ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 442 : ทำตามข้อตกลง
ในสำนักอื่นๆศิษย์ต่างก็คาดหวังกับวันหยุดกัน แต่ที่สำนักคังเฉียงนั้นต่างออกไป เมื่อศิษย์ได้ยินเรื่องวันหยุด พวกเขาก็ไม่พอใจกันขึ้นมา พวกเขาไม่อยากจะออกจากสำนักไป
“มีวันหยุดแล้วพวกเจ้าไม่พอใจได้ยังไง?” เมื่อรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่อึมครึม เจ้าสำนักก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อู่โม่ลังเลอยู่สักพักและพูดขึ้นมา “ เจ้าสำนัก ระหว่างวันหยุดนี้เราพักอยู่ในสำนักคังเฉียงได้หรือไม่ ?”
คนอื่นรอบ ๆต่างก็มองไปที่เจ้าสำนักด้วยความกังวลและคาดหวัง
ในหมู่คนพวกนั้น โดยเฉพาะโอวเสินเฟิงที่ถือว่าสำนักคังเฉียงเป็นบ้านของเขา เมื่อเขาได้วันหยุด เขาก็สับสนขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี
ทุกคนต่างก็รู้สึกว่างเปล่าและคิดถึงสำนักแห่งนี้
“พวกเจ้าคือคนของสำนักคังเฉียง หากพวกเจ้าต้องการจะอยู่ พวกเจ้าจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ ข้าจะไล่พวกเจ้าได้หรือไง?” เจ้าสำนักไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “แต่พวกเจ้าไม่ควรอยู่ในสำนักไปตลอด ยังไงซะพวกเจ้าก็มีครอบครัว ในเมื่อเป็นวันหยุดที่หาได้ยาก พวกเจ้าก็ควรใช้เวลาไปกับครอบครัว…”
เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนก็ผ่อนคลายกันขึ้นมา
“ขอบคุณเจ้าสำนัก!” อู่โม่และคนอื่นๆดีใจขึ้นมาทันที
เจ้าสำนักยกมือขึ้นและหันไปมองโอวเสินเฟิง ก่อนจะถามขึ้นมา “สำหรับวันหยุดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าอาจารย์โอวมีธุระอะไรรึไม่?”
โอวเสินเฟิงชะงักและตอบกลับด้วยความเคารพ “เจ้าสำนักมีคำสั่งอะไรรึ?”
“ท่านคงจำได้ว่าข้าตกลงกับเหล่าเซียนเอาไว้สินะ?” เจ้าสำนักยิ้มออกมา “อีกไม่กี่วันอาจารย์ใหม่อาจจะมาที่สำนักคังเฉียง เมื่อถึงตอนนั้นอาจจะต้องรบกวนท่านให้พาพวกเขาเยี่ยมชมสำนัก ข้าไม่รู้ว่า อาจารย์โอวจะสะดวกหรือไม่ ?”
โอวเสินเฟิงไม่คิดปฏิเสธ เขาพยักหน้าทันที “ไม่มีปัญหา”
เจ้าสำนักพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากโรงอาหารไป ก่อนจะไปเขาได้พูดขึ้นมา “พวกเจ้ากินกันตามสบาย ข้าขอตัวก่อน ”
ในตอนบ่าย อาจารย์อย่างซู่เหยียน,อู่ฉิงฉวน,หลินจื้อเป่ย และศิษย์อย่างเซียวเหยียน,โจวซินเอ๋อร์,เหลยเจี้ยนและเซี่ยเฟิง ได้ออกจากสำนักไป ในตอนเย็นสำนักคังเฉียงก็ดูว่างเปล่า เหลือแค่โอวเสินเฟิงและศิษย์ชั้นเรียนสัตว์อสูรที่ยังอยู่ต่อ แม้แต่คนเฝ้าประตูอย่างเหลยอ้าว ก็ยังกลับไปด้วย
แม้ว่าทุกคนจะไม่เต็มใจออกจากสำนักคังเฉียง แต่มันก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องกลับบ้าน หลังจากที่ออกจากบ้านมานานแล้ว
คนพื้นเมืองอย่างอู่โม่,อู่เฉิน,อู่ซินซินและหลินหมิงนั้น จะอยู่บ้านแค่ไม่กี่วัน หลังจากทำธุระเสร็จพวกเขาก็จะกลับมาที่สำนัก แต่เซียวเหยียน,โจวซินเอ๋อร์,หนิวซิงไห่,เซี่ยเฟิงและคนอื่นๆต้องใช้เวลานานกว่านั้น
ภูเขาร้างแห่งนี้ดูเงียบสงบผิดปกติ
ที่ป่าหวงหยวน
เฉินกูได้เคลื่อนย้ายไปยังเขตมืด และรับรู้ได้ถึงคลื่นมิติทางด้านหลังเขา
เขาหยุดและเงยหน้าขึ้นมอง “อาจารย์อ้าวเยว่ อาจารย์อ้าวอู่เหยียน”
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาได้พบกับอ้าวเยว่ในป่าหวงหยวน
“ข้าไม่รู้ทั้งสองท่านมาทำอะไรกัน?” เฉินกูมองไปยังทั้งสองคนด้วยแววตาสงสัย
อ้าวอู่เหยียนมองไปที่อ้าวเยว่และยักไหล่ “เจ้าต้องถามท่านน้าข้า ข้าตามท่านน้ามา”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เฉินกูก็เลิกคิ้วและมองไปที่อ้าวเยว่ เขาดูกังวลขึ้นมา “มีอะไรในเขตมืดที่ทำให้เจ้าสนใจด้วยรึ?”
