ่มเพาะรึ?” จางหยูไม่ได้รู้สึกว่าคำพูดของตนนั้นผิด “ ยังไงซะพวกเขาก็ยังอ่อนแอเกินไป”
ตอนนี้จางหยูได้ก้าวขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลแล้ว ซุนเหยียน, เสี่ยวเสีย, ซุนเมิ่งและซุนวูได้ขึ้นเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลและขอบเขตการสร้างไร้จำกัด แต่คนอื่นๆยังอยู่ขั้นที่ 9 กันอยู่เลย จางหยูหวังว่าจะใช้แรงกดดันนี้เพื่อให้พวกเขาขึ้นเป็นราชาให้ได้หรืออาจจะขึ้นไปเป็นขอบเขตการสร้างไร้จำกัด
หากวันหนึ่งศิษย์และอาจารย์เหล่านี้ขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลได้ งั้นมันจะเป็นฉากแบบไหนกัน ?
ผ่านไปสักพักจางหยูก็ได้สั่งให้ทุกคนแยกย้าย เหลือไว้แค่ซุนเมิ่ง
“ ของคุณอาจารย์ที่แก้แค้นให้กับเราสองพี่น้อง” ซุนเมิ่งพูดขึ้น
จางหยูโบกมือและพูดขึ้น “ น้องของเจ้าขึ้นเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลแล้ว ตอนนี้เป็นตาของเจ้าแล้ว”
ซุนเมิ่งตาเป็นประกายขึ้นมา “ ถึงเวลาแล้วรึ ?”
“ มากับข้า” จางหยูสร้างรูหนอนขึ้นมาก่อนจะเดินเข้าไป
ซุนเมิ่งรีบตามไปโดยไม่ลังเล
“ นี่มัน….” เมื่อเข้ามาในโลกผังหลงซุนเมิ่งก็จำได้ทันที “ โลกผังหลงได้ขึ้นเป็นโลกขั้นที่ 9 แล้ว !”
จางหยูพยักหน้า “ ไม่ใช่แค่นั้น เจ้าลองตรวจสอบด้านนอกโลกผังหลงดูสิ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นซุนเมิ่งก็แผ่การรับรู้ออกไปและก็ต้องอึ้ง “ โกลาหล ! มันคือโกลาหลกำเนิดใหม่ !”
“ ข้าเรียกมันว่าบรรพกาล” จางหยูบอกกับซุนเมิ่ง “ ต่อไปข้าจะสร้างร่างบรรพกาลให้กับเจ้า ตราบใดที่เจ้ารวมร่างกับมัน เจ้าจะขึ้นเป็นกึ่งจ้าวโกลาหล เจ้าจะเปลี่ยนเป็นจ้าวบรรพกาล”
ซุนเมิ่งไม่เข้าใจนักแต่นางเชื่อใจจางหยูอย่างมาก เมื่อจางหยูพูดเช่นนี้นางก็จะทำตามที่จางหยูบอกมา
ต่อมานางก็เห็นว่าจางหยูได้สร้างร่างแยกที่เหมือนกับวิธีที่นางสอนกับหยวนฉิง และสุดท้ายหยวนฉิงก็ส่งต่อมันให้กับจางหยู
โชคชะตาช่างวิเศษจริงๆ นางไม่คิดเลยว่าทักษะสร้างร่างเทียมของตนจะถูกใช้โดยจางหยู เพื่อสร้างร่างบรรพกาลให้กับตัวเอง
“ เอาล่ะ ” จางหยูหยุดมือ ตรงหน้าเขาคือร่างบรรพกาลที่หน้าตาเหมือนกับซุนเมิ่ง แม้แต่ผมก็ยังเหมือนกัน “ ลองรวมร่างกับมันดู ”
ซุนเมิ่งพยักหน้าก่อนจะดึงจิตและวิญญาณออกมาจากร่างเดิมและเข้าไปในร่างบรรพกาล
ในพริบตาจ้าวบรรพกาลคนใหม่ก็กำเนิดขึ้นมา !
ในเวลาเดียวกันจางหยูก็รับรู้ได้ว่าความแข็งแกร่งของตัวเองเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยในระดับจ้าวโกลาหล
พูดตามตรงแล้วจางหยูไม่ใช่จ้าวโกลาหล แต่เป็นกึ่งจ้าวโกลาหลที่มีพลังของจ้าวโกลาหล
ซุนเมิ่งปรับตัวกับร่างใหม่ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมา นางรู้สึกทึ่งอย่างมาก “ นี่คือกึ่งจ้าวโกลาหลรึ ? ข้าเหมือนจะควบคุมบรรพกาลของทั้งโลกผังหลงได้ ”
“ จากนี้เจ้าจะกลายเป็นกึ่งจ้าวโกลาหล โลกผังหลงคืออาณาเขตของเจ้า ” จางหยูพูดขึ้น “ ในโลกนี้เจ้าคือพระเจ้า หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าแล้ว มันก็ไม่มีใครเข้ามาในบรรพกาลแห่งนี้ได้รึไม่มีใครออกไปได้ ยกเว้นแต่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นจ้าวโกลาหล”
หลังจากนั้นสักพักจางหยูก็พูดขึ้นต่อ “ นอกจากนี้แล้วเจ้าก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้บรรพกาลขยายตัวออกไป ยิ่งบรรพกาลขยายตัวไปเท่าไหร่และเติบโตเร็วเท่าไหร่ เจ้าก็จะแกร่งขึ้นเท่านั้น จิตของเจ้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง มันอาจจะไปถึงระดับจำกัดจนเจ้าขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลจริงๆได้”
ไม่ว่าจะเป็นบรรพกาลของที่ไหนมันก็ไม่ใช่โกลาหล มันคือบรรพกาลเท่านั้น
มีแค่การทำให้บรรพกาลเติบโตไปถึงระดับหนึ่ง มันถึงจะถูกเรียกได้ว่าเป็นบรรพกาลที่แท้จริง
“ ขอบคุณอาจารย์ !” ซุนเมิ่งซึ้งใจอย่างมาก
“ จำไว้ว่าเจ้าต้องดูแลต้นไม้บรรพกาลให้ดี” จางหยูชี้ไปที่ต้นไม้ที่เพิ่งเกิดใหม่ในโลกผังหลง “ มันสามารถเร่งความเร็วในการเติบโตของบรรพกาลได้ บทบาทของมันชัดเจน หากเกิดอะไรกับมัน มันจะเป็นปัญหา” จางหยูยังหาวิธีสร้างต้นไม้บรรพกาลขึ้นมาไม่ได้ เขาได้แต่ให้บรรพกาลให้กำเนิดต้นไม้บรรพกาลขึ้นมา เมื่อต้นไม้บรรพกาลถูกทำลาย จางหยูก็ไม่รู้ว่าจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้รึไม่ แม้ว่าจะทำได้แต่ก็เกรงว่าจะต้องใช้ทรัพยากรไปมหาศาล
เมื่อได้ยินคำพูดของจางหยู ซุนเมิ่งก็พยักหน้าทันที “ ข้าจะจำไว้ ”
หลังจากที่เตือนเสร็จจางหยูก็ได้ให้ซุนเมิ่งปรับตัวกับบรรพกาลของโลกผังหลง จากนั้นเขาก็ได้จากไป
….
โลกนภา ผ่านไปสามหมื่นปีโลกนภายังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงราวกับถูกหยุดเวลาไว้ให้เหมือนเมื่อสามหมื่นปีก่อน
โลกนี้ถูกสร้างขึ้นโดยหยวนฉิง มันไม่มีกฎสวรรค์ที่นี่ แต่ก็มีกฎที่คอยดูแลโลกนี้อยู่ แม้จะผ่านไปสามหมื่นปีแต่มันก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะพัฒนา ด้วยความแข็งแกร่งของจางหยูที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โลกนี้ก็หมดบทบาทของมัน มันราวกับแหวนมิติที่คอยเก็บของมีค่าให้กับจางหยู
ทั้งโลกนภาโดนลดค่าเป็นแค่แหวนมิติ
แต่ตอนที่จางหยูว่าง เขาก็ยังอยากมาที่นี่ เขาอยากชมวิวที่คุ้นตาและหาความสงบทางจิตใจ
“ มันคงอีกไม่นานก่อนที่บรรพกาลอื่นๆจะกำเนิดขึ้นมา” การพัฒนาของโลกตันเถียนทำให้จางหยูพอใจอย่างมาก แต่ศิษย์และอาจารย์นั้นกลับทำให้เขาผิดหวัง “ เพื่อสร้างกึ่งจ้าวโกลาหล เราต้องหาขอบเขตการสร้างไร้จำกัด ยังไงซะคนอย่างซุนเมิ่งและซุนวูนั้นก็เป็นตัวตนพิเศษ ในโกลาหลไม่อาจจะหาคนแบบนี้คนที่สามได้”
เขายอมแพ้ในการสร้างกึ่งจ้าวโกลาหลไปก่อนและอดคิดถึงนอกโกลาหลไม่ได้ “ นอกโกลาหลนี้เป็นยังไง ?”
จากตอนที่ขึ้นเป็นจ้าวโกลาหล จิตของเขาก็ยกระดับขึ้นมา มันทะลวงผ่านโกลาหลแห่งนี้ไป เขาสามารถรับรู้สถานการณ์ภายนอกโกลาหลได้ มันคือโกลาหลนับไม่ถ้วน โกลาหลนับไม่ถ้วนรวมกันและก่อตัวเป็นทะเล โกลาหลแห่งนี้เป็นเพียงน้ำหยดหนึ่งเท่านั้น