ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1935 ซื้อขายล้มเหลว
ในหัวของเก่อเย่ตอนนี้มีแต่ความสับสน
เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เขาแค่นั่งเฉยๆในโถงกองทัพสังเกตการณ์แต่กลับโดนปลดออกจากตำแหน่ง
ก่อนหน้านี้เขาเป็นแม่ทัพที่มีอำนาจที่สุดในกองทัพสังเกตการณ์ แต่วินาทีต่อมาเขากลับเป็นคนไร้ค่าไปทันที
แต่ประเด็นคือ….เขาไม่อาจจะคัดค้านอะไรได้เลย !
เพราะคำสั่งของจักรพรรดินั้นไม่อาจจะมีใครคัดค้านได้ !
เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้จักรพรรดิโกรธ ?
เมื่อได้ยินเสียงของจางลู่ตะโกนมาจากด้านนอก เก่อเย่ก็สีหน้าหม่นลง เขาค่อยๆเดินออกมา ตอนนั้นร่างแยกของ ซื่อเซียวได้หายไปแล้ว กลุ่มทหารของกองทัพสังเกตการณ์ก็พากันยืนอยู่กับที่ด้วยความสับสนไม่รู้ว่าต้องทำยังไง
เก่อเย่หน้าร้อนผ่านราวกับโดนตบ เขามองไปรอบๆตัวและรู้สึกราวกับทุกคนกำลังดูถูกเขาอยู่
“ ทำไม ! ข้าทำงานอย่างหนักเพื่อกองทัพสังเกตการณ์แล้วทำไมจักรพรรดิถึงได้ปลดข้า ?” เก่อเย่คิดหาเหตุผลไม่เจอ แม้ว่าในใจจะไม่พอใจแต่ความแค้นนี้เขาได้แต่ปกปิดมันไว้ในใจ เขาไม่กล้าจะแสดงมันออกมา แม้ว่าจะอยากคัดค้านแค่ไหนแต่ก็ไม่กล้าแสดงมันออกมาให้จักรพรรดิได้เห็น
เก่อเย่สูดหายใจเข้าลึกๆพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง เขาค่อยๆเดินออกมาที่ประตูโถงและมองไปยังจางลู่และคนอื่นๆด้วยท่าทีเฉยเมย
จากห้องโถงหลักมาที่ประตูด้านหน้านั้นแม้ว่าระยะทางจะสั้น แต่เก่อเย่ก็ใช้เวลาหลายสิบอึดใจ แต่ะละก้าวนั้นราวกับใช้พลังทั้งหมดในตัวที่มีออกมา “ พวกเจ้าอีกแล้วรึ ?” เก่อเย่แสดงสายตาเย็นชาออกมามองไปที่จางลู่กับคนอื่นๆ
จักรพรรดิปลดเขาโดยไร้เหตุผล คนที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของจักรพรรดิได้อย่างน้อยต้องเป็นคนระดับแม่ทัพ เมื่อเห็นกลุ่มของจางลู่แล้ว เก่อเย่ก็พอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าจางลู่ทำได้ยังไง แต่เก่อเย่ก็ตัดสินได้ว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้อย่างแน่นอน
จางลู่ยังไม่ทันได้เปิดปากพูด ซุนเหมิงก็ก้าวออกมาและพูดขึ้น “ เจ้าคือ เก่อเย่รึ ?”
เก่อเย่มองไปที่ซุนเหมิงก่อนจะมองไปที่ซุนหยานและซุนวู และพูดออกมา “ ซุนหยาน ซุนเหมิง ซุนวู ลูกหลานของ ซุนเหลียนเชิง ! พวกเจ้าคิดจะมาแก้แค้นให้กับซุนเหลียนเชิงรึ ?” ชัดแล้วว่าเขาได้ตรวจสอบเรื่องสมาชิกของทีมคังเฉียงมา ไม่งั้นแล้วเขาก็คงไม่อาจจะรู้ถึงตัวตนของคนตระกูลซุนได้
จางลู่โบกมือให้กับซุนเหมิง ก่อนจะก้าวออกมาและมองไปที่เก่อเย่ “ เก่อเย่เจ้าจงไปกับเราแต่โดยดี”
เก่อเย่มองไปรอบๆ เขามองไปที่ร่างแยกและเจ้าสำนักสาขาก่อนจะฮึดฮัดออกมา “ ไปกับพวกเจ้ารึ ? นี่คงเป็นการเดินทางที่ไม่อาจจะกลับมาได้อีกสินะ ?”