“เจ้าไม่ต้องคิดหยั่งเชิงข้า” อ้าวเยว่แสดงสีหน้าเฉยเมยและพูดขึ้นมา “หากบอกความจริงกับเจ้าคงไม่เป็นอะไร ข้ามาหาคนที่นี่”
เฉินกูเลิกคิ้ว “โอ้ ? เจ้าตามหาใครกัน?”
อ้าวอู่เหยียนคิดว่าอ้าวเยว่ยังไม่ยอมแพ้กับการตามหาสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเห็นสีหน้าของเฉินกู มันก็ชัดแล้วว่าเฉินกูก็คิดแบบนั้นเช่นกัน
มันก็โทษอ้าวอู่เหยียนกับเฉินกูไม่ได้ที่จะเข้าใจผิด อ้าวเยว่นั้นทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายจริงๆ แต่นางเป็นคนที่เย่อหยิ่ง แม้ว่าจะถูกเข้าใจผิด นางก็ไม่คิดจะอธิบาย
“ข้าตามหาใครนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า” แม้ว่าเฉินกูจะมาอยู่ระดับเดียวกับนางได้ แต่ท่าทีของนางที่มีต่อเขาก็ยังคงเฉยชาเช่นเคย
“ไม่ใช่ว่าอาจารย์อ้าวเยว่ ตามหาว่าสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหนรึ?” เฉินกูยิ้มออกมา “หากนั่นเป็นเป้าหมายของเจ้า งั้นข้าคงต้องบอกเจ้าว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ทั้งป่าหวงหยวนแห่งนี้ ไม่ได้มีสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าเจ้าจะตามหาไปอีกสักร้อยหรือพันปี ก็ไม่มีทางหาตัวสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์เจอ ”
อ้าวเยว่สีหน้ายังคงเดิม “ข้าบอกแล้วว่าข้าตามหาใครนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า”
นางใช้สุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์มาเป็นข้ออ้าง แต่เป้าหมายที่แท้จริงของนาง ไม่ใช่สุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ หากนางได้เจอกับสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ ถึงจะไม่เจอแต่นางก็ไม่ได้ผิดหวัง
อ้าวอู่เหยียนกังวลขึ้นมา บรรยากาศแบบนี้มันน่าอึดอัด เขากลัวว่าทั้งสองคนจะสู้กันอีก
เฉินกูมองไปที่อ้าวเยว่ ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “เมื่ออาจารย์อ้าวเยว่ยืนยันเช่นนั้น งั้นท่านก็หาได้ตามสบาย”
เขาไม่ได้กลัวว่าอ้าวเยว่จะออกตามหาสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์จนเจอ หากนางมีความสามารถมากพอก็ปล่อยให้นางหาไป !
หลังจากนั้นเฉินกูก็ไม่ได้อยู่ต่อ มิติรอบตัวเขาสั่นไหวก่อนที่จะเกิดคลื่นเหมือนกับน้ำ ต่อมาร่างของเฉินกูก็หายไป
“ที่แท้ ท่านน้ามาตามหาสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่นี้นี่เอง!” เมื่อเฉินกูกลับไปแล้ว อ้าวอู่เหยียนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและบอกกับอ้าวเยว่ “ทำไมท่านไม่บอกข้า หากข้ารู้ว่าท่านมาที่นี่เพื่อตามหาสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะได้มากับท่านด้วย”
อ้าวเยว่มองไปที่อ้าวอู่เหยียนและพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ใครกันที่บอกว่าข้ามาตามหาสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์?”
“หือ…ท่านเพิ่งพูดไปไม่ใช่รึ?” อ้าวอู่เหยียนเกาหัว “ท่านบอกว่าท่านมาที่นี่เพื่อตามหาคน มันไม่ใช่สุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์รึไง?”
อ้าวเยว่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ทำตัวให้ฉลาดหน่อย!”
