ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 426 : มังกรโลหิตหายตัวไป
ตอนที่ 426 : มังกรโลหิตหายตัวไป
ตลอดหลายวันมานี้ อ้าวเยว่ไม่ได้อยู่ในสำนักมากนัก ไม่มีใครรู้ว่านางไปที่ไหน หรือทำอะไร แม้แต่จางหยูก็ไม่รู้ นางลึกลับบวกกับบุคลิกที่เย็นชาและเย่อหยิ่งของนาง และความแข็งแกร่งที่น่ากลัว จึงทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นาง
แม้ว่าจะถามอยู่หลายครั้ง แต่อ้าวอู่เหยียนก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา เขาไม่กล้าถามอะไรมากนัก เขาได้แต่ภาวนาในใจ เขาหวังว่าน้าเขาจะปลอดภัย และคิดจริงจังกับเรื่องการต่อสู้กับราชาสัตว์อสูรในวันพรุ่งนี้
สักพักอ้าวอู่เหยียนก็ถอนหายใจออกมา และออกจากที่นั่นไป
“แปลก หลิงชี่ที่นี่ไม่ได้น้อยไปกว่าที่เกาะมังกรเลย” ทุกครั้งที่อ้าวอู่เหยียนทำการบ่มเพาะ เขาจะสงสัยเรื่องหลิงชี่ของภูเขาแห่งนี้ ยิ่งเข้าใกล้ยอดเขาเท่าไหร่ หลิงชี่ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเท่านั้น พื้นที่หลักของภูเขาแห่งนี้มีหลิงชี่ไม่ได้น้อยไปกว่าที่เกาะมังกรเลย ซึ่งที่แบบนี้หาได้ยากบนทวีปป่า
หลังจากที่คิดอยู่นาน อ้าวอู่เหยียนก็หาเหตุผลไม่ได้ มันคงเป็นวิธีของเจ้าสำนัก และนั่นก็ยิ่งทำให้เขาประทับใจในตัวจางหยูมากขึ้น
ในอีกด้าน เฉินกูได้พาเซียนทั้งสี่คนไปเยี่ยมชมสำนักคังเฉียง “ตอนนี้พวกเรากำลังทำการขยายสำนัก และเมืองทะเลทรายเก่าก็ได้ย้ายไปที่ตีนเขาแล้ว ตอนนี้พวกเรากำลังวางแผนก่อสร้างกันอยู่ สำนักคังเฉียงนี้สร้างขึ้นโดยศิษย์สายตรงของข้าทั้งสองตน มังกรแดงลินทรีย์ปีกฟ้า หากพวกเจ้าสนใจ พวกเจ้าก็ไปดูด้วยตัวเองเลย ข้าคงไม่ไปกับพวกเจ้า ”
หยางเพ้ยอันจับใจความสำคัญจากคำพูดของเฉินกูได้ “ ศิษย์รึ ?”
เขามองไปที่เฉินกูด้วยความแปลกใจ “ เจ้ารับศิษย์ด้วยรึ ? ”
ศิษย์สายตรงและศิษย์ทั่วไปไม่เหมือนกัน ครูกับอาจารย์ก็ไม่เหมือนกัน ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์สายตรงกับอาจารย์นั้นใกล้ชิดกว่าศิษย์ทั่วไป ชัดแล้วว่า หยางเพ้ยอันคิดไม่ถึงว่าราชาสัตว์อสูรที่เย่อหยิ่งและสูงส่ง จะรับศิษย์สายตรงด้วย !