เขาไม่ได้โง่ เขารู้ดีว่าหากไปกับพวกนี้จริงๆ เขาอาจจะต้องตายก็เป็นได้
“ แล้วเจ้าคิดว่าจะรอดไปได้หรือ หากว่าเจ้าไม่ไปกับเรา ?” จางลู่ยิ้มออกมา “ บางเรื่องมีราคาที่ต้องจ่าย เก่อเย่วันของเจ้าจบสิ้นแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เก่อเย่ก็สีหน้าหม่นลงทันที ก่อนจะพูดว่า “ เจ้ากล้าลงมือในเขตซื่อเซียวด้วยรึ ?”
หากจางลู่และคนอื่นๆลงมือ เขาก็ไม่อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกนี้ได้ นี่ไม่ต้องนับความแข็งแกร่งของพวกนี้ที่เพิ่มขึ้นมาเลย ถึงไม่ใช่สมบัติแต่พวกนี้คนเดียวก็พอรับมือได้ไม่ได้เสียเปรียบเลย แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกนี้จะยังไม่เพิ่มขึ้นมา แต่ด้วยการร่วมมือกัน เก่อเย่ก็ยังไม่อาจจะรับมือพวกเขาได้อยู่ดี
“ เจ้าจงมากับเรา บางทีมันอาจจะยังรักษาเกียรติที่เจ้ามีได้” จางลู่พูดขึ้น “ หากให้เราลงมือ ข้าเกรงว่าคงยากจะรักษาหน้าเจ้าเอาไว้ได้”
นี่คือคำสั่งประหาร
เก่อเย่คิ้วขมวด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับวิกฤตเช่นนี้ตั้งแต่ที่เขาขึ้นมาเป็นแม่ทัพ หายนะที่เขาไม่อาจจะเข้าใจได้
“ เจ้าคิดต่อรองรึไม่ ?” เก่อเย่สูดหายใจเข้าลึกๆ และมองไปยังจางลู่และคนอื่นๆ “ พวกเจ้ามีเงื่อนไขอะไรถึงจะยอมปล่อยข้าไป บอกมาได้เลย ตราบใดที่ข้าทำได้ ข้าจะยอมจ่าย หากไม่หนักหนาเกินไป ข้าพร้อมทุกสิ่ง”
จางลู่ส่ายหน้า ก่อนจะพูดออกมาว่า “ เราล้วนแต่เป็นคนฉลาด ทำไมต้องดิ้นรนอย่างไร้ค่าด้วย ?”
เก่อเย่ต้องตาย นี่คือเรื่องที่ไม่อาจจะต่อรองได้ แต่ความต่างคือจะตายยังไงและที่ไหนก็แค่นั้น
“ ลูกปัดดั้งเดิม 100 ล้านลูก !” เก่อเย่พูดขึ้นมา “ ข้ามีลูกปัดดั้งเดิม 1 ร้อยล้านลูก มันแลกกับชีวิตข้าได้รึไม่ ?”
ในมุมมองของเขาแล้วไม่มีอะไรที่ซื้อไม่ได้ หากไม่อาจจะตกลงกันได้ก็หมายความว่าราคายังไม่สูงพอก็เท่านั้น ตราบใดที่ให้ราคามากพอ งั้นทุกอย่างก็เจรจากันได้
“ สมกับเป็นแม่ทัพของกองทัพสังเกตการณ์จริงๆ” จางลู่พูดขึ้นมา “ ลูกปัดดั้งเดิม 100 ล้านลูกกลับจ่ายได้อย่างง่ายดาย !”
ต้องรู้ก่อนว่าการเป็นแม่ทัพนั้น หากมีลูกปัดดั้งเดิม 100 ล้านลูกก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ หากมองทั้งเขตซื่อเซียวแล้วเดาว่าคงมีไม่กี่คนที่มีมันมากแบบนี้ได้
จางลู่พูดขึ้น “ แต่เจ้าคิดว่าชีวิตตัวเองมีค่าแค่ลูกปัดดั้งเดิม 100 ล้านลูกเองรึ ?”
เก่อเย่รู้สึกโกรธขึ้นมานิดๆแต่เขาก็เหมือนเห็นความหวังอันริบหรี่ขึ้นมาบ้าง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆและพูดออกมา “ 300 ล้าน…ไม่สิ 500 ล้าน ! ลูกปัดดั้งเดิม 500 ล้านลูก ! แต่พวกเจ้าต้องสาบานกับทั้งโลกว่าจะไม่มาหาเรื่องข้าอีก !”