อ้าวอู่เหยียนชะงัก เขากลัวจนไม่กล้าปฏิเสธ
“ไปซะ เรื่องการค้นหาคนเป็นเรื่องส่วนตัวของข้า เจ้าไม่ต้องกังวล” อ้าวเยว่พุ่งออกไปทันที
อ้าวอู่เหยียนลังเล แต่ไม่คิดจะอยู่เฉย
อ้าวเยว่แสดงสีหน้าเย็นชาออกมา “เจ้าไม่ไปรึ!”
อ้าวอู่เหยียนหวาดกลัว จนต้องรีบหันหลังกลับและใช้เคลื่อนย้ายออกไปจากที่นั่น
หลังจากที่ออกจากป่าหวงหยวน เขาก็ไม่ได้กลับไปที่สำนักคังเฉียงแต่กลับไปอยู่ในเมืองและมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารแทน
สัญชาตญาณของนักล่าอาหารได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
….
“ท่านน้า ท่านลุง ผู้อาวุโสโจว!”
“บรรพบุรุษ ท่านพ่อ ท่านลุง!”
ที่ตีนเขา เซียวเหยีนและโจวซินเอ๋อร์ได้ลงเขามาด้วยกัน เมื่อมาถึงตีนเขาพวกเขาก็พบกับเซียวติง,เซียวจ้านเทียน และโจวถิง พวกเขารีบทำความเคารพทันที
โจวถิงยิ้มออกมา “แค่ไม่กี่วัน ระดับการบ่มเพาะของเจ้ากลับพัฒนาขึ้นมาอย่างมาก”
ตั้งแต่ที่เปลี่ยนมาบ่มเพาะทักษะจี๋อู่ขั้นกลาง ระดับการบ่มเพาะของศิษย์สำนักคังเฉียงก็พัฒนาขึ้นมาเร็วยิ่งกว่าเดิม แค่ไม่กี่วันระดับการบ่มเพาะของเซียวเหยียน ก็เพิ่มขึ้นจากตันซวนขั้นต่ำมาเป็นตันซวนขั้นกลาง ระดับการบ่มเพาะของโจวซินเอ๋อร์นั้น เพิ่มขึ้นมาถึงขอบเขตตันซวนขั้นต่ำ มันเป็นความเร็วที่น่ากลัวจริงๆ
“เหยียนเอ๋อร์ เจ้าอยู่ระดับไหนแล้ว?” เซียวติงไม่อาจจะมองระดับการบ่มเพาะของลูกชายออก
โจวซินเอ๋อร์ไม่รอให้เซียวเหยียนได้เปิดปากพูด นางพูดขึ้นมาอย่างภูมิใจ “ท่านน้า พี่เซียวเหยียนทะลวงผ่านขึ้นมาขอบเขตตันซวนขั้นกลางแล้ว!”
เมื่อพูดถึงระดับการบ่มเพาะแล้ว เซียวเหยียนคือคนที่มีระดับการบ่มเพาะสูงที่สุดในชั้นเรียนฝ่ายมนุษย์ แม้แต่เหลยเจี้ยนและเซี่ยเฟิง ที่เคยดีกว่าเขาก่อนหน้านี้ ก็ยังถูกเขาแซงไปได้ แน่นอนว่าหากเป็นเรื่องการต่อสู้ เซี่ยเฟิงดีกว่าเขาเล็กน้อย
เมื่อได้ยินคำตอบจากโจวซินเอ๋อร์ เซียวติงก็ตื่นเต้นขึ้นมา
ขอบเขตตันซวนขั้นกลาง มันเป็นระดับการบ่มเพาะของคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตตงโจวอย่างเชินถูเส้อ ในหมู่คนท้องถิ่นนี้ถือว่า เซียวเหยียนคืออันดับหนึ่งแทนแล้ว !
เซียวติงคิดไม่ถึงว่าลูกของเขาจะก้าวขึ้นมายังขอบเขตตันซวนขั้นกลางได้ มันคือเรื่องที่เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เซียวเหยียนอายุยังไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ เขาจะอายุครบ 20 ปีตอนสิ้นปี ด้วยอายุ 20 ปีนี้แต่กลับบ่มเพาะขึ้นมาถึงขอบเขตตันซวนขั้นกลางได้ อัจฉริยะแบบนี้หากดูทั้งทวีปแล้วจะมีสักกี่คนที่เทียบได้ ?
