ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 446 : การเปลี่ยนแปลง
“แต่งงานภายใน 1 ปีรึ?” โจวถิงคิ้วขมวด เขาหวังว่าเซียวเหยียนกับโจวซินเอ๋อร์จะแต่งงานกันโดยเร็วที่สุด เขาอยากให้เสร็จสิ้นใน 1 เดือน แต่เซียวเหยียนกลับบอกออกมาแล้ว หากเขาเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้อีก และถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูคนอื่นเข้า คนอื่นคงจะคิดว่าราชวงศ์คงไม่ให้โจวซินเอ๋อร์แต่งงานกับใคร
โชคดีที่เซียวเหยียนรับปากว่าจะไปยังเมืองหลวง เพื่อทำสัญญางานแต่งภายใน 1เดือน ดังนั้นจึงใช่ว่าจะรับเรื่องนี้ไม่ได้
“หลานรัก เจ้าว่ายังไง?” โจวถิงไม่ได้ตัดสินใจทันที แต่ถามความเห็นของโจวซินเอ๋อร์ก่อน
โจวซินเอ๋อร์หน้าแดงราวกับลูกแอปเปิล นางก้มหน้าและพูดขึ้นมาอย่างอายๆ “แล้วแต่ท่านบรรพบุรุษจะตัดสินใจ!”
โจวถิงยิ้มออกมา “งั้นรึ? ถ้าข้าบอกว่าเซียวเหยียนไม่ได้คู่ควรกับองค์หญิงของตระกูลโจว ข้าปฏิเสธแทนเจ้าจะดีรึไม่?”
“ไม่!” โจวซินเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงที่ฟังดูหงุดหงิด ชัดแล้วว่านางไม่พอใจอย่างมาก
แต่เมื่อนางเห็นรอยยิ้มของโจวถิง นางก็ส่ายหน้าทันที “ท่านบรรพบุรุษ ท่านแกล้งข้า!”
โจวถิงหัวเราะออกมา “เอาละ ข้าจะไม่แกล้งเจ้าแล้ว นี่เป็นการแต่งงาน ข้าควรเป็นผู้ใหญ่ฝั่งเจ้าแต่หากเซียวเหยียนต้องการจะแต่งงานกับเจ้า เขาก็ยังต้องผ่านการทดสอบสุดท้าย หากเซียวเหยียนไม่ผ่านการทดสอบนี้ งั้นก็อย่าคิดว่าข้าจะพูดอะไรแทนเขาได้”
“พี่เซียวเหยียนต้องทำให้ท่านพ่อพอใจได้แน่!” โจวซินเอ๋อร์มั่นใจอย่างมาก
“ข้าไม่มั่นใจ มันต้องรอดูในอนาคต” โจวถิงยิ้มออกมา เขามองไปที่เซียวเหยียนและพูดขึ้น “เซียวเหยียนข้ายังคงยืนยันคำเดิม สินสอดเท่าไหร่ตระกูลโจวไม่สน แต่ข้าอยากเห็นความจริงใจของเจ้า!”
เซียวเหยียนตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ผู้อาวุโสสบายใจได้ ผู้น้อยจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”
โจวถิงพยักหน้าและบอกกับโจวซินเอ๋อร์ “กลับกันเถอะ เจ้าจากบ้านมานาน เจ้าควรจะกลับบ้านได้แล้ว”
“พี่เซียวเหยียน” โจวซินเอ๋อร์มองไปที่เซียวเหยียนและเผยสายตาหยอกเย้าออกมา “ข้าจะไปรอเจ้าที่เมืองหลวง รีบมาหาข้าด้วย”
เซียวเหยียนดีดหน้าผากโจวซินเอ๋อร์ และพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ซินเอ๋อร์ อีกหนึ่งเดือนข้าจะไปหาเจ้าที่เมืองหลวง!”
เมื่อเซียวเหยียนรับปาก โจวซินเอ๋อร์ก็มองไปที่เซียวเหยียนอยู่นาน ก่อนจะหันหลังกลับและเดินไปหาโจวถิง แล้วพูดว่าพูดขึ้น “ท่านบรรพบุรุษ เราไปกันเถอะ”
ไม่นานร่างของโจวซินเอ๋อร์และโจวถิงก็หายไป
เซียวเหยียนยืนมองทางที่ทั้งสองจากไปโดยขยับเลยแม้แต่น้อย
“เด็กน้อย เราเองก็ควรกลับบ้านเช่นกัน” เซียวติงพูดขึ้นมาและตบไหล่เซียวเหยียน
เซียวเหยียนละสายตากลับมาและมองไปที่พ่อของตน “ได้ ท่านพ่อ”
….
ในคืนนั้น
ตอนที่ยามของตระกูลเซียวได้ตะโกนบอกว่าเซียวเหยียนกลับมาแล้ว คนในตระกูลนับไม่ถ้วนก็ได้มารวมตัวกันรุมล้อมเซียวเหยียน,เซียวติงและเซียวจ้านเทียนเอาไว้
เมื่อเซียวอู่เว่ยมาถึง ทุกคนต่างก็พากันหลีกทางให้
เซียวอู่เว่ยเดินฝ่าฝูงชนเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าทั้งสามคน ก่อนจะมองไปที่เซียวเหยียนและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เหยียนเอ๋อร์”
“ผู้นำตระกูล เรากลับมาแล้ว” เซียวเหยียนถ่อมตัวเช่นเคย
แม้ว่าเซียวอู่เว่ยจะเป็นปู่ของเขา แต่ในโอกาสที่เป็นทางการแบบนี้ เขาต้องเรียกอีกฝ่ายว่าผู้นำตระกูล ซึ่งมันเป็นกฎของตระกูล
“ผู้นำตระกูล” เซียวติงและเซียวจ้านเทียนเองก็ตื่นเต้นอย่างมาก
“เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว” เซียวอู่เว่ยพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง “เซียวติง เซียวจ้านเทียน พวกเจ้าทำกันได้ดี ”
เซียวติงและเซียวจ้านเทียนรีบส่ายหน้าและตอบกลับ “ไม่ได้ลำบากอะไรเลย!”
เซียวอู่เว่ยยิ้มและส่ายหน้า เขาไม่ได้เถียงทั้งสองคน เขาโบกมือและพูดต่อ “ไป ไปกินอะไรกันก่อน พวกเจ้าเดินทางกันมาไกล พวกเจ้าคงต้องหิวกันแน่ๆ เรามีอะไรกินกันบ้าง ? บอกมา ”
ไม่นานสมาชิกระดับสูงของตระกูลเซียว รวมถึงเซียวเหยียนก็ได้ไปรวมตัวกันที่ห้องโถงของตระกูล มีสาวใช้มากมายพากันยกอาหารเข้ามาในห้อง
ด้านนอกห้องโถง คนหนุ่มสาวหลายคนแม้แต่คนวัยกลางคนก็ได้มารุมล้อมที่หน้าประตู และมองไปยังผู้คนในห้องด้วยความสงสัย
ตระกูลเซียวถือว่าเป็นตระกูลระดับกลาง โดยทั่วไปแล้วจะมีแค่ผู้อาวุโสกับผู้นำตระกูลที่มีสิทธิกินอาหารอยู่ในห้องโถงได้ แม้แต่ลูกหลานที่บ้านของผู้นำตระกูลและผู้อาวุโส ก็ได้แต่กินอาหารอยู่ในห้องของตัวเองเท่านั้น วันนี้เซียวเหยียนคือข้อยกเว้นหรือเป็นผู้นำตระกูลที่เป็นคนยกเว้นให้กับเซียวเหยียน แต่มันก็ไม่มีใครคัดค้านเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
บอกได้ว่านี่เป็นรุ่นเยาว์คนแรกของตระกูลที่ได้เข้าไปกินอาหารอยู่ในห้องโถง
นี่คือเกียรติยศที่ทำให้รุ่นเยาว์หลายคนต้องอิจฉา
แต่ก็ไม่มีใครกล้าค้านอะไรออกมา เพราะทุกคนรู้ว่าเซียวเหยียนได้เข้าร่วมสำนักคังเฉียง พร้อมกับฐานะที่ยกระดับขึ้นมา ฐานะศิษย์สำนักคังเฉียงเพียงพอจะทัดเทียมกับผู้นำตระกูลนับไม่ถ้วนแล้ว หากเขาต้องการไปกินอาหารที่ห้องโถงของตระกูล จะมีใครบ้างที่กล้าคัดค้านเรื่องนี้?
“คิดไม่ถึงจริงๆว่า ข้าเซียวเหยียนจะมีโอกาสได้เข้ามากินอาหารในห้องโถง” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วเซียวเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ตอนแรกเขาไม่เคยถูกคนในตระกูลมองเห็นหัวเลย เขาถูกพี่น้องหลายคนปฏิเสธ เขาโดนมองข้าม คนมากมายคิดว่าเขาเป็นขยะและคอยแต่จะหาเรื่องเขา หากไม่ใช่เพราะโจวซินเอ๋อร์และเซียวติงที่คอยปกป้องและปลอบใจเขา เขากลัวว่าเขาคงกลายเป็นบ้าไปก่อน
สำหรับเซียวอู่เว่ยแล้ว เซียวเหยียนไม่ได้เกลียดปู่ของตน แต่เขาก็ยังมีความไม่พอใจอยู่บ้าง
ยังไงซะเซียวอู่เว่ยก็เป็นคนดูแลตระกูล และสนใจผลประโยชน์ของตระกูล การที่เซียวเหยียนไม่ได้รับการสนใจก็ถือว่าสมควรแล้ว
เขาเป็นผู้นำตระกูลที่ดีแต่ไม่ใช่ปู่ที่ดี
ใครจะไปคิดว่าแค่ปีเดียว เขาจะเปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่ใช่แค่ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะเขา แต่แม้แต่ผู้อาวุโสและผู้นำตระกูลก็ยังต้องให้เกียรติเขา
“มาๆเซียวเหยียนนี่คือเนื้อวัววิหคเพลิงขั้นสูงที่ผู้นำตระกูลซื้อมาให้กับเจ้าเป็นพิเศษ ข้าได้ยินมาว่ามันคืออาหารโปรดของเจ้า กินสิ กิน”
“มีอาหารอยู่มากมาย ทั้งเข็มสนและหน่อไม้เขียว เจ้าชอบอันไหน”
“ใช่สิ ไวน์นี่ถูกส่งมาจากตระกูลเซินเอ๋อร์ถู บอกกันว่ามันหมักมาเป็นสิบปีและรสชาติก็ยอดเยี่ยม เซียวเหยียนรีบกินสิ”
ผู้อาวุโสที่ไม่เคยเห็นหัวเซียวเหยียน แต่ครั้งนี้กลับเผยรอยยิ้มกว้างออกมาให้กับเขา ชัดแล้วว่ามันฝืนใจผู้อาวุโสพวกนี้แค่ไหน
เมื่อเห็นเหล่าผู้อาวุโสที่แต่เดิมแล้ว ทำตัวเหินห่างมาประจบเขา เซียวเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะสลด “หน้ามือเป็นหลังมือจริงๆ!”
แค่ฐานะศิษย์ของสำนักคังเฉียง ตำแหน่งของเขาในตระกูลก็เปลี่ยนไปอย่างมาก แม้แต่ผู้อาวุโสที่เคยสูงส่งต่างก็พากันก้มหัวเพื่อทำให้เขาพอใจ
เมื่อคิดถึงท่าทีของพวกนี้ในอดีต กับท่าทีในตอนนี้ ก็ทำให้เขาก็อดคิดไม่ได้ !
ที่ด้านนอก คนในตระกูลต่างก็เห็นท่าทีประจบของเหล่าผู้อาวุโสที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ต้องรู้ก่อนว่าหลายคนเป็นลูกหลานของผู้อาวุโสพวกนี้! การที่เห็นปู่หรือพ่อของตัวเองทำเรื่องขายหน้าแบบบนี้ พวกเขาจะรู้สึกดีได้ยังไง ?
“สมน้ำหน้า!” เซียวจ้านเทียนมองเหตุการณ์นั้นด้วยสายตาที่เย็นชา ในใจของเขารู้สึกเจ็บปวด เรื่องที่เขาถูกผู้อาวุโสเหล่านี้หักหลัง จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่ลืมเลือน
สำหรับพฤติกรรมที่ไร้ยางอายของผู้อาวุโสเหล่านี้ เซียวเหยียนก็สามารถรับมือพวกเขาได้ โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ
เขาถ่อมตัวและพูดขึ้นมา “ขอบคุณเหล่าผู้อาวุโส แต่เซียวเหยียนเป็นผู้เยาว์ ข้าทำเองได้ ไม่ต้องรบกวนผู้อาวุโสหรอก” น้ำเสียงของเขายังดูสงบเช่นเคย แม้ว่าท่าทีของเขาจะทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความเหินห่าง แต่มันก็เหมือนกับเป็นการให้เกียรติเหล่าผู้อาวุโสและไม่ทำให้พวกนั้นไม่พอใจ
กลุ่มผู้อาวุโสมองไปที่เซียวเหยียนแล้วถอนหายใจออกมา
ที่พวกเขาทำแบบนี้ก็เพื่อจะทำให้เซียวเหยียนพอใจ เป้าหมายคือการขจัดความไม่พอใจ ที่เซียวเหยียนเคยมีให้กับพวกเขาไม่ใช่รึไง ?
เมื่อพวกเขาทำตามเป้าหมายได้แล้ว เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่รู้สึกละอายกับการทำให้เซียวเหยียนพอใจ ยังไงซะพวกเขาก็ต้องรักษาหน้าของตัวเอง อีกทั้งยังมีคนของตระกูลหลายคนมองอยู่ด้านนอกด้วย!
เซียวอู่เว่ยถามเซียวเหยียนด้วยความสงสัยในตอนที่ดื่มกันอยู่ “เหยียนเอ๋อร์ ระดับการบ่มเพาะของเจ้าในตอนนี้เป็นยังไงกัน? ข้าไม่อาจจะเห็นระดับการบ่มเพาะของเจ้าได้เลย…”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ผู้อาวุโสรอบๆต่างก็พากันตั้งใจฟัง และมองไปที่เซียวเหยียนด้วยความกังวล
“ผู้นำตระกูล ระดับการบ่มเพาะของข้าอยู่ที่ขอบเขตตันซวนขั้นกลาง” เซียวเหยียนลุกขึ้นยืนและตอบกลับด้วยความเคารพ
เมื่อได้ยินแบบนั้น ทั้งในห้องและนอกห้องต่างก็เงียบสนิท ราวกับว่าโลกนี้ตกลงสู่ความเงียบงัน
ตอนนั้น เซียวติงก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้นก่อนจะพูดขึ้นมา “ผู้นำตระกูล ผู้อาวุโส เหยียนเอ๋อร์ขึ้นไปถึงขอบเขตตันซวนขั้นกลางแล้ว อีกทั้งท่านเซียนยังยอมรับเองว่า เหยียนเอ๋อร์คือผู้มีพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะสูงที่สุดในหมู่ศิษย์มนุษย์!”
“เซียวเหยียนจะนำพาตระกูลไปสู่ความรุ่งโรจน์!” เซียวจ้านเทียนเองก็ตื่นเต้นขึ้นมา “ตระกูลเซียวของเราจะรุ่งเรืองอีกครั้ง!”
ผู้อาวุโสต่างก็ตะลึง ใช้เวลาอยู่สักพักพวกเขาถึงรวบรวมสติกันได้ ก่อนที่จะถามขึ้นมา “ข้าจำได้ว่าเซียวเหยียนอายุแค่ 20 ปีเองไม่ใช่รึ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ทั้งห้องก็เงียบลงไปยิ่งกว่าเดิม
เซียวอู่เว่ยลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น และตบไหล่เซียวเหยียน ก่อนจะหัวเราะออกมา “ดี ดี ! ฮาฮา….”
อายุยังไม่ถึง 20 ปีแต่กลับขึ้นไปถึงขอบเขตตันซวนขั้นกลางได้ คนมีพรสวรรค์เช่นนี้พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน นี่ไม่ต้องพูดถึงตระกูลเซียวเลย แม้แต่ทั้งอาณาจักรโจวหรือแม้แต่เขตเหนือก็ยังหาคนแบบนั้นได้ยากไม่ใช่รึ?
ก็ตามที่เซียวจ้านเทียนบอกมา ตระกูลเซียวที่ตกต่ำมานาน จะฟื้นฟูกลับมาและคนที่นำความเจริญมาสู่ตระกูลเซียวก็คือ เซียวเหยียน!
เซียวอู่เว่ยเชื่อว่าตราบใดที่เซียวเหยียนเติบโตขึ้นมา เขาจะเป็นผู้นำตระกูลเซียนไปสู่จุดที่ไม่เคยไปถึงมาก่อน หากเทียบกับในช่วงรุ่งเรืองแล้ว มันอาจจะรุ่งโรจน์และแข็งแกร่งยิ่งกว่านั้น !