ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 422 : จางหยูโกรธ
ตอนที่ 422 : จางหยูโกรธ
หยางเพ้ยอันพูดจบ เหล่าผู้ช่วยต่างก็พากันลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น จนเกือบที่จะสะดุดล้มลงไปกับพื้น ก่อนที่จางหยูและคนอื่นๆจะได้ทำอะไร เหล่าผู้ช่วยที่ลุกขึ้นยืนต่างก็พากันตะโกนออกมา “เซียน…ค่ายกล ! ”
“เซียนโอสถ !”
“เซียนหลอม !”
“เซียนอักษร !”
หลินจื้อเป่ย, หวงฟู่เชิง, หนิงไท่ชู,เฟิงซวนต่างก็มองไปที่ลั่วซู่หยางและคนอื่นๆด้วยความตะลึง
ตอนนั้นสายตาขอทุกคนในโรงอาหารต่างก็มองไปที่กลุ่มของหลินจื้อเป่ยด้วยความสงสัยและแปลกใจ
โจวซินเอ๋อร์ร์กระพริบตาและถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “พี่เซียวเหยียน ท่านรู้จักคนพวกนี้รึไม่? ทำไมเหล่าผู้ช่วยสอนกลับตื่นเต้นถึงเพียงนี้ ? ”
“ข้าจะไปรู้จักพวกเขาได้ยังไง?” เซียวเหยียนกรอกตาใส่ “ซินเอ๋อร์ เจ้าเป็นองค์หญิงของอาณาจักรโจว เจ้ายังไม่รู้จักพวกเขา แล้วข้าจะไปรู้จักได้ยังไง?”
“พี่เซียวเหยียนไม่ได้สนิทกับผู้ช่วยหนิงรึ? ผู้ช่วยหนิง ไม่ได้พูดอะไรกับท่านเป็นพิเศษหรือไง?” โจวซินเอ๋อร์ถามขึ้นมา
เซียวเหยียนส่ายหน้าและพูดขึ้นมา “ สิ่งที่ข้าพูดคุยกับผู้ช่วยหนิง มีแค่เรื่องการหลอม ข้าไม่รู้เรื่องอื่น ”
อู่โม่, อู่ซินซิน, เติ้งชิวฉาน,เซี่ยเฟิงและคนอื่นๆต่างก็มองไปยังทั้งสี่คนด้วยความสงสัย ชัดแล้วว่า หลินจื้อเป่ย, หวงฟู่เชิง, หนิงไท่ชู และเฟิงซวนต่างก็อยู่ขอบเขตหลี่ซวนและมีอาชีพพิเศษ 4 ดาว มันยากที่จะคิดได้ว่าใครกันที่ทำให้พวกเขาตื่นเต้นได้แบบนี้
ศิษย์หลายคนไม่เข้าใจฐานะของเซียนทั้งสี่คน แต่โอวเสินเฟิง, อู่ฉิงฉวน, ซู่เหยียน และผู้ช่วยคนอื่นๆนั้นรู้ดี
หลังจากที่รู้ตัวตนของทั้งสี่คนแล้ว โอวเสินเฟิงกับคนอื่นๆก็ได้มองพวกนั้นด้วยความแปลกใจ “ ยอดฝีมือระดับสูงสุดทั้งสี่ของมนุษย์ ! ”
เซียนค่ายกล, เซียนโอสถ, เซียนหลอมและเซียนอักษรคือตำแหน่งของยอดฝีมือระดับสูงสุดทั้งสี่ของมนุษย์ซึ่งเป็นตัวแทนและตัวตนระดับสูงสุดของมนุษย์ !