“ตระกูลเซียวตกต่ำมาหลายปี ในที่สุดก็มีหวังแล้ว” เซียวจ้านเทียนเองก็ตื่นเต้นขึ้นมา “หากท่านพ่อรู้ว่า เซียวเหยียนขึ้นมาถึงขอบเขตตันซวนขั้นกลางได้ด้วยอายุเท่านี้ เขาคงดีใจอย่างมากแน่ๆ ! ”
ตอนที่ตระกูลเซียวรุ่งเรืองที่สุดนั้น มีคนที่อยู่ขอบเขตตันซวนขั้นสูงแค่คนเดียวตลอดหลายรุ่นที่ผ่านมา นั่นก็คือบรรพบุรุษ ตอนนี้เมื่อระดับการบ่มเพาะของเซียวเหยียนขึ้นมาถึงขอบเขตตันซวนขั้นกลางได้ ดังนั้นการก้าวข้ามบรรพบุรุษที่อยู่ขอบเขตตันซวนขั้นสูงนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลา
เซียวติงตบไหล่เซียวเหยียน และชมเชยออกมา “เหยียนเอ๋อร์ เจ้าไม่ทำให้พ่อผิดหวัง!”
โจวซินเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้นมา “ท่านน้าสบายใจได้ พี่เซียวเหยียนจะต้องกอบกู้ตระกูลเซียวขึ้นมาได้แน่ และจะพาให้ตระกูลเซียวรุ่งเรืองแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ! ”
ด้วยความเร็วในการบ่มเพาะของเซียวเหยียนแล้ว อีกไม่นานเขาก็จะขึ้นไปถึงขอบเขตตุ้นซวนและขึ้นเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดได้ อัจฉริยะแบบนี้ไม่เคยมีในตระกูลเซียวมาก่อน
“เซียวติง เซียวจ้านเทียน ดูเหมือนว่าข้าต้องยินดีกับตระกูลเซียวล่วงหน้าแล้ว” โจวถิงยิ้มออกมา “ด้วยอัจฉริยะเช่นเซียวเหยียน บางทีอีกไม่นานตระกูลเซียวจะกลายเป็นตระกูลที่โด่งดังไปทั่วทวีปป่า โชคร้าย ที่เซียวเหอไม่อาจจะรอถึงวันนี้ได้…”
เซียวเหอคือคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับเขามา โชคร้ายที่เซียวเหอตายไปนานแล้ว
เมื่อพูดถึงเซียวเหอ เซียวติง,เซียวจ้านเทียนและเซียวเหยียน ต่างก็พากันโศกเศร้าขึ้นมา อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลเซียวกลับตายไปอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ตระกูลเซียวคงไม่ตกต่ำลงเช่นนี้ และเขาอาจจะรับผิดชอบในการฟื้นฟูตระกูลแทนที่เซียวเหยียนก็ได้
“ช่างเถอะ มันผ่านมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดถึงมัน” โจวถิงถอนหายใจออกมาและมองไปที่เซียวเหยียน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างใจเย็น “เซียวเหยียน เจ้าจำได้หรือไม่ว่าตอนที่เราพบกัน ข้าได้พูดอะไรไว้? ”
เซียวเหยียนตะลึง เขาอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนกลับไป
“ท่านหมายความว่ายังไง?” เซียวเหยียนถามขึ้นมา
โจวถิงได้พูดมาตั้งขนาดนี้แล้ว แต่เซียวเหยียนก็ยังไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แม้ว่าเซียวเหยียนจะพอคาดเดาไว้ในหัวอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่กล้าจะพูดมันออกมา จนกว่าเซียวเหยียนจะยืนยัน
“ข้อตกลง” โจวถิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเฉยชา
เซียวเหยียนดวงตาเป็นประกาย และพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “ผู้อาวุโส ท่านตกลงรึ?”
โจวซินเอ๋อร์เหมือนจะรู้ว่าบรรพบุรุษจะพูดถึงเรื่องอะไร แก้มของนางแดงก่ำขึ้นมาทันที
“ข้าได้บอกว่าหากเจ้าบ่มเพาะขึ้นมาถึงขอบเขตตันซวนขั้นต่ำได้ภายใน 5 ปี ข้าจะตกลงกับเจ้า” โจวถิงยิ้มและมองไปที่เซียวเหยียน “ผ่านมาแค่ไม่กี่เดือน แต่เจ้าก็ขึ้นมาถึงขอบเขตตันซวนขั้นกลางได้ มันผ่านเกณฑ์ที่เราตกลงกันไว้ ข้าต้องทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้” โจวถิงเงียบไปชั่วครู่และมองไปที่โจวซินเอ๋อร์ ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “ข้าตกลงให้พวกเจ้าอยู่ด้วยกันได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของโจวถิง เซียวเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะยินดีขึ้นมา
โจวซินเอ๋อร์เองก็ดีใจและมองไปยังเซียวเหยียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก
“ขอบคุณ ขอบคุณมากผู้อาวุโส !” เซียวเหยียนรีบขอบคุณทันที