ลูกปัดดั้งเดิม 500 ล้านลูกสำหรับเก่อเย่นั้นก็ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา
แม้ว่าจะไม่ได้ผลิตลูกปัดดั้งเดิมขึ้นมาได้เอง แต่เงินทองที่เขามมีนั้นก็เทียบได้กับตระกูลเก่าแก่และสมาคมต่างๆเลยก็ว่าได้
บางทีเงินทองของเขาอาจจะไม่ได้มากที่สุด แต่แน่นอนว่าต้องอยู่ระดับต้นๆของเขตนี้อย่างแน่นอน และบางทีคนในตระกูลและสมาคมต่างๆอาจจะมีเงินน้อยกว่าเขาด้วยซ้ำ
“ ไม่พอ” จางลู่ส่ายหน้า
เก่อเย่สีหน้าบิดเบี้ยวไป และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ อย่าโลภมากนัก ! ครึ่งล้านนี่ก็ถือว่ามากแล้ว !”
“ งั้นรึ” จางลู่ยิ้มออกมา “ ตราบใดที่เจ้ายอมจ่ายลูกปัด 1 ล้านล้านลูก เราถึงจะปล่อยเจ้าไป”
เก่อเย่แค่ยังไม่เข้าใจว่าจางลู่กำลังปั่นหัวเขาอยู่
ลูกปัดดั้งเดิมล้านล้านลูก แม้แต่เก่อเย่ที่เป็นแม่ทัพของกองทัพสังเกตการณ์ก็ไม่ได้มีมากขนาดนั้น !
“ เป็นไปไม่ได้หรอก” แม้ว่าจะโกรธ แต่เก่อเย่ก็ยังเห็นความหวังอยู่ “ พันล้าน ข้ารับปากว่าตราบใดที่เจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะให้ลูกปัดดั้งเดิมกับเจ้าพันล้านลูก นี่คือคำขาด !”
เก่อเย่ไม่อาจจะจ่ายได้มากกว่านี้
จางลู่ยังไม่ทันได้เปิดปากพูด เก่อเย่ก็พูดขึ้นมา “ เจ้าควรคิดให้ดีๆ เจ้าปล่อยข้าไปก็จะได้ลูกปัดดั้งเดิมพันล้านลูกแต่หากเจ้ายังยืนกรานจะฆ่าข้า พวกเจ้าก็จะไม่ได้อะไรเลย ! ข้าไม่ใช่คนโง่ที่จะเก็บของพวกนั้นไว้ในแหวนมิติ…”
“ เอาจริงๆแล้วก็ฟังดูน่าสนใจ” จางลู่พูดขึ้นก่อนจะส่ายหน้า “ แต่น่าเสียดายที่ลูกปัดพันล้านลูกนั้นไม่เพียงพอ ข้ากลับต้องการ…ชีวิตเจ้ามากกว่า !”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เก่อเย่ก็ใจหล่นวูบ “ ทำไมกัน ? เจ้าโกรธแค้นอะไรข้าถึงต้องการที่จะฆ่าข้าด้วย ?” เขาไม่เชื่อว่าจางลู่จะไม่รู้ว่าลูกปัดพันล้านลูกจะมีค่าแค่ไหน ลูกปัดพันล้านลูกนั้นนี้มีค่ามหาศาล แม้แต่แม่ทัพคนอื่นๆก็ยังมีไม่มากเท่านี้
จางลู่ไม่คิดจะไร้สาระต่อ “ อย่าคิดจะซื้อเราเลย เจ้ามีทางเลือกแค่สองทาง ไปกับเราไม่ก็ดิ้นรนอย่างไร้ค่าอยู่ที่นี่”
เก่อเย่ไม่ยอมไปกับจางลู่เป็นอันขาด เขายอมจะสู้จนตัวตายแต่ยังไงเขาก็ไม่ยอมออกจากเขตซื่อเซียว
“ งั้นก็มาสู้กัน ! ข้ายอมรับว่าไม่อาจจะเป็นคู่มือพวกเจ้าได้แต่ด้วยทักษะของข้าแล้ว ข้าคงฆ่าพวกเจ้าได้สัก 2-3 คน…” เขายังคิดว่าจางลู่และคนอื่นๆยังแกร่งเท่าเดิมกับตอนที่เขาสู้ครั้งที่แล้วอยู่ “ เมื่อพวกเจ้าไม่กลัว งั้นข้าจะกลัวทำไม ?”
“ งั้นรึ ?” จางลู่ยิ้มรับ “ งั้นก็มาลองดู”