คนเหล่านี้บอกได้ว่า เป็นต้นแบบของผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วน พวกเขาคือตำนานที่ยังมีชีวิต นี่ไม่ต้องพูดถึงรุ่นต่อมาอย่างหลินจื้อเป่ย แม้แต่คนเก่าแก่อย่างอู่ฉิงฉวนและซู่เหยียน ก็เคารพและชื่นชมพวกนี้อย่างมาก ในสายตาของผู้บ่มเพาะมนุษย์นับไม่ถ้วยน ทั้งสี่คนนี้คือเทพเจ้าที่ยังอยู่ในโลกนี้
แน่นอน โอวเสินเฟิงและคนอื่นๆต่างก็แปลกใจ แต่ก็ใช่ว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ยังไงซะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นยอดฝีมือระดับสูงสุด พวกเขาเคยพบกับราชาสัตว์อสูรและมังกรทั้งสองคน ซึ่งฐานะทั้งสี่คนนี้ไม่อาจจะเทียบกับพวกนั้นได้ นี่ไม่ต้องพูดถึงกับการที่พวกเขายังมีเจ้าสำนักที่ร้ายกาจกว่าพวกยอดฝีมือระดับสูงสุดหลายคน
หากเทียบกับเหล่าผู้ช่วยแล้ว โอวเสินเฟิงและคนอื่นๆดูจะใจเย็นกว่ามาก หลังจากที่พวกเขาแสดงสายตาแปลกใจออกมา พวกเขาก็ใจเย็นลงได้
“ พวกเจ้าเป็นใครกัน ? ” หยางเพ้ยอันมองไปที่หลินจื้อเป่ยด้วยความสับสน
“ผู้น้อย…ไม่สิ ข้าเป็นผู้ช่วยสอนของสำนักคังเฉียง หลินจื้อเป่ย” หลินจื้อเป่ยพยายามสงบสติอารมณ์ แต่สายตาที่เขาจับจ้องไปยังหยางเพ้ยอันก็ยังเป็นประกายอยู่ “ข้าเป็นหัวหน้าของเขตเหนือที่เพิ่งจะลาออกมา”
หยางเพ้ยอันแปลกใจขึ้นมา “ เจ้าเคยเป็นหัวหน้าของเขตเหนือรึ ?”
เขารู้ทันที เนื่องจากเขาเองก็เป็นคนของพันธมิตรร้อยสำนัก
“แล้วพวกเจ้าล่ะ?” หยางเพ้ยอันมองไปที่หวงฟู่เชิงจื้อและคนอื่นๆ
หวงฟู่เชิงจื้อมองไปที่หยางเพ้ยอันก่อนจะมองไปที่ชุยเจี่ยน “ผู้น้อยหวงฟู่เชิงจื้อข้าเคยเป็นหัวหน้าสมาคมปรุงยาเขตเหนือ ตอนนี้เป็นผู้ช่วยสอนของสำนักคังเฉียง ”
ชุยเจี่ยนตะลึง “หวงฟู่เชิงจื้อข้าเหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน…”
“ข้า หนิงไท่ชู ข้าเคยเป็นหัวหน้าสมาคมหลอมเขตเหนือ”
“ข้าเฟิงซวนข้าเคยเป็นหัวหน้าสมาคมค่ายกลเขตเหนือ”
เพราะพวกเขาเคยเป็นหัวหน้าสมาคมเขตเหนือมาก่อน พวกจึงรู้จักทั้งสี่คนนี้ทันที ภายในกองกำลังพันธมิตรร้อยสำนักและสมาคม มีงานส่วนสำคัญหลายอย่าง ที่ต้องเข้าไปทำที่สำนักงานใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจึงได้เจอกับคนพวกนี้
หลังจากที่ได้ยินคำแนะนำตัวของทั้งสี่คนแล้ว ยอดฝีมือระดับสูงสุดของมนุษย์ทั้งสี่ก็อดแปลกใจไม่ได้ หัวหน้าของสมาคมและพันธมิตรเขตเหนือมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ?
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังจางหยูด้วยสีหน้าแปลกๆ
สำนักคังเฉียงนี่ปล้นพวกเขาชัดๆ !
คนที่มีพรสวรรค์ของพวกเขา กลับถูกดึงเข้าร่วมสำนักคังเฉียงรึ ?
