ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1848 ผู้นำ
ผ่านไปสักพักทุกคนก็มาถึงตึกทำการ
ที่นี่มีถนนที่ดูเป็นระเบียบกว่าที่อื่น
สองฝั่งข้างถนนมีบ้านเรือนและร้านขายของอยู่
ถนนสายเล็กๆ เริ่มจากส่วนกลาง ปลายของถนนถูกแยกออกเป็นสายสาย ทำให้ทั้งถนนดูเหมือนหนังสติ๊ก
สถานที่รับตราและจ่ายค่าคุ้มครองนั้นตั้งอยู่ตรงแยกของหนังสติ๊ก หรือก็คือทางแยกถนนสามสาย
เมื่อเทียบกับทางเข้าของถนนสายเล็กๆแล้ว ที่แห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาและครึกครื้นกว่ามาก สามารถเห็นจ้าวโกลาหลกำลังเดินอยู่รอบๆ
“ หมู่บ้านของเราคือหนึ่งในร้อยล้านหมู่บ้านภายใต้การปกครองของเมืองไป่ซิง ทั้งหมู่บ้านมีคนกว่าสามพันคน หากเทียบกับหมู่บ้านอื่นๆที่ใกล้เมืองแล้ว หมู่บ้านของเราถือว่าด้อยกว่ามาก แต่มันก็มีความสงบที่หมู่บ้านอื่นไม่มี” ชายวัยกลางคนทำการแนะนำออกมา
หมู่บ้านนี้ไม่ได้วุ่นวายและไม่มีใครคิดจะไปรบกวนคนอื่น
การมาของคนจากสำนักคังเฉียงดึงดูดความสนใจจากคนจำนวนมาก หลายคนจึงพากันมามุงดูพวกเขา
ยังไงซะมันก็มีคนแค่ 3 พันคนที่นี่ บางคนกลับไปยังโกลาหลของตัวเองหรือไม่ก็ออกไปทำธุระ คนที่พักอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ตลอดนั้นมีไม่ถึงสองพันคน
ในอีกความหมายคือจำนวนศิษย์และอาจารย์จากสำนักคังเฉียงนั้นมากกว่าคนที่พักอยู่ที่นี่เสียอีก
เมื่อมีคนมากก็เป็นธรรมดาที่จะกลายเป็นเป้าสายตา
“ หัวหน้าสือฉี ” ชายวัยกลางคนที่ไว้ผมยาวประบ่า เดินเข้ามาทักทาย “ คนพวกนี้เป็นใครกัน ?”
สือฉียิ้มออกมาและพูดขึ้น “ พวกนี้คือหน้าใหม่ ข้าพาพวกเขามารับตรา ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นจ้าวโกลาหลคนอื่นๆต่างก็มองมาที่จางหยูและพวกด้วยความแปลกใจ “หน้าใหม่มีมากแบบนี้เลยรึ !“
กว่าสองพันคน !
“ ฮ่าฮ่า ! ดูเหมือนว่าหมู่บ้านของเราจะดูคึกคักขึ้นมา !” ชายหนุ่มคนหนึ่งหัวเราะออกมาและพูดขึ้น “ ครั้งที่แล้วที่คึกคักที่สุดก็คงเป็นตอนที่ซุนกวนได้เข้าร่วมกองกำลังสำรองของกองทัพเทียนลั่ว…”
ดูเหมือนว่าคนในหมู่บ้านนี้จะรู้จักซุนกวนเป็นอย่างดี แม้แต่คนที่มาภายหลังก็เคยได้ยินชื่อของซุนกวน
สือฉียิ้มออกมาและพูดขึ้น “ ข้าบอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่รึว่าข้าต้องพาพวกเขาไปรับตรา ”
สือฉีหันกลับมาและพาทุกคนไปยังตึกแห่งหนึ่ง นี่คือตึกที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน แม้ว่าจะไม่ได้ดูงดงามอะไรและดูพังไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็ยังแผ่คลื่นพลังอันแข็งแกร่งออกมา ไม่มีใครกล้าดูถูกที่นี่เพราะเจ้าของตึกนี้คือผู้นำของหมู่บ้านที่ปกครองทุกอย่างในหมู่บ้าน
แม้แต่สมาชิกกองทัพเทียนลั่วเองก็ยังต้องเคารพเขา