“ใช่สุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?” ในหัวของลั่วซู่หยางมีความคิดนี้ขึ้นมา
“พวกเจ้าอย่าคิดทำอะไรกับมังกรแดงและอินทรีย์ปีกฟ้า” เฉินกูเตือน “พวกเขาไม่ใช่แค่ศิษย์สายตรงของข้า แต่ยังเป็นศิษย์สำนักคังเฉียงอีกด้วย หากพวกเจ้าทำร้ายพวกเขา แม้ว่าข้าจะมองข้ามได้ แต่เจ้าสำนักคงไม่มองข้ามเรื่องนี้….”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ลั่วซู่หยางและคนอื่นๆก็รู้สึกกลัวขึ้นมา พวกเขายังไม่รู้จักจางหยูมากนัก แต่พวกเราก็ยังหวั่นเกรงจางหยูอย่างมาก
หลังจากที่เฉินกูเตือนพวกเขา เขาก็ได้เดินจากไป ชัดแล้วว่าเขาไม่อยากอยู่กับทั้งสี่คนนี้ต่อ เขาได้พาทั้งสี่คนมาเยี่ยมชมสำนักก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติแล้ว หากจางหยูไม่บอกเขา เขาคงไม่พูดคุยกับพวกนี้ให้เสียเกียรติเลยด้วยซ้ำ
ที่ป่าหวงหยวน
บนภูเขาอยู่ๆร่างของเฉินกูก็ปรากฏขึ้นมา เขาเงยหน้ามองเขตมืด และต่อมาร่างของเขาก็ได้หายไปอีกครั้ง ไม่กี่อึดใจร่างของเฉินกูก็ปรากฏตัวขึ้นที่หุบเขา
“ เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ! ” เฉินกูมองไปยังร่างที่นั่งอยู่บนยอดเขา
อ้าวเยว่มองไปยังเฉินกูที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามและพูดขึ้น “ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า ”
เฉินกูคิ้วขมวดและพูดขึ้น “ หากเจ้าตามหาสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ ข้าแนะนำเจ้าไว้ดีกว่าว่าอย่าเสียเวลาเลย…”
อ้าวเยว่ยังคงมองเฉินกูด้วยสีหน้าเฉยชา
“การต่อสู้จะเริ่มในวันพรุ่งนี้ หากเจ้าไม่ต้องการจะแพ้ มันจะดีกว่าที่จะไม่มาเที่ยวเล่นที่นี่” เฉินกูไม่ได้กลัวอ้าวเยว่
แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับสายตาเย็นขาของนางแต่เขาก็ยังพูดออกมาด้วยท่าทีเฉยเมย “ ข้าไม่ต้องการให้คนอื่นพูดว่าข้าเอาเปรียบเจ้า ” เฉินกูเย่อหยิ่งอย่างมาก เขาต้องการให้อ้าวเยว่อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ไม่ใช่อ่อนแอ ไม่งั้นแล้วแม้ว่าเขาจะเอาชนะนางได้ แต่เขาก็ไม่รู้สึกถึงความสำเร็จได้เลยแม้แต่น้อย
“ ดูแลตัวเองไปเถอะ ” คำพูดของอ้าวเยว่ยังเย็นชาเช่นเคย “ ธุระของข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ”
สีหน้าของเฉินกูหม่นลง เขามองไปที่อ้าวเยว่ก่อนที่จะออกไปจากที่นั่น
ตอนที่เฉินกูจากไป อ้าวเยว่ก็คิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าอันเย็นชาได้เผยความกังวลที่หาได้ยากออกมา “ ไม่เจอรึ ? ทำไมกัน ?”
ตลอดหลายวันมานี้ นางได้เข้ามาในป่าหวงหยวนอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่พบอะไรเลย
“ไม่ นางต้องยังอยู่ !” อ้าวเยว่ใจเย็นลง แต่ก็ยังดูลนลานอยู่บ้าง “ ต้องมีบางอย่างที่ข้าพลาดไป ต้องมีแน่ๆ ! ”
แม้ว่าโศกนาฏกรรมนี้จะเกิดขึ้นโดยอ้าวคุน แต่นางก็เชื่อว่าอ้าวคุนจะไม่โกหกนาง อย่างน้อยในเรื่องนี้ อ้าวคุนก็โกหกไม่ได้ เด็กนั่นต้องอยู่ในเขตมืด แค่ว่า….นางกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กนั่น
“หากเด็กนั่นเจอกับโชคร้ายเข้า ข้าสาบานว่าทั้งเขตมืดจะต้องโดนฝังไปพร้อมกับนาง !” สายตาของอ้าวเยว่เย็นชาขึ้นมาพร้อมกับอุณหภูมิโดยรอบที่ลดต่ำลง
นางมีญาติแค่ไม่กี่คนในโลกนี้ นั่นก็คืออ้าวคุนและอ้าวอู่เหยียน แต่ไม่ว่าจะเป็นอ้าวคุนหรืออ้าวอู่เหยียนต่างก็สำคัญน้อยกว่ามังกรโลหิตที่ถูกขับไล่ออกจากเผ่ามังกร เพราะนั่นคือหลานสาวของนาง ลูกเพียงคนเดียวของลูกชายนาง
แม้ว่านางจะดูใจร้าย และไม่เคยมองเห็นค่าในฐานะของมังกรโลหิต แต่หากมีใครกล้าทำร้ายมังกรโลหิต นางก็จะให้อีกฝ่ายชดใช้ แม้ว่ามันจะทำให้เกิดสงครามระหว่างเผ่าสัตว์อสูรกับเผ่ามังกรก็ตาม
…..