“อะแฮ่ม…” ถึงจางหยูจะหน้าด้าน แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ เขาไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาได้ดึงเอาคนของพันธมิตรและสมาคมต่างๆมา เมื่อโดนจับได้ มันก็เป็นเรื่องน่าอาย หากเขารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาคงไม่ให้พวกนี้พบกับทั้งสี่คน
จางหยูหลบสายตาของทั้งสี่คน ก่อนจะบอกกับพวกหลินจื้อเป่ย “ผู้ช่วยทั้งหลาย นั่งลงก่อน มีอะไรค่อยพูดกันทีหลัง ”
พวกนั้นมองหน้ากัน ก่อนจะนั่งลงไปอย่างว่าง่าย แต่สายตาที่ตื่นเต้นของพวกเขาก็ยังจับจ้องไปที่สี่คนนั้น ยังไงซะพวกเขาก็ใช้เวลาไปนานหลายปีภายในสมาคมของตน เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะผูกพันกับกองกำลังที่ตนเองเคยอยู่ ถึงพวกเขาจะไม่เคยเห็นเซียนเหล่านี้ แต่พวกเขาก็บูชาเซียนเหล่านี้อย่างมาก
“ตอนนี้สำนักคังเฉียงมีผู้ช่วย 4 คน” จางหยูพูดขึ้นด้วยสีหน้าเฉยชา “ผู้ช่วยทั้ง 4 นี้เคยเป็นหัวหน้าพันธมิตรและสมาคมเขตเหนือมาก่อน”
โหวเทียนหมางเป็นแค่คนเดียวที่ไม่มีต้นสังกัด แต่เขาไม่ใช่ผู้ช่วยสอน เขาคือผู้ช่วยพ่อครัว
ลั่วซู่หยางและคนอื่นๆพูดอะไรไม่ออกทันที ใครกันที่จะโชคร้ายไปกว่าพวกเขาได้ ?
ดูเหมือนว่าสมาคมและพันธมิตรจะถูกขโมยคนกันมาหมด ต้องบอกว่าการกระทำของเจ้าสำนักนี้ดูเกินไปหน่อย !
“ตอนแรกพวกเขาเต็มใจจะเข้าร่วมสำนักคังเฉียง ไม่มีใครบังคับพวกเขา” จางหยูรู้สึกได้ถึงสายตาแปลกๆจากทั้งสี่คน เขาไม่อาจจะเสียหน้าได้ เขาโกรธขึ้นมาและพูดขึ้น “หากพวกเขาต้องการกลับไปยังกองกำลังเดิม ข้ารับปากในนามสำนักคังเฉียงว่าพวกเขาจะออกไปตอนไหนก็ได้ ไม่มีใครห้ามพวกเขา ”
ตอนนั้นสายตาของจางหยูก็มองไปยังหลินจื้อเป่ยและคนอื่นๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทีเฉยชา “คนที่อยู่ขอบเขตหลี่ซวน สำนักคังเฉียงไม่ได้ขาดแคลนนัก ”
หลินจื้อเป่ยและคนอื่นๆที่ตอนแรกดูตื่นเต้นกลับเหมือนโดนน้ำเย็นราดหัว
“ไม่ ไม่ เจ้าสำนัก เราไม่คิดจะออกจากสำนักคังเฉียง ตอนนี้เราก็ไม่คิด ในอนาคตเราก็ไม่คิดเช่นกัน” หลินจื้อเป่ยลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีลนลาน เหงื่อของเขาผุดไปทั่วทั้งตัว “ได้โปรด…เจ้าสำนักได้โปรดเชื่อในความภักดีของพวกเรา ข้า หลินจื้อเป่ย สาบานว่าในชีวิตนี้และตลอดไป ข้าจะไม่ออกจากสำนักคังเฉียง หากข้าผิดคำสาบานนี้ไป วิญญาณของข้าจะถูกทำลายและไม่มีวันเกิดใหม่ได้อีก ! ”
“ใช่ เจ้าสำนัก เราเกิดมาเพื่อสำนักคังเฉียงถึงตายไปเราก็จะเป็นผีให้กับสำนักคังเฉียง!”