เพราะผู้นำหมู่บ้านเสี่ยวอันนั้นเคยเป็นสมาชิกในสามกองทัพใหญ่ภายใต้จักรพรรดิซื่อเซียว อีกทั้งยังเคยออกรบพิชิตใต้หล้าให้กับจักรพรรดิซื่อเซียวมาแล้ว ต่อมาเขาได้รับบาดเจ็บจากสงคราม ทำให้รากฐานโกลาหลเกิดความเสียหาย พลังถดถอยจนหมดหวังที่จะเติบโตขึ้นมาได้อีก สุดท้ายเขาก็ถูกส่งมาที่นี่ในฐานะผู้นำของหมู่บ้าน เพื่อให้เขาได้พักฟื้นตัว อีกด้านก็เพื่อรับใช้จักรพรรดิต่อไป
ทุกคนต่างก็เคารพเขา แม้ว่าเขาจะตกต่ำลงจากเดิมแต่ก็ยังแกร่งกว่าคนอื่นๆ มีแค่ซุนกวนเท่านั้นที่พอจะเทียบกับเขาได้
ไม่นาน สือฉีก็ได้พาทุกคนเข้าไปในตึก
ตึกนี้มีขนาดใหญ่แต่ด้านในนั้นดูเก่าแก่ มันไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ด้านในเลย
มันมีแค่ชายชราเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ที่หน้าบ้าน
เมื่อเห็นชายชราคนนั้นสือฉีก็ได้หยุดและทำความเคารพทันที “ ท่านลั่วเกา “
ลั่วเกาคือผู้นำของหมู่บ้านเสี่ยวอัน เขาเหลือบมองจางหยูและคนอื่นๆก่อนที่สายตาของเขาจะเปลี่ยนไป “ ไม่คิดเลยว่าหมู่บ้านนี้จะมีจ้าวโกลาหลจำนวนมากเดินทางเข้ามา…พวกเจ้ามาที่นี่ก็เพราะซุนกวนสินะ ? “ เขามองไปที่ซุนเหยียน “ เจ้า…เจ้าคงไม่ใช่ซุนกวนหรอกนะ ? เจ้า…เป็นร่างแยกของเขารึ ?”
“ข้าคือร่างแยกของซุนกวน” ซุนเหยียนยอมรับตามตรง “แต่เราไม่ได้มาที่นี่เพราะซุนกวน”
สือฉีไม่รู้ว่าจะหัวเราะรึร้องไห้ดี เขารีบพูดขึ้นมา “ท่านลั่วเกา ท่านเข้าใจผิดไป พวกเขาคือจ้าวโกลาหลหน้าใหม่กันหมด ”
ลั่วเกายักคิ้วและพูดขึ้นมา “ แม้ข้าจะออกจากกองทัพมาแล้วแต่ไม่ได้หมายความว่าสายตาของข้าฝ้าฟาง” เขาเคยอยู่ในสนามรบมาก่อน เขาเคยเห็นยอดฝีมือมากมาย ในสายตาของเขาแล้วกวนไม่ได้แกร่งเท่าเขาด้วยซ้ำ คนกลุ่มนี้แม้แต่เขาก็ยังมองระดับความแข็งแกร่งไม่ออก สัญชาตญาณบอกเขาว่าพวกนี้ต่างก็มีพลังที่น่ากลัว มีแค่ยอดฝีมือที่แท้จริงเท่านั้นที่จะทำให้เขากดดันเช่นนี้ได้ “แม้แต่ในกองทัพก็มีไม่กี่คนที่เทียบกับคนพวกนี้ได้ เจ้ากลับบอกว่าพวกเขาเป็นหน้าใหม่รึ ?”
มีจ้าวโกลาหลหน้าใหม่คนไหนบ้างที่แข็งแกร่งได้ขนาดนี้ ?
และยังมีจำนวนมากด้วย !
“ พวกเขาเป็นคนมาใหม่จริงๆ !” สือฉียืนกราน “ หากท่านไม่เชื่อ ท่านก็ลองถามพวกเขาดู”
เขาให้ความสำคัญกับจางหยูและคนอื่นๆอย่างมาก คนเหล่านี้เหมือนจะมีบางอย่างปกปิดเอาไว้ แต่เขาคิดว่าพวกนี้ไม่น่าจะอ่อนแอรึแข็งแกร่งเท่าใดนัก
เมื่อได้ยินแบบนั้นลั่วเกาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย เขาไม่คิดว่าสือฉีจะโกหก
“ พวกเจ้า…เป็นหน้าใหม่จริงๆรึ ?” ลั่วเกาถามขึ้นมา
จางหยูพูดขึ้น “ ตามกฎของโกลาหลซื่อเซียวแล้ว เราเป็นคนมาใหม่จริงๆแต่เราแค่พิเศษกว่าคนอื่นๆ”
คนมาใหม่มีใครที่พิเศษบ้าง ?