ที่ภูเขาร้าง
“เจ้าคิดว่าศิษย์ของราชาสัตว์อสูร จะเป็นสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เราตามหาอยู่งั้นรึ ?” ลั่วซู่หยางแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา
หยางเพ้ยอันพูดด้วยท่าทีเฉยเมย “ ไปดูกันว่ามันจะจริงหรือไม่ ?”
พวกเขาไม่ได้ลังเล และบินออกไปทันที ไม่นานพวกเขาก็ได้พบกับกลุ่มสัตว์อสูร ที่กำลังสร้างตึกกันอยู่
“คำนับผู้อาวุโส” ด้วยการปรากฏตัวของทั้งสี่คน เหล่าสัตว์อสูรที่ทำงานกันอยู่ต่างก็พากันหยุดมือและคำนับให้กับพวกนั้น แต่สีหน้าของพวกเขาไม่ได้แสดงความเคารพออกมาเท่าไหร่นัก ศิษย์ชั้นเรียนสัตว์อสูรไม่ได้เคารพเซียนทั้งสี่เลย พวกเขาแค่ให้เกียรติกับทั้งสี่คนนี้ก็เท่านั้น
แต่ทั้งสี่ไม่ได้โกรธเคือง พวกเขามีเรื่องบาดหมางกับเผ่าสัตว์อสูรมาหลายพันปีแล้ว พวกเขาไม่ได้หวังจะให้เหล่าสัตว์อสูรมาเคารพพวกเขา
หยางเพ้ยอันถามขึ้นมา “ พวกเจ้าคือมังกรแดงกับอินทรีย์ปีกฟ้าใช่หรือไม่ ? ” ตอนที่กินอาหารเที่ยง พวกเขาได้เห็นมังกรแดง, อินทรีย์ปีกฟ้าและสัตว์อสูรตัวอื่นๆ
มังกรแดงและอินทรีย์ปีกฟ้าตกใจและพยักหน้าตอบรับ
หยางเพ้ยอันถามขึ้นมา “ พวกเจ้าเกี่ยวข้องกับราชาสัตว์อสูรยังไง ? ”
อินทรีย์ปีกฟ้าพูดด้วยท่าทีเฉยชา “ เราทั้งสองเป็นศิษย์สายตรงของอาจารย์ ”
….
“ดูเหมือนว่าเราจะเดาผิดไป ศิษย์สายตรงของราชาสัตว์อสูรไม่ใช่สุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์” ลั่วซู่หยางส่งข้อความหาคนอื่นๆ “เจ้าคิดว่าเขาเอาสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ไปซ่อนไว้ที่ไหนกัน ?”
ชุยเจี่ยนส่ายหน้า “ เมื่อเขากล้าให้เราตามหา เดาว่าสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์คงถูกซ่อนไว้ในที่ที่เป็นความลับอย่างมาก ”
หงจินเป่าพูดขึ้นมาด้วยท่าทีสนใจ “ ข้าไม่สนว่าสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน แต่ข้าสนใจศิษย์ของเขา สัตว์อสูรทั้งสองเหมือนจะไม่ใช่สุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ แต่ด้วยพรสวรรค์ของพวกเขาแล้ว การจะบ่มเพาะขึ้นไปถึงขอบเขตตุ้นซวนนั้นยังคงเป็นปัญหาอยู่ ทว่าราชาสัตว์อสูรที่มีบุคลิกเย่อหยิ่ง เขารับพวกนี้เป็นศิษย์ได้ยังไง ? ”
“ราชาสัตว์อสูรไม่ใช่เด็กน้อย อย่าบอกนะว่าทั้งสองคือลูกของเขา? ” ชุยเจี่ยนพูดขึ้นมา
ทุกคนต่างก็มองหน้ากันด้วยความสงสัย
….
