ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1842 พลังจิต
การกำเนิดทะเลบรรพกาลนั้นร่างแยกของจางหยูต่างก็รับรู้
จางลู่เป็นคนแรกที่เข้ามาในทะเลบรรพกาล เขามองไปรอบๆและพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย “ นี่คือทะเลโกลาหลรึ ?”
“ กลับกัน มันควรเรียกว่าทะเลบรรพกาลมากกว่า ”
โดยแก่นแท้แล้วทะเลบรรพกาลนั้นเหมือนกับทะเลโกลาหล แค่มีชื่อที่ต่างกัน
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ ทะเลบรรพกาลนั้นเพิ่งกำเนิดขึ้นมา จำนวนจ้าวบรรพกาลยังมีจำกัด จ้าวบรรพกาลเหล่านี้เป็นแค่กึ่งจ้าวโกลาหล
คนที่ขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลได้ มีแค่จางลู่เท่านั้น
“หากเทียบกับทะเลโกลาหลแล้ว ทะเลบรรพกาลเหมือนกับเด็กแรกเกิด” จางหยูปรากฏตัวขึ้น “ แม้ว่าแก่นแท้ทั้งสองจะเหมือนกัน แต่มันก็ต่างกันอย่างมาก”
“ ร่างหลัก” เมื่อเห็นจางหยูปรากฏตัวขึ้นมา จางลู่ก็พูดขึ้น
จางหยูโบกมือและตรวจสอบคุณสมบัติของที่นี่ “ การจะเติบโตถึงระดับทะเลโกลาหลแล้ว ทะเลบรรพกาลยังต้องพัฒนาอีกเยอะ”
นี่แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
การเริ่มต้นที่ยากที่สุดสำเร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปน่ะง่ายกว่าเดิมอย่างมาก
ทันใดนั้นทะเลบรรพกาลก็หยุดขยายตัวแต่การเปลี่ยนแปลงในตันเถียนของจางหยู ไม่ได้หยุดลงไปด้วย การอัดแน่นพลังเพิ่มขึ้นมานับไม่ถ้วน มันมีการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาด จางหยูรับรู้ได้ว่าพลังดั้งเดิมนั้นบีบอัด แต่ปริมาณกลับลดลง ถึงอย่างนั้นมันกลับมีพลังที่น่ากลัวกว่าเดิม
จางหยูยืนอยู่ในทะเลบรรพกาล เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของพลังดั้งเดิม
ใช้เวลาไม่นานพลังนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยพลังใหม่ซึ่งคือ…พลังจิต !
มันราวกับว่าพลังดั้งเดิมทั้งหมดเปลี่ยนเป็นพลังจิตบริสุทธิ์ พลังที่เหนือกว่าสิ่งใด !
พลังจิตที่กำเนิดขึ้นมาใหม่นี้ไม่มีพลังของวิถีใดๆ ทำให้ผู้คนไม่รับรู้ถึงอันตราย แต่จางหยูรู้สึกได้ว่าพลังที่ดูไร้พิษภัยนี้ น่ากลัวกว่าพลังไหนๆ ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับอะไรก็สามารถทำลายได้
พลังจิตราวกับทรงพลังกว่าโกลาหล การสร้าง และกฎ การได้ครอบครองพลังจิตนี้ก็เหมือนกับผู้สร้างเกม ที่ควบคุมชีวิตของผู้อื่นในเกมได้ตามใจชอบ
เพียงแค่ว่าพลังจิตของจางหยูยังน้อยเกินไป พลังดั้งเดิมนับไม่ถ้วนเปลี่ยนเป็นพลังจิตได้แค่เส้นเดียว ส่วนพลังจิตเส้นที่สองกำลังรวมตัวกันอยู่ เดาว่าคงใช้เวลานานกว่าจะก่อตัวขึ้นมาได้ นอกซะจากว่าจะมีอย่างอื่นช่วย
ตอนที่พลังจิตกำเนิดขึ้นมา ดาบและเกราะราวกับได้ผลกระทบไปด้วย มันได้กลายเป็นผงก่อนจะสลายไปทันที
“ หายไปเลยรึ ?” มุมปากจางหยูกระตุก ดาบและเกราะนี้อยู่ในตันเถียนของเขามานาน พลังของมันถือว่าสูงพอตัว แม้จะไม่ถึงระดับสมบูรณ์แต่เดาว่าคงต่างกันไม่มาก แต่ภายใต้พลังจิตนี้ มันกลับทนไม่ได้แม้แต่อึดใจเดียวและสลายไปในทันที
ในทะเลบรรพกาลเงาของดาบและเกราะเองก็กระจายหายไปด้วย ราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
พลังจิตนี่น่ากลัวจริงๆ !