“ สำหรับซุนกวนแล้ว ” จางหยูมองไปที่ลั่วเกาแล้วพูดขึ้น “หากเรามีโอกาสได้รู้เรื่องเขา งั้นเราก็ไม่รังเกียจ”
เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับซุนกวน แต่เขาเกิดในโกลาหลหิน มันคือโกลาหลหินที่ให้กำเนิดเขาขึ้นมา โกลาหลหินให้โอกาสเขาได้ก้าวมาถึงจุดนี้ได้ หากซุนกวนมีปัญหาอะไร เขาก็ไม่รังเกียจที่จะช่วย
“ ข้าคิดไปเองรึ ?” ลั่วเกาไม่ได้สนใจท่าทีที่ดูไม่เคารพของจางหยู เขาไม่ได้หลงในอำนาจ เขามองไปที่จางหยูและคนอื่นๆสักพักแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆกลับมา สุดท้ายเขาจึงได้แต่ยอมแพ้ “หน้าใหม่ก็หน้าใหม่”
มันเป็นเรื่องดีสำหรับหมู่บ้านเสี่ยวอันที่มีคนมาใหม่
ลั่วเกาไม่ได้ทำให้จางหยูและคนอื่นๆลำบาก เขาแค่สะบัดมือก็มีตราปรากฏขึ้นมาก่อนจะลอยเข้าไปหาจางหยูและคนอื่นๆ
“ พวกเจ้าประทับพลังไว้ในตรา ” ลั่วเกาพูดขึ้น “ ตรานี้สามารถระบุตัวตนจากเขตอื่นๆได้ โดยเฉพาะคนจากเผ่าสวรรค์ นอกซะจากว่าพวกมันจะยอมละทิ้งร่างกายของตัวเองแล้วแย่งชิงเผ่าชีวิตของพวกเรา ไม่งั้นแล้วไม่ว่าจะปลอมแปลงยังไงก็สามารถมองออกได้ เพราะเมื่อพบคนของเขตอื่น โดยเฉพาะเผ่าสวรรค์ ตัวตราจะทำลายตัวเองทันที”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเสี่ยวเสียก็ตัวสั่น
แก่นแท้แล้วมันคือคนของเผ่าสวรรค์
ทุกคนพากันมองไปที่ตราและไม่ลังเลที่จะโคจรพลังบรรพกาลเข้าไปในตรา
ไม่นานทุกคนก็รู้สึกว่าได้เชื่อมต่อกับตรานี่ มันไม่ใช่เรื่องแปลก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไรกับมัน
เสี่ยวเสียพยายามกลั้นใจประทับพลังลงไปในตรา ผลก็คือทุกอย่างกลับราบรื่น มันได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เมื่อเห็นว่าประทับพลังกันหมดแล้ว ลั่วเกาก็ได้พูดขึ้น “ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะมาใหม่กันจริงๆ”
“ ท่านลั่วเกา หากไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวก่อน” สือฉีทำความเคารพ “ ข้าต้องไปเฝ้าเส้นทางการบินต่อ”
ลั่วเกาโบกมือแต่เขาก็เหมือนนึกบางอย่างออก และโยนแหวนให้กับสือฉีและพูดขึ้น “ เด็กน้อย ข้าเก็บลูกปัดได้ 10 ลูก เจ้ารับไว้สิ ”
ชายวัยกลางคนรับแหวนมาก่อนจะเก็บมันทันที จากนั้นเขาก็ได้แต่พยักหน้าให้กับลั่วเกา
“ บ่มเพาะให้หนัก หวังว่าสักวันเจ้าจะทำตามที่หวังได้” ลั่วเกาพูดขึ้น
“ ท่านลั่วเกา ท่านดูแลหลินเหวินเช่นนี้…ท่านไม่กลัวว่าคนอื่นจะว่ารึ ?” สือฉีถามขึ้นมา
ลั่วเกาไม่ได้ให้ลูกปัดกับหลินเหวินเป็นครั้งแรก เพราะความช่วยเหลือจากลั่วเกาที่ทำให้หลินเหวินแกร่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้หลินเหวินเริ่มตามสือฉีทันแล้ว เดาว่าอีกไม่นานเขาคงไม่ใช่คู่มือของหลินเหวิน
“ นี่คือรางวัลที่จักรพรรดิให้กับข้า ยังไงซะข้าก็ไม่อาจจะใช้มันได้ ข้าจะให้ใครก็เรื่องของข้า ใครจะมาว่าข้า ?” ลั่วเกา พูดขึ้นมา