หวงฟู่เชิงจื้อ, หนิงไท่ชูและเฟิงซวน รีบแสดงความภักดีออกมาเพราะกลัวว่าจางหยูจะเข้าใจผิด
แค่ว่า…ตอนที่พวกเขาพูดถึงผีนั้น โอวเสินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะสีหน้าบิดเบี้ยวไป “สาบานก็สาบานไปเถอะแต่อย่าดึงเรื่องผีมาเกี่ยว ”
ไม่ใช่ว่าโอวเสินเฟิงจะยืนยันได้ว่าสิ่งที่พวกนี้สาบานจะเป็นจริงได้ แต่หลินจื้อเป่ยและคนอื่นๆนั้นลนลาน พวกเขาจะสนใจคำพูดของตัวเองได้ยังไง ? ตอนนี้มีความคิดเดียวในหัวพวกเขาคือไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ต้องให้เจ้าสำนักยกโทษให้กับพวกเขา และได้อยู่ในสำนักคังเฉียงต่อไป ไม่งั้นแล้ว…อนาคตที่แสนวิเศษที่พวกเขาฝันถึงคงหายไป
“ นั่งลง ! ” จางหยูแสดงสีหน้าเย็นชาออกมา
พวกนั้นกลัวขึ้นมาในใจและไม่กล้าที่จะแม้แต่ขยับ
“ หือ ? ” สีหน้าของจางหยูบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม
หลินจื้อเป่ยและคนอื่นๆเห็นสีหน้าของจางหยูก็ยิ่งกลัวมากกว่าเดิม สุดท้ายพวกเขาก็ต้องนั่งลง ถึงจะนั่งลงไปแล้วแต่ในใจพวกเขาก็เต็มไปด้วยความกังวล พวกเขาไม่คิดที่จะกินอาหารต่อ แม้แต่คนที่พวกเขาเคยเคารพ พวกเขาก็มองข้าม ตอนนี้พวกเขาสนใจแค่เพียงจางหยูเท่านั้น
หลังจากที่ทั้งสี่คนนั่งลงแล้ว จางหยูก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรต่อ “เรื่องความภักดีต่อสำนักคังเฉียงนั้น ข้าไม่ได้สงสัยอะไร สบายใจได้ นอกซะจากว่าพวกเจ้าจะขอออกจากสำนักคังเฉียงด้วยตัวเอง งั้นก็ไม่อาจจะมีใครบังคับพวกเจ้าให้ออกไปได้ เพื่อแสดงจุดยืนของตัวข้าเองที่ไม่ได้คิดเอาเปรียบใคร อาจารย์และผู้ช่วยทั้งหลาย หากพวกท่านคิดจะออกจากสำนักคังเฉียง พวกท่านก็พูดขึ้นมาได้เลย ไม่มีใครห้ามท่านได้ ”
คนในกลุ่มหลินจื้อเป่ยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ตราบใดที่จางหยูไม่ถือสาพวกเขา พวกเขาก็พอใจแล้ว
สำหรับคำพูดที่จางหยูพูดมานั้น จะบอกพวกเขาหรือไม่นั้น มันก็ไม่สำคัญ
“ขอโทษด้วยที่ให้พวกท่านเห็นเรื่องแย่ๆเข้า” จางหยูหันไปมองเซียนทั้งสี่คนก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เซียนทั้งสี่ได้แต่หัวเราะออกมา แต่ไม่กล้าจะตอบกลับอะไร สีหน้าที่พวกหลินจื้อเป่ยมองมาที่พวกเขายังคงมีความกลัว พวกเขาไม่ต้องการให้จางหยูเกลียดพวกเขาเพราะพูดบางอย่างผิดไป แม้ว่าสำนักคังเฉียงจะดึงคนของพวกเขาไปซึ่งพวกเขาในฐานะหัวหน้าแล้วใช่ว่าจะไม่สนใจเรื่องนี้ แต่ต่อหน้าจางหยูแล้ว พวกเขาไม่กล้าแสดงมันออกมา
พวกเขาถึงกับสงสัยว่าที่จางหยูพูดมาตะกี้นั้นคือสิ่งที่บอกกับพวกเขาโดยตรง หากกล้าแสดงความเห็นใดๆออกไป เจ้าสำนักผู้นี้คงต้องโกรธแน่ๆ !
“คนขี้ขลาดแบบนี้ไม่คู่ควรกับสมาคมปรุงยา !” ชุยเจี่ยนสลด เมื่อเห็นว่าหลินจื้อเป่ย จะกลัวการลงโทษของจางหยูมากขนาดนี้
หยางเพ้ยอัน ไอแห้งๆออกมาก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ เจ้าสำนัก ข้าเห็นว่าศิษย์ของสำนักท่านไม่ธรรมดา และดูเหมือนว่าสำนักทำได้ดีในการบ่มเพาะศิษย์ ! ”
ไร้สาระ !
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเหล่าศิษย์เลย เหตุผลว่าทำไมเขาพูดเรื่องนี้ออกมาก็เพื่อจะเปลี่ยนเรื่อง
ในความเห็นของหยางเพ้ยอันแล้ว เมื่อจางหยูเป็นเจ้าสำนักของสำนักคังเฉียง งั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการชมศิษย์ก็เท่ากับการชมสำนักคังเฉียง
ยังไงซะ จะมีเจ้าสำนักคนไหนบ้างที่ไม่อยากได้ยินคนอื่นๆพูดชมสำนักของตัวเอง ?