จางหยูไม่รู้ว่าจะหัวเราะรึร้องไห้ดี พลังจิตแข็งแกร่งเขาก็ควรจะดีใจ แต่ปัญหาคือดาบและเกราะที่เขาสร้างขึ้นมากลับถูกทำลาย
จางหยูคิ้วขมวด “ ดูเหมือนว่าโลกขั้น 9 ไม่อาจจะทนรับพลังจิตนี่ไหว ”
เขาอยากจะเก็บดาบและเกราะเอาไว้ ตอนนี้แผนการกลับต้องล่มลง
ขณะที่จางหยูกำลังคิดหาวิธีแก้ปัญหานี้ ฉากที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นทำให้จางหยูต้องหันไปสนใจ ทะเลบรรพกาลมีกลุ่มแสงกระพริบขึ้นมาก่อนจะกระจายตัวไปยังตำแหน่งต่างๆ ราวกับหมู่ดาว
“ จุดแสงเหล่านี้คืออะไรกัน ?” จางหยูสงสัย
“ นี่มัน…” จางลู่เห็นการเปลี่ยนแปลงของทะเลบรรพกาลก็พูดขึ้น “ มันดูเหมือนบรรพกาลจำลอง ข้ารู้สึกได้ถึงบรรพกาลของโลกบรรพกาลและโลกอื่นๆ ”
ตอนที่ทะเลบรรพกาลยังไม่กำเนิด บรรพกาลเหล่านี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมา จนกระทั่งทะเลบรรพกาลกำเนิด ถึงมองเห็นเงาของมันได้ แต่เมื่อเทียบกับบรรพกาลที่พัฒนาขึ้นมาแล้ว บรรพกาลจำลองเหล่านี้ไม่ได้ดูโดดเด่นเลย หากลองสังเกตดีๆ ก็จะสามารถแยกแยะได้
จางหยูพูดขึ้น “ นี่คือบรรพกาลจำลองงั้นรึ ? ” หากเทียบกับบรรพกาลที่สมบูรณ์แล้ว บรรพกาลจำลองนั้นดูไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยเลย
อย่างแรกคือทินกรกลางทะเลบรรพกาล อย่างหลังคือจุดแสงอันเล็กจ้อย
“ เดี๋ยวสิ…” จางหยูยักคิ้ว “ ข้าจำได้ว่าบรรพกาลไม่ได้มีมากแบบนี้นิ ?”
เขากังวลเรื่องจำนวนบรรพกาลมาโดยตลอด หากจำไม่ผิดจำนวนบรรพกาลน่าจะมีล้านแห่ง แต่ในทะเลบรรพกาลตอนนี้ กลับมีจุดแสงไม่น้อยกว่าสามล้านแห่ง ความต่างคือบางอันส่องแสงสว่างจ้าออกมา บางอันดูหม่นหมอง
เมื่อแผ่การรับรู้ออกไป จางหยูก็รับรู้ได้ชัดเจนขึ้น
ผ่านไปสักพักจางหยูก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความแปลกใจ “ ทะเลบรรพกาลได้ให้กำเนิดบรรพกาลเหล่านี้ !”
จุดแสงเล็กๆนั้นคงเป็นบรรพกาลที่เพิ่งกำเนิดขึ้นมา บรรพกาลที่ยังไม่มีกฎที่สมบูร์ณแต่เต็มไปด้วยพลังชีวิต
การค้นพบนี้ทำให้จางหยูแปลกใจ ที่ผ่านมาเขาพึ่งการเล่าเรื่องเพื่อเพิ่มจำนวนโลกขึ้นมา จากนั้นก็ใช้โลกเหล่านี้เพิ่มจำนวนบรรพกาล แต่การค้นพบในครั้งนี้ ทำให้จางหยูไม่จำเป็นต้องไปเล่าเรื่องอีก
จากนี้ไปเขาไม่ต้องไปเล่าเรื่องให้ศิษย์และอาจารย์ฟังทุกวันแล้ว เขาไม่ต้องสนใจเรื่องการแต่งเรื่อง ตราบใดที่มีทะเลบรรพกาลอยู่ เขาก็สามารถสร้างบรรพกาลแห่งใหม่ขึ้นมาได้
นี่เป็นข่าวดีสำหรับจางหยู !
ตลอดหลายปีมานี้เขาเล่าเรื่องของตัวเองเกือบหมดแล้ว แม้ว่าจะมีหลายเรื่องที่เขายังไม่ได้เล่า แต่เขาไม่จำเป็นต้องดัดแปลงเรื่องเหล่านั้นแล้ว การเล่านิทานทุกวันน่ะเป็นเรื่องยุ่งยาก ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เป็นอิสระสักที
จางลู่เหมือนจะคิดบางอย่างและถามขึ้นมา “ ทำไมไม่ใช้บรรพกาลสร้างอาวุธและเกราะของเจ้าล่ะ ?”
จางหยูเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตาเป็นประกายขึ้นมา “บรรพกาลก็เป็นแก่นพลัง ความคิดนี้…น่าทึ่งจริงๆ !” เขามองจางลู่ด้วยสีหน้าชื่นชม “ หากเจ้าไม่เตือน ข้าอาจจะคิดไม่ถึง ! มันเป็นความคิดที่ดี ! โลกขั้น 9 ไม่อาจจะทนรับพลังจิตได้แต่บรรพกาลนั้นน่าจะรับไหว !”
หลังจากที่จางลู่เตือน ความคิดของจางหยูก็ชัดเจนขึ้น
การใช้บรรพกาลในการสร้างอาวุธและเกราะนั้นจะต้องใช้บรรพกาลที่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะบรรพกาลที่สมบูรณ์นั้น มันมีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน บรรพกาลที่เพิ่งกำเนิดขึ้นจะเหมาะกว่า จางหยูสามารถเลือกใช้มันได้ตามใจ เขาจะเปลี่ยนรูปแบบการเติบโตของมัน ทำให้มันมีความสามารถมากขึ้นกว่าเก่า
ทะเลบรรพกาลให้กำเนิดบรรพกาลจำลองเป็นจำนวนมาก มันมีบรรพกาลกำเนิดใหม่ ซึ่งเหมาะสำหรับใช้สร้างอาวุธและเกราะที่สุด
ด้วยวิธีนี้แม้ว่าจะล้มเหลวไป แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อจางหยูมากนัก
เมื่อคิดแบบนั้นจางหยูก็รอต่อไปไม่ไหว เขาลงมือทันที เขาดึงเอาจุดแสงหลายร้อยอันมารวมกัน ด้วยพลังผู้สร้างสูงสุดของเขาแล้ว เขาได้เปลี่ยนมันให้กลายเป็นดาบ ตัวดาบนั้นไม่ได้มีพลังอะไรมากนัก แต่เป็นวัตถุดิบของมันต่างหากที่ในอนาคตจะต้องโดดเด่นแน่ๆ การเติบโตและคุณลักษณะของมันค่อนข้างสูง มันไม่อาจจะเอาเกราะและดาบก่อนหน้านี้มาเทียบได้
“ จะสำเร็จรึล้มเหลวก็ต้องลองดู !” จางหยูสูดหายใจเข้าลึกๆและใส่ดาบเข้าไปในตันเถียนของเขา