วันต่อมา
หลังจากที่กินข้าวเช้ากันเสร็จ ทั้งสี่คนก็ได้มายังบ้านพักเพื่อบอกลาจางหยู
“เรื่องทักษะจี๋อู่ขั้นต่ำนี้ คงต้องฝากพวกท่านด้วย” จางหยูพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ข้าหวังว่าจะได้ยินข่าวดี” จางหยูเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ข้าหวังว่าพวกท่านจะทำให้ดีที่สุด ”
หลังจากที่บอกลากับจางหยูแล้ว ทั้งสี่ก็เตรียมพร้อมที่จะกลับ แต่พวกเขายังไม่ทันได้หันกลับ ก็รู้สึกได้ถึงปราณสัตว์อสูรที่น่ากลัวปกคลุมไปทั่วสำนักคังเฉียง
ร่างของเฉินกูปรากฏขึ้นมาในสำนักคังเฉียง และตะโกนดังก้องไปทั่ว “อ้าวเยว่ ออกมา ! ”
“อ้าวเยว่ออกมา ! ”
“อ้าวเยว่ออกมา ! ”
ทั้งสำนักคังเฉียงมีแต่เสียงของเฉินกูที่ดังก้องไปทั่ว
ต่อมา ร่างของอ้าวเยว่ก็พุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้า พร้อมกับปราณที่น่ากลัวที่ปะทุออกมา
ปัง !
ทันใดนั้น ท้องฟ้าด้านบนสำนักคังเฉียง ก็เต็มไปด้วยปราณมังกรที่น่ากลัว แทบทุกคนต่างก็รู้สึกกลัวไปโดยสัญชาตญาณ โดยไม่อาจจะควบคุมจิตใจของตัวเองได้
หลังจากที่อ้าวเยว่ปราฏตัว อ้าวอู่เหยียนก็บินตามขึ้นมาก่อนจะมองไปที่เฉินกู
“หือ เริ่มแล้วรึ? ” จางหยูเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ เขามองไปยังทั้งสองคนที่เผชิญหน้ากันบนท้องฟ้า
ในโรงอาหาร ศิษย์ที่เพิ่งกินข้าวเช้ากันเสร็จรวมไปถึงซู่เหยียนและโอวเสินเฟิง ต่างก็พากันเดินออกมาจากโรงอาหาร
พวกเขารอคอยการต่อสู้นี้มานาน ความสนใจที่พวกเขามีไม่ได้น้อยไปกว่าของเฉินกูและอ้าวเยว่!
เซียนทั้งสี่ช็อก หยางเพ้ยอันอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “เจ้าสำนัก อาจารย์ทั้งสองทำอะไรกัน ? ”
จางหยูละสายตากลับมามองที่เหล่าเซียนก่อนจะยิ้มออกมา “อาจารย์เฉินและอาจารย์อ้าวเยว่ ตกลงว่าจะเรียนรู้ด้วยการประมือกันเมื่อไม่กี่วันก่อน วันนี้คือวันที่พวกเขาได้นัดแนะกันไว้ “
“ เรียนรู้ ? ราชาสัตว์อสูรกับผู้อาวุโสสูงของเผ่ามังกรรึ ? ” ลั่วซู่หยางตื่นเต้นขึ้นมา
ตอนแรกพวกเขาคิดจะกลับ แต่การประมือกันของราชาสัตว์อสูรกับผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่ามังกรทำให้พวกเขาสนใจอย่างมาก
ลั่วซู่หยางพูดขึ้น “ เจ้าสำนัก เราดูการต่อสู้นี้ได้ด้วยรึไม่ ? ”
หยางเพ้ยอัน,ชุยเจี่ยนและหงจินเป่า ต่างก็มองไปที่จางหยูด้วยความกังวล สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“มันไม่ใช่ความลับอะไร พวกท่านดูได้ตามต้องการ ” จางหยูยิ้มออกมา