ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 457 : กำหนดการหนึ่งเดือน
ตอนที่ 457 : กำหนดการหนึ่งเดือน
เมื่อได้ยินคำพูดของฝางมู่ ลั่วซู่หยางก็อดไม่ได้ที่จะเงียบไป
อันที่จริงหากก้าวข้ามขอบเขตตุ้นซวนไม่ได้ เมื่ออายุขัยกำลังจะหมดลง เขาก็อาจจะเลือกเข้าไปยังโพรงหมื่นปิศาจเพื่อหาความลับของเขตหวงห้าม และทำความเข้าใจความจริงของเขตหวงห้าม
เขตหวงห้ามทั้งสามมีอยู่มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดคนไหนที่เข้าไปด้านในก็ไม่เคยได้กลับออกมา มันทำให้ผู้คนสงสัยว่ามีความลับอะไรอยู่ด้านในนั้น
โชคดีที่ลั่วซู่หยางได้ตกลงกับจางหยูไว้แล้ว และมีหวังที่จะก้าวขึ้นไปเหนือกว่าขอบเขตตุ้นซวนได้ เมื่อเขาก้าวข้ามขอบเขตตุ้นซวนแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เข้าไปยังเขตหวงห้าม อย่างน้อยเมื่อเขามีชีวิตที่ยาวนานกว่าเดิม มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเข้าไปยังเขตหวงห้าม
แต่ลั่วซู่หยางไม่อาจจะบอกเรื่องนี้กับฝางมู่ได้
“ผู้อาวุโส ข้าพาท่านไปหาเจ้าสำนักได้ แต่ท่านต้องรับปากกับข้าก่อนเงื่อนไขหนึ่ง” ลั่วซู่หยางคิดและเงยหน้าขึ้นมองฝางมู่
ฝางมู่คิ้วขมวดและถามขึ้นมา “ เงื่อนไขอะไร?”
เขาอยากพบกับเจ้าสำนักเพื่อแสดงความขอบคุณและคลายข้อสงสัย แต่หากลั่วซู่หยางร้องขอมากเกินไป เขาคงยอมแพ้
ลั่วซู่หยางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป ยอดฝีมือระดับสูงหน้าใหม่กำเนิดขึ้นมาทีละคนๆ สมดุลเก่าจะพังลงและถูกแทนที่ด้วยสมดุลใหม่ มนุษย์ไม่อาจจะคงสมดุลแบบเดิมได้ ข้าไม่ได้อยากให้ผู้อาวุโสมาช่วยคงสมดุลนี้เพราะนี่มันไม่อาจจะเป็นจริงได้ แต่ข้าหวังว่าคนจะไม่ตกอยู่ในความวุ่นวายเป็นการชั่วคราว อย่างน้อยใน 1 เดือนก็ไม่อาจจะปล่อยให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาได้ !!”
เวลา 1 เดือนเพียงพอที่จะทำหลายอย่างได้มากมาย งานที่เจ้าสำนักมอบหมายอย่างการเผยแพร่ทักษจี๋อู่เสร็จสิ้นใน 10 วันและเรื่องนี้พวกเขาอาจจะได้รับรางวัล
ที่สำคัญที่สุดคือภายใน 1 เดือนนี่สมาคมนักวางค่ายกล, นักปรุงยา, นักหลอมและพันธมิตรร้อยสำนักก็จะมีเวลารับมือกับเรื่องในอนาคตได้ดีกว่าเดิม
ยังไงซะ เวลาก็คือสิ่งล้ำค่าสำหรับพวกเขา !
“นี่คือเงื่อนไขของเจ้ารึ ? ง่ายแบบนี้น่ะรึ?” ฝางมู่แปลกใจอย่างมาก เขาสับสน “ตราบใดที่มนุษย์ยังคงรักษาสมดุลนี่ไว้ได้ใน 1 เดือนก็เพียงพอรึ?”
แม้ว่าอายุขัยของฝางมู่จะเหลือไม่มากแต่เวลาแค่ 1 เดือนนั้นไม่ได้มากมายอะไรเลย
เขาแค่แปลกใจ เขาไม่เข้าใจว่าลั่วซู่หยางต้องการรักษาสมดุลนี้ 1 เดือนเพื่ออะไร ?
“หากเงื่อนไขของเจ้าง่ายดายแบบนี้ ข้าก็รับปากกับเจ้าได้” ฝางมู่ตอบกลับอย่างใจเย็น
จากที่ทั้งสองได้พูดคุยกัน ฝางมู่พอรู้ถึงสถานการณ์ของมนุษย์ เรื่องอื่นๆเขาไม่มั่นใจแต่การรักษาสมดุลในหมู่มนุษย์เป็นเวลา 1 เดือนนี้เขามั่นใจอย่างมาก เพราะลั่วซู่หยางเพิ่งบอกว่ามียอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางแค่ 3 คน คนหนึ่งคือลั่วซู่หยาง คนที่สองคือเขาและคนที่สามคือฉินอู่ตี้
ตราบใดที่เขาร่วมมือกับลั่วซู่หยางมันก็เพียงพอที่จะคงสมดุลของมนุษย์เอาไว้ได้ !
เขาคิดว่าลั่วซู่หยางจะเรียกร้องมากกว่านี้ อย่างการขอให้เขาเข้าร่วมสมาคมนักวางค่ายกล หรือขอให้เขาไปสังหารฉินอู่ตี้ หากลั่วซู่หยางเรียกร้องแบบนั้น เขาคงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะปฏิเสธ แต่เงื่อนไขของลั่วซู่หยางกลับเรียบง่าย มันง่ายซะจนเขาแทบไม่เชื่อ
ลั่วซู่หยาง ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ขอบคุณผู้อาวุโส !”
หลังจากที่ฝางมู่รับปากแล้ว เขาก็พอใจกับผลลัพธ์นี้อย่างมาก
“เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่มีข้อเรียกร้องอื่นแล้วรึ?” ฝางมู่ส่ายหน้าและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
เวลา 1 เดือนเป็นเวลาที่สั้น เขาถึงกับคิดว่าบางทีเขาอาจจะไม่ต้องลงมือด้วยซ้ำ พวกยอดฝีมือระดับสูงหน้าใหม่อาจจะไม่ทันได้ลงมืออะไรด้วยซ้ำ
“ใช่สิ ผู้อาวุโส ข้าสงสัยว่าท่านอยากจะพบกับคนอื่นอีกหรือไม่?” ลั่วซู่หยางลังเลและพูดขึ้นมา “ข้าได้สร้างพันธมิตรกับเซียนโอสถ, เซียนหลอมและเซียนอักษร หากข้าจะพาท่านไปหาเจ้าสำนักก็ควรจะถามพวกเขาก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด”
ฝางมู่พยักหน้าและยิ้มออกมา “หากเป็นเช่นนั้นก็ไปหาพวกเขากัน”
เมื่อได้ยินแบบนั้นลั่วซู่หยางก็พูดขึ้น “ผู้อาวุโสสักครู่ ข้าจะแจ้งกับพวกนั้น”
เมื่อพูดจบลั่วซู่หยางก็หายตัวไป ในพริบตาเขาก็อยู่ห่างจากจุดเดิมหลายพันลี้
สมาคมนักวางค่ายกลนั้นห่างจากสมาคมนักปรุงยา, นักหลอมและพันธมิตรร้อยสำนักกว่า 100,000 ลี้แต่สำหรับยอดฝีมือระดับสูงสุดแล้วสามารถเดินทางไปกลับได้ในเวลาสั้นๆ ไม่นานลั่วซู่หยางก็เคลื่อนย้ายมาพร้อมกับชุยเจี่ยน,หงจินเป่าและหยางเพ้ยอัน
ระหว่างทางชุยเจี่ยนได้ถามขึ้นมา “เจ้าเรียกพวกเรามามีเรื่องอะไรรึ?”
หงจินเป่าและหยางเพ้ยอันต่างก็มองไปที่ลั่วซู่หยางด้วยความสงสัย
ลั่วซู่หยางส่ายหน้าและเผยสีหน้าลึกลับออกมา “ไม่ต้องรีบร้อน ไปถึงสมาคมนักวางค่ายกลแล้วพวกเจ้าก็จะรู้เอง”
หลังจากนั้นประมาณสิบอึดใจ ทั้งสี่คนก็มาถึงสมาคมนักวางค่ายกล
เมื่อทั้งสี่คนมาถึงชุยเจี่ยนก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ยอดฝีมือระดับสูงสุด!”
ในพริบตาสายตาของ ชุยเจี่ยน,หงจินเป่าและหยางเพ้ยอันก็มองไปที่ฝางมู่ด้วยสายตาราวกับมองศัตรู
“เซียนค่ายกล นี่มันหมายความว่ายังไง!” สีหน้าของชุยเจี่ยนบิดเบี้ยวไป เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ตอนแรกเขาสงสงสัยว่าลั่วซู่หยางล่อเขามาหาอีกฝ่ายเพื่อจะฆ่าพวกเขา
ลั่วซู่หยางคิ้วขมวดและพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “อย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้น! อย่าลืมว่าเจ้าเลือกข้าเป็นหัวหน้าแล้ว เจ้ารับปากไว้ว่ายังไง?”
ท่าทีสงสัยของชุยเจี่ยนทำให้ลั่วซู่หยางไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาเชิญพวกนี้มาแต่พวกนี้กลับมาสงสัยเขา เขาจะพอใจได้ยังไง ?
หยางเพ้ยอันดูใจเย็นกว่าคนอื่น เขามองไปที่ฝางมู่และถามขึ้นมา “ข้าไม่รู้ว่าสหายผู้นี้เป็นใครกัน ?”
“ฝางมู่” ลั่วซู่หยางยังไม่ทันได้แนะนำ ฝางมู่ก็เปิดปากพูดขึ้นมา เขายิ้มและมองไปยังทั้งสามคนด้วยท่าทีเป็นกันเอง “ข้าชื่อฝางมู่พวกเจ้าเรียกชื่อข้าสายตรงก็ได้”
ลั่วซู่หยางพูดขึ้นว่า “นี่คือท่านฝางมู่ เขาไม่ได้อ่อนแอกว่าข้า และที่สำคัญที่สุดคือเขาเป็นศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของท่านเป้ยหลง!”
ระหว่างนั้นสายตาของทั้งสามก็เปลี่ยนไป พวกเขามองไปที่ฝางมู่ด้วยความตกตะลึง “ศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของท่านเป้ยหลงรึ?”
ฐานะของฝางมู่พิเศษจนหยางเพ้ยอันไม่ได้สนใจท่าทีของลั่วซู่หยางด้วยซ้ำ
ทั้งสามคนมองหน้ากันก่อนจะเข้าไปหาฝางมู่ แล้วทำความเคารพด้วยความสุภาพ “ผู้น้อยหยางเพ้ยอัน,หงจินเป่า,ชุยเจี่ยน ขอคำนับผู้อาวุโสเฟิงมู่!”
หากระดับการบ่มเพาะของฝางมู่อยู่ขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูง พวกเขาคงไม่เคารพอีกฝ่ายมากนัก แต่ฝางมู่เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด และยังอยู่ขั้นกลางด้วยซึ่งเหนือกว่าพวกเขาทุกคน มันเป็นธรรมดาที่พวกเขาต้องแสดงความสุภาพ
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รู้ว่า เป้ยหลงมีศิษย์สายตรง แต่พวกเขาก็เชื่อว่าลั่วซู่หยางคงไม่เล่นตลก ยังไงซะเรื่องแบบนี้แค่ตรวจสอบเล็กน้อยก็สามารถตัดสินได้ว่ามันจริงหรือไม่
“ท่านเป้ยหลงตายไปกว่า 7,000 ปีที่แล้ว งั้นชายคนนี้คงมีอายุมากกว่า 7,000 ปี !” หยางเพ้ยอันแปลกใจ หากมองทั้งทวีปป่าแล้วนอกจากราชามังกรและราชาสัตว์อสูรแล้ว ฝางมู่อาจจะเป็นคนที่อาวุโสที่สุด แม้แต่อายุของราชามังกรและราชาสัตว์อสูรก็อาจจะเทียบกับเขาไม่ได้
สัตว์ประหลาดเฒ่าตัวจริง !
“ท่านฝางมู่อายุ 9,700 ปีแล้ว” ลั่วซู่หยางมองไปที่หยางเพ้ยอันและพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “หากข้าเดาได้ถูก ท่านฝางมู่คือที่อายุมากที่สุดในโลก!”
อายุ 9,700 ปี มันหมายความว่าฝางมู่อยู่ได้อีกไม่นาน
อายุขัย 10,000 ปีนี้ แม้แต่พวกยอดฝีมือระดับสูงก็ไม่อาจจะทำลายขีดจำกัดได้ !
เมื่อทั้งสามรับรู้ข้อมูลแล้วลั่วซู่หยางก็พูดต่อ “ข้าเพิ่งตกลงกับท่านฝางมู่ไว้ ตราบใดที่ท่านฝางมู่ช่วยเรารักษาสมดุลของมนุษย์เอาไว้ ข้าจะพาท่านฝางมู่ไปหาเจ้าสำนัก พวกเจ้าคิดว่ายังไง?”
หยางเพ้ยอันพูดขึ้นโดยไม่รอให้ชุยเจี่ยนและหงจินเป่าได้สักถาม “ข้าตกลง”
เขาพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “สิ่งที่เราต้องการที่สุดตอนนี้คือเวลา เราสามารถยืนยันได้ว่ามนุษย์จะไม่ทำลายสมดุลนี้ใน 1 เดือน มันเป็นผลดีต่อเรา!”
ชุยเจี่ยนและหงจินเป่าได้ยินแบบนั้นก็พากันสนับสนุน นี่คือเรื่องดีสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่ต้องทำอะไรก็ได้ผู้ช่วยฝีมือดีมา มันมีเหตุผลอะไรต้องไปปฏิเสธ ?
สำหรับความทะเยอทะยานของฝางมู่นั้น พวกเขาไม่คิดเลยแม้แต่น้อย ความทะเยอทะยานแบบไหนที่คนอายุกว่า 9,700 ปีจะมีได้ ?
“ก็ดี งั้นก็ตกลงตามนี้” สำหรับการตัดสินใจนี้ ลั่วซู่หยางไม่ได้แปลกใจเลยแม้แต่น้อย นี่คือเรื่องดี ตราบใดที่ไม่ใช่คนโง่ก็รู้ว่าต้องเลือกยังไง “อีก 1 เดือนจากนี้เราจะไปพบกับเจ้าสำนักด้วยกัน”
ลั่วซู่หยางหันกลับมามองที่ฝางมู่ และพูดขึ้นด้วยท่าทีจริงใจ “ท่านฝางมู่ 1 เดือนนี้ข้าคงต้องรบกวนท่าน!”
ด้วยความช่วยเหลือจากฝางมู่พวกเขาคงรักษาสมดุลของมนุษย์ได้ใน 1 เดือน ยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลาง 2 คนและขั้นต่ำ 3 คน เพียงพอที่จะรักษาสมดุลเอาไว้ได้
ทันใดนั้นเอง —
ไกลออกไปมีร่างหนึ่งมุ่งหน้าเข้ามาหาลั่วซู่หยางและคนอื่นๆด้วยความเร็วสูง
หงยู่อดไม่ได้ที่จะคิ้วขมวด เขารีบไปขวางทางร่างนั้นเอาไว้และตะโกนออกมา “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เซียนค่ายกลและเซียนคนอื่นกำลังพูดคุยเรื่องใหญ่กันอยู่ มันจะถูกคนอื่นรบกวนได้ยังไง ?
ผู้ดูแลของสมาคมนักวางค่ายกลกล้าขนาดนี้ได้ยังไง !
“เรื่องใหญ่! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” ชายวัยกลางคนที่ถูกหยุดแสดงสีหน้ากังวลออกมา “เซียนค่ายกล เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!”
ลั่วซู่หยางรู้สึกแย่ขึ้นมา
เขาเคลื่อนย้ายไปหาชายวัยกลางคนและโบกมือให้กับหงยู่ หงยู่เห็นแบบนั้นก็ถอยออกไปข้างๆ จากนั้นลั่วซู่หยางก็มองไปที่ชายวัยกลางคน
ชุยเจี่ยนและคนอื่นๆได้ตามเข้ามาเช่นกัน
“เจ้าลนลานเรื่องอะไร?” ลั่วซู่หยางถามออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เสียงของผู้ดูแลสั่นไหว “ท่านเซียนค่ายกล ภูเขาทางใต้เกิดเรื่องขึ้น ! เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่าเมืองหลวงของจักรวรรดิหมิงถูกทำลายไป ทั้งจักรพรรดิซูอันเชิงและผู้คนกว่า 100 ล้านคนในเมือง ไม่มีใครรอดเลยแม้แต่คนเดียว!”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึง