ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 450 : ภาพของโลก(I)
ตอนที่ 450 : ภาพของโลก(I)
คังชือหลินและเทียนเย่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจางหยูเลย พวกเขาไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้น่ากลัวแค่ไหน พวกเขาเห็นว่าจีหลิงและจงเซี่ยวเซี่ยวต่างก็แสดงความเคารพจางหยู ดังนั้นพวกเขาจึงทำตาม
จางหยูมองไปที่จีหลิง เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “มีสองคนอยู่ขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูง อีกสองคนอยู่ขอบเขตตุ้นซวนขั้นต่ำ คิดไม่ถึงจริงๆว่าลั่วซู่หยางจะทำขนาดนี้…”
เกณฑ์ที่เขาให้ไปนั้น ก็ง่ายๆ ตราบใดที่สายอาชีพถึงระดับ 5 ดาวหรือระดับการบ่มเพาะถึงขอบเขตตุ้นซวนก็เพียงพอ
จีหลิงและคนอื่นๆเหมือนจะผ่านเกณฑ์ที่เขากำหนดเอาไว้มาก ระดับการบ่มเพาะของจีหลิงอยู่ถึงขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูง จงเซี่ยวเซี่ยวเองก็อยู่ระดับเดียวกัน รวมไปถึงสายอาชีพที่ถึงระดับ 5 ดาว คังชือหลินและเทียนเย่แย่กว่าเล็กน้อยแต่สายอาชีพของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าจงเซี่ยวเซี่ยวเลย ระดับการบ่มเพาะของทั้งคู่ก็สูงถึงขอบเขตตุ้นซวนขั้นต่ำ
ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง !
จางหยูพอใจกับเรื่องนี้อย่างมาก !
สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดคือจงเซี่ยวเซี่ยว เขาคือคนที่เด็กที่สุด แต่ระดับการบ่มเพาะกลับขึ้นไปถึงขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูง การพัฒนาของชายคนนี้ค่อนข้างน่าแปลกใจ
เมื่อใช้มองทะลุขั้นสูง มันก็ชัดแล้วว่าร่างกายของจงเซี่ยวเซี่ยวอยู่ที่ระดับ 6 ดาวขั้นสูง พรสวรรค์เรื่องการหลอมด้อยกว่าเล็กน้อย อยู่ที่ระดับ 5 ดาว หากบ่มเพาะอีกหน่อยคงกลายเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดคนต่อไปของสำนักคังเฉียงได้ ร่างกายของจีหลิงก็ไม่ได้แย่ นางมีร่างกาย 6 ดาวขั้นกลาง เหตุผลว่าทำไมนางถึงได้มีระดับการบ่มเพาะที่สูงก็เพราะเวลาและความพยายามที่สามารถทำลายขีดจำกัดของพรสวรรค์ทะลวงขึ้นมายังขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูงได้ ชัดแล้วว่าจิตใจของจีหลิงไม่ธรรมดา
โดยทั่วไปแล้วจางหยูพอใจกับจีหลิงอย่างมาก
จีหลิงได้ยินลั่วซู่หยางพูดถึงเรื่องจางหยูหลายอย่าง
“ตามกฎแล้วต้องลงชื่อในสัญญานภาก่อน” จางหยูโบกมือ ม้วนคัมภีร์ได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับพู่กัน “ลงชื่อ แล้วพวกท่านจะเป็นคนของสำนักคังเฉียง”
เมื่อได้ยินแบบนั้น จีหลิงก็มองไปที่ม้วนคัมภีร์ก่อนจะพบว่ามันบินมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
จีหลิงรับมันไว้ ก่อนจะกางม้วนคัมภีร์ออกแล้วลงชื่อของนางลงไป —จีหลิง!
จากนั้นนางก็ส่งมันให้ต่อกับคนอื่น
หลังจากนั้นสักพักทั้งสี่คนก็ลงชื่อกันเสร็จ ก่อนที่พวกนั้นจะได้คืนคัมภีร์ให้กับจางหยู อยู่ๆคัมภีร์ก็หายไปจากมือเทียนเย่ วิธีที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้ทั้งสี่คนตกตะลึงและทึ่งในตัวจางหยูมากกว่าเดิม
“อาจารย์โอว คงต้องรบกวนท่านพาพวกเขาไปเยี่ยมชมสำนักหน่อย” จางหยูหันไปบอกกับโอวเสินเฟิง “ท่านควรบอกกฎของสำนักให้พวกเขาฟังด้วย”
โอวเสินเฟิงตอบกลับด้วยความเคารพ “ได้ เจ้าสำนัก!”
จางหยูคิดและบอกกับโอวเสินเฟิงผ่านการส่งข้อความ “ทักษะจี๋อู่ขั้นสูงอย่างเพิ่งบอกกับพวกเขา รออีกหน่อย”
แม้ว่าเขาจะมั่นใจในสัญญานภาแต่จางหยูคิดจะให้โอวเสินเฟิงบ่มเพาะทักษะจี๋อู่ขั้นสูงไปอีกสักพักก่อน ยังไงซะสัญญานภาก็คือตัวช่วยในการยกระดับสำนักคังเฉียง ความรู้สึกที่เป็นคนของสำนักคังเฉียงจะทำให้พวกเขายากจะลบสำนักคังเฉียงออกจากใจได้ จางหยูไม่มีทางที่จะปล่อยให้พวกนี้เรียนรู้ทักษะจี๋อู่ขั้นสูงง่ายๆ ก่อนที่จะมั่นใจว่าพวกนี้ภักดีต่อสำนักจริง
โอวเสินเฟิงเข้าใจความหมายที่จางหยูจะบอก เขาได้ส่งข้อความกลับไปทันที “ข้าเข้าใจแล้ว”
จางหยูได้บอกกับสี่คนที่เหลือ “พวกท่านควรตามอาจารย์โอวไปทำความรู้จักที่ต่างๆของสำนักก่อน นอกจากนี้แล้วสำนักก็มีวันหยุดอยู่ ตอนนี้พวกท่านยังไม่ต้องสอน พวกท่านจะอยู่ในสำนักหรือจะกลับบ้านก็ได้ แค่ต้องกลับมาที่สำนักก่อนวันที่ 1 เดือน 9 ตอนนั้นข้าจะมอบหมายตำแหน่งให้”
จีหลิงและคนอื่นๆไม่กล้าคัดค้านอะไร พวกเขาได้แต่พยักหน้าตอบรับ
“งั้นอาจารย์โอวพาพวกเขาไปได้” จางหยูโบกมือ
โอวเสินเฟิงขอตัวและเดินออกมาจากบ้านพร้อมกับทั้งสี่คน
เมื่อจางหยูหายไปจากสายตา จีหลิงและคนอื่นๆก็พากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แม้ว่าจางหยูจะไม่ได้แผ่พลังอะไรออกมา แต่พวกเขาก็ยังรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาล พวกเขาเกือบจะหายใจไม่ได้
“ความแข็งแกร่งของเจ้าสำนักไร้เทียมทานจริงๆ! แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรแต่ก็ทำให้ข้าหายใจลำบากได้!” จงเซี่ยวเซี่ยวหันไปมองที่โอวเสินเฟิง
โอวเสินเฟิงยิ้มออกมา “เซียนหลอมไม่ได้บอกท่านรึ ? ความแข็งแกร่งของเจ้าสำนักนั้นเหนือกว่าขีดจำกัดของโลกนี้ อย่าพูดถึงข้าเลย แม้แต่พวกยอดฝีมือระดับสูงสุดทั้งหมดในโลกนี้ ก็ไม่อาจจะเป็นคู่มือของเจ้าสำนักได้”
ในเรื่องนี้จีหลิงและจงเซี่ยวเซี่ยวไม่ได้แปลกใจ แต่คังชือหลินและเทียนเย่ต่างก็เบิกตากว้าง
….
“เรื่องสุดท้ายก็เสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปก็สนใจเรื่องการบ่มเพาะ!” อยู่ๆร่างของจางหยูก็หายไป
ที่โลกนภา
ณ.ภูเขาลูกใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยหลิงชี่ หลิงชี่ที่นั่นหนาแน่นมาก จนแม้แต่พวกขอบเขตหลี่ซวน หากมาบ่มเพาะที่นี่ไม่นาน ก็อาจจะทะลวงผ่านขึ้นไปยังขอบเขตตุ้นซวนได้
ข้างๆบ่อน้ำพุ ระดับการบ่มเพาะของร่างเจ้าสำนักได้เพิ่มขึ้นมาถึงขอบเขตหลี่ซวนขั้นสูง และอาจจะทะลวงผ่านขึ้นไปยังขอบเขตตุ้นซวนตอนไหนก็ได้
เมื่อรับรู้ได้ถึงสถานการณ์นั้น จางหยูก็เผยรอยยิ้มพอใจออกมา“ไม่เลว”
เขารับรู้ได้ว่าความแข็งแกร่งของแต่ละร่างเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ร่างเจ้าสำนัก, ร่างสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 16 ตัว, ร่างเฒ่าเทียนจี ความแข็งแกร่งของพวกนี้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด แม้แต่ร่างเจ้าสำนักที่มาทีหลังก็ยังแข็งแกร่งกว่าร่างปรมาจารย์กระบี่ และเฒ่าเทียนจีเลย แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของร่างเจ้าสำนักจะอยู่แค่ขอบเขตหลี่ซวนขั้นสูง แต่ก็ไม่เกรงกลัวพวกขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูงเลยแม้แต่น้อย
“หลังจากนี้ค่อยให้ปรมาจารย์กระบี่ กับเฒ่าเทียนจีเข้ามายังโลกนภา เพื่อทำการบ่มเพาะ” จางหยูคิดในใจ
เขาได้ติดต่อไปยังปรมาจารย์กระบี่และเฒ่าเทียนจี แต่พวกนั้นไม่ได้รีบร้อน พวกนั้นจะกลับมาที่เขตเหนือในอีกสักพักและค่อยเข้ายังโลกนภา แม้ว่าทั้งสองคนจะยังไม่กลับมาตอนนี้ แต่จางหยูก็ไม่ได้บังคับพวกนั้น เขาเคารพความคิดของทั้งคู่
จางหยูเอามือตบหน้าตัวเองเพื่อรวบรวมสติ ก่อนจะเริ่มทำการบ่มเพาะ
ด้วยการที่ถูกรายล้อมไปด้วยหลิงชี่จำนวนมหาศาล เขาดูดซับมันเข้ามาจนเกือบหมดแทบจะทันที เมื่อหลิงชี่หายไป บ่อน้ำพุก็เหมือนกับเกิดการทำงาน ชั้นน้ำบนน้ำพุเหมือนจะระเหยในทันทีแล้วกลายเป็นหลิงชี่เข้ามาทดแทนที่นั่น
ในตันเถียนของจางหยูมันได้เกิดวังวนปราณนับไม่ถ้วนขึ้นด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง !
ตันเถียนนี้เหมือนกับเตาอบขนาดใหญ่ วังวนนับไม่ถ้วนนี้เหมือนกับไฟ หลิงชี่นั้นเหมือนกับอาหารซึ่งทำให้ไฟลุกไหม้รุนแรงยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น แม้แต่ร่างกายของจางหยูก็ยังเหมือนมีเสียงระเบิดดังออกมา
เวลาผ่านไปช้า ๆ จางหยูเพ่งสมาธิไปกับการบ่มเพาะ เขาใช้เวลาทั้งคืนไปกับการบ่มเพาะ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน
จนถึงช่วงเวลาหนึ่ง อยู่ๆพลังของเขาก็พุ่งสูงขึ้น แรงสะท้อนจากพลังอันน่ากลัวนี้ทำให้ร่างเจ้าสำนักถึงกับตื่นขึ้นมาและแสดงสีหน้ายินดี “ร่างจริงทะลวงผ่านแล้ว!”
รวดเร็วจริงๆ !
จางหยูใช้เวลานานแค่ไหนกันกับการทะลวงผ่านขอบเขตตุ้นซวนขั้นกลาง ?
ตอนนี้เขากลับทะลวงผ่านขึ้นไปยังขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูงได้ !
น่ากลัวจริงๆ !
ไม่นานระดับการบ่มเพาะของจางหยูก็จะคงที่ เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมาและเผยรอยยิ้มออกมา“เข้าใกล้ระดับสูงสุดยิ่งกว่าเดิมแล้ว”
เขามีพลังเทียบเท่ากับพวกระดับสูงสุด แต่ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ที่ขอบเขตตุ้นซวนขั้นกลาง ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเขาขึ้นไปยังขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูงได้แล้ว ระยะห่างระหว่างการเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดนั้นห่างแค่เพียงขั้นเดียว
“ ยินดีกับร่างจริงด้วย!” ร่างเจ้าสำนักได้เข้ามายินดี
“ฮาฮา เจ้าเองก็ไม่เลว” จางหยูหัวเราะออกมาและบอกกับร่างเจ้าสำนัก “ดูเหมือนว่าเจ้าจะห่างจากขอบเขตตุ้นซวนขั้นต่ำไม่มาก?”
เจ้าสำนักเผยรอยยิ้มออกมา “แต่มันก็ยังด้อยกว่าร่างจริงมากนัก”
จางหยูหัวเราะออกมาโดยไม่เถียงอะไรต่อ
ระดับการบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นมาถึงขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูง ความแข็งแกร่งของเขาได้พัฒนาขึ้นมาอย่างมาก ด้วยระดับการบ่มเพาะในตอนนี้ เขามั่นใจว่าจะสู้กับราชามังกรได้ บอกได้ว่าความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ ขึ้นไปถึงระดับสูงสุดของทวีปป่าแล้ว คนที่เทียบกับเขาได้คงมีแค่ราชามังกร, เฉินกู และอ้าวเยว่
หากนับรวมร่างทองคำ, เคลื่อนย้ายพริบตาและควบคุมมิติ จางหยูก็มั่นใจว่าเขาจะเอาชนะราชามังกรได้ !
ไร้เทียมทาน !
ตอนนี้จางหยูไร้เทียมทานจริงๆ การป้องกันที่ไม่อาจจะทลายได้,ความว่องไว, การโจมตีที่แข็งแกร่ง ไม่มีใครในโลกที่เทียบเขาได้ !
“พยายามให้มากกว่าเดิม และดูว่าข้าจะบ่มเพาะขึ้นไปยังระดับสูงสุดได้ในเวลาสั้นแค่ไหน!” จางหยูสงบจิตใจลงก่อนจะทำการบ่มเพาะอีกครั้ง เขาต้องการเห็นว่าการบ่มเพาะในโลกนภานี้ หลังจากที่ขึ้นไปถึงขอบเขตตุ้นซวนขั้นสมบูรณ์ได้แล้ว เขาจะเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดที่เหมือนกับพวกที่อยู่โลกภายนอก หรือก้าวข้ามพวกนั้นไปยังระดับที่ไม่มีใครรู้จักได้
เจ้าสำนักเห็นจางหยูบ่มเพาะอย่างเอาจริงเอาจังแบบนั้น เขาก็นั่งลงไปและรีบทำการบ่มเพาะต่อเพื่อไม่ให้เวลาเสียเปล่า
“แปลก” หลังจากนั้นสักพักจางหยูก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมา เขาสับสนและทำการตรวจสอบตันเถียนของตน
ในตันเถียนอัดแน่นไปด้วยวังวน วังวนที่กินหลิงชี่ไปรวดเร็วกว่าเดิม วังวนนี้ราวกับหลุมดำ มันประกอบไปด้วยจุดแสงไม่รู้จบอัดแน่นกัน ในเวลาเดียวกันปราณก็ส่องเงาเงาหนึ่งออกมา
ด้วยจำนวนปราณที่ถูกดูดกลืนเข้ามามากขึ้น เงานั้นก็เริ่มชัดเจนขึ้นจางหยูพอมองเห็นหน้าตาของเงานั้นได้
“นี่มัน…” จางหยูมองไปที่ภาพนั้น“โลกรึ ?”
วังวนนี้ราวกับโลกที่ลดขนาดลงไม่รู้กี่เท่า มันทำให้จางหยูรู้สึกว่ามันเหมือนกับโลกนภา แต่เขามั่นใจว่ามันไม่ใช่โลกนภา เพราะโลกนภาผูกมัดกับวิญญาณของเขา นอกจากนี้ดาวนั่นมันก็ต่างจากโลกนภาอย่างมาก มันแผ่บรรยากาศแปลกๆออกมาซึ่งทำให้จางหยูรู้สึกคุ้นเคย
ความคุ้นเคยนี้จางหยูไม่รู้ว่ามันมาจากที